การรับอาหารที่วัดมา...รับประทาน
#1
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 09:55 AM
1. กรณีที่เป็นอาหารกระป๋องถ้าเราทานไม่หมดหรือไม่ได้ทาน เรานำไปคืนได้หรือปล่าว แล้วถ้าเรานำกลับบ้านเป็นบาปหรือไม่ (เรียกว่าเป็นหนี้สงฆ์หรือปล่าวค่ะ)
2. ถ้าเราทานไม่หมด (เหลือเยอะเกินไป) นอกจากเป็นการไม่ประหยัดแล้วมีผลอย่างอื่นหรือไม่
3. คนที่หยิบมาเพื่อมุ่งนำกลับบ้านด้วย สมควรหรือไม่ และถ้าเราหยอดเงินใส่ตู้สักจำนวนหนึ่ง ที่เราคิดว่ามากพอ เรานำกลับบ้านได้หรือไม่
หรือท่านใดมีคำแนะนำอื่น ๆ ที่คาดไม่ถึงอีกบ้างคะ
#2
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 10:50 AM
แนะนำว่า ให้รีบนำไปคืนครับ ถ้ามีคนหยิบมาเผื่อ ก็ให้ดูว่า เกินปริมาณคนที่มีหรือป่าว ถ้าเกินให้รีบนำไปที่จุดแจกอาหารทันที แล้วการนำกลับบ้าน ถามว่า นำกลับไปทำไมครับ ถ้าที่บ้านมีข้าวกินอยู่แล้ว เป็นการเพิ่มรายจ่ายและการทำงานครัวให้วัดหรือป่าว เป็นไปได้ไม่ควรนำกลับครับ
1) ทำให้คนอื่นที่ยังไม่ได้ไปรับอาหารอาจจะมีอาหารไม่พอ ต้องไปทานพวกมาม่าถุง หรือไม่ได้กินเลย
2) ทำให้การคำนวณการเตรียมอาหารของวัดในแต่ละงานบุญเกิดความผิดพลาด เตรียมอาหารไม่พอกับคน หรือ เตรียมอาหารเหลือมากเกินไป
3) นำเงินทองของวัดที่ชาวบ้านบริจาคให้วัดมาด้วยศรัทธาไปโยนทิ้ง อย่างเสียๆ หายๆ ในกรณีที่ทานไม่หมด เพราะคงไม่มีใครนำของกินเหลือไปกินต่อแน่นอน คงได้แต่โยนทิ้ง
4) จะทำให้คนที่ใหม่ๆ หรือ คนที่พึ่งมาวัด คิดว่า วัดพระธรรมกายรวยมาก ฟุ้งเฟ้อ นำข้าวปลาอาหารมาทิ้งๆ ขว้างๆ ในขณะที่วัดอื่นๆ โดยเฉพาะวัดต่างจังหวัดไม่ค่อยมีอะไรกิน ซึ่งเป็นเหตุให้วัดเสียชื่อเสียงได้
ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ถ้ามาจากต่างจังหวัดไกลๆ ต้องนั่งรถข้ามคืน อันนี้น่าเห็นใจ ควรนำกลับไปด้วย เพราะจะให้นั่งท้องร้องทั้งคืนก็คงไม่ได้ แต่ถ้าเป็นคนที่บ้านไม่ไกลมาก สามารถกลับถึงบ้านในคืนเดียว ก็ไม่ควร เพราะเป็นการเพิ่มรายจ่ายและเพิ่มการทำงานของครัวให้วัดโดยไม่จำเป็น แม้คุณจะบริจาคเงินมามากพอกับราคาข้าวที่คุณนำกลับบ้านก็ตาม
(เงินไม่ได้แก้ปัญหาทุกอย่างครับ ถ้ารู้ว่าการทำงานของคนงานในครัวต้องเตรียมอาหารตั้งแต่กี่โมงและเหนื่อยเพียงใด ลองแวะไปดูได้นะครับ อย่างกรณีของผม จะนำข้าวและน้ำไปกินเองแทบจะทุกครั้ง ไม่ค่อยจะไปกินข้าววัดครับ เพราะไม่อยากเป็นภาระให้วัด เตรียมมาได้ก็เตรียมเองครับ)
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 10:53 AM
#4
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 11:06 AM
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#5
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 12:30 PM
สาธุชนนำมาจากกองบุญใดจะได้ร่วมบุญด้วยครับ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#6
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 02:07 PM
#7
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 04:10 PM
ของสงฆ์
คือ ข้าวของเครื่องใช้ ยานพาหนะ วัสดุ อุปกรณ์ ปัจจัย ๔ บริขาร ๘ ที่อยู่ในเขตวัด พัทธสีมา
หรือ อาจอยู่นอกเขตวัด แต่เป็นกรรมสิทธิ์ของสงฆ์
ถ้าใครเจตนาล่วงเกินนำไปใช้ โดยไม่ได้ขออนุญาต หรือไม่ได้รับอนุญาตจากสงฆ์
นำไปกินไปใช้ด้วยอาการลักขโมย เจตนาฉ้อ โกง หลอก ลวง เบียด บัง ทรัพย์สินของสงฆ์
ก็น่าสงสาร น่าเวทนาแท้
มีกรณีศึกษา อยู่ในชาดก อยู่ใน MDC mini series เกี่ยวกับเปรตหลายๆเรื่อง
จำพอได้รางๆว่า
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทตฺตชีโว เคยให้โอวาทเรื่องการใช้สอย ปัจจัย ๔
ให้เน้นวัตถุประสงค์หลัก , ให้พอเพียง ให้พอดี , ประโยชน์สูง ประหยัดสุด
ตัวอย่าง ( โดยความหมายนะครับ )
วัตถุประสงค์หลัก เช่น
อาหาร
เราทานเพื่ออะไร วัตถุประสงค์หลักของการกิน คือ อะไร ?
เรากินเพื่อ บำบัดความหิว อาหารบางชนิดบำบัดโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่บ้าง ให้สุขภาพกายแข็งแรง
จะได้มีแรงไว้สร้างบุญบารมี ทำพระนิพพานให้แจ้ง มีแรงสร้างประโยชน์ให้ส่วนรวม
ไม่ใช่กินเพื่อไปบำรุงความสวยความงาม ที่อวัยวะตรงนั้นตรงนี้ จะได้มีใครมาชื่นชม
ถ้ากินแบบนั้น กินไปบำรุงกามราคะ มีประโยชน์ระยะสั้นๆ แต่โทษมากกว่าในระยะยาว ข้ามภพข้ามชาติ
เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม
เรานุ่งห่ม เพื่อปกปิด อวัยวะกันความอาย ตรงไหนควรปิด ก็อย่าไปเปิดเผย
( โดยเฉพาะแฟชั่นการแต่งกายของ สตรี )
เรานุ่งห่ม เพื่อกันความร้อน ความหนาว ป้องกันแมลง สัตว์ ที่จะมากัด มาต่อย
แต่วัตถุประสงค์เดี๋ยวนี้ มันแต่งตัวให้ ดูสวย เก๋ ดูหล่อ เท่ห์ อวดร่ำรวย มั่งมี เป็นหลัก
ไปยั่วยวน ไปบำรุง กามราคะ จึงเกิดปัญหาทั้งส่วนตัว ในครอบครัว ในสังคม ตามมามากมาย
( โดยเฉพาะใจก็กระเพื่อมไปมา หยุดยาก นิ่งยาก สงบยาก จึงสุขยาก )[color=#CC0000]
….
หรือ
เหมือนที่คุณครูไม่ใหญ่สอนว่า
มีบ้าน มี คฤหาสน์ 10 หลัง ก็อยู่ได้ทีละหลัง
มีรถยนต์หรูสัก 10 คัน ก็ใช้ได้ทีละคัน
( เคยทราบมาว่า สตรีหลายท่านมีรองเท้าเป็นร้อยคู่ แต่ก็ใช้ได้ทีละคู่ )
เรื่องความพอเพียง ความพอดี ก็สำคัญมาก เอาแค่เรื่องอาหาร
ถ้าคน กินข้าวเหลือทิ้ง แค่คนละ 1 ช้อน
สำหรับในครอบครัวเดียว มี 5 คน แค่ทิ้งข้าว 5 ช้อน ก็ดูไม่มาก
แต่วัดพระธรรมกาย งานบุญใหญ่ มีคนมาวัดหลายหมื่นคน
เท่ากับทิ้งข้าวไปหลายหมื่นช้อน คิดเป็นข้าวกี่กระสอบ เงินของญาติโยมทั้งนั้น
การกินอาหารเกินพอดี ก็เป็นอีกเรื่องที่แก้กันไม่ตก
น่าแปลกนะ กระเพาะอาหารของตัวเองแท้ๆ กินมาเป็นสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี ... ห้าสิบปี
กะให้กินพอดี ยังไม่ได้ แปลกจริงๆ
หลักการกินอาหารให้พอดี ในทางพุทธศาสนา
สอนให้ กินอาหาร แค่รู้สึกหายหิว + อิ่มนิดๆ ไม่รู้สึกขนาด อิ่มจนแน่นท้อง
( ไม่ถึงขนาด อึดอัดเพราะยัดไม่ได้อีก ... หรือเปล่า )
คือ กินเพื่อบำบัดดับทุกข์เก่า ( ความหิว )
พูดง่ายๆ กินเพื่ออยู่ ให้สรีระยนต์นี้อยู่สร้างความดี
ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน
ส่วนหลักวิทยาศาสตร์ สอนว่า
การกินอาหารต้องไม่กินให้เต็มกระเพาะ ควรมีพื้นที่ว่างในกระเพาะ
ให้สำหรับน้ำดื่มสัก 1 แก้วไว้หล่อลื่น
และควรมีพื้นที่ว่างอีกเล็กน้อย ในกระบวนการย่อยอาหารทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
ลองนึกถึง เครื่องซักผ้านะครับ ถ้าเราใส่ผ้าเต็มแน่นถังซัก ประสิทธิภาพการซักย่อมลดลง
เพราะไม่มีเนื้อที่ให้ผ้าขยับขยายเลย
ที่นี้ถ้าเรากินอาหารเต็มกระเพาะ เช่นกัน ประสิทธิภาพการย่อยอาหารย่อมลดลง
กระเพาะอาหารต้องทำงานนานขึ้น อาหารอาจย่อยได้ไม่ละเอียด
การดูดซึมสารอาหารไปใช้ก็แย่ลงตาม
อีกทั้งทำให้ง่วง ซึมตลอดสาย บ่าย หรือทั้งวัน
ขอยกตัวอย่างเพียงเท่านี้นะครับ
การกินแบบไม่พอดี ยังมีผลกระทบอย่างที่คุณ BluE..MooN ชี้แจงไว้
2. ถ้าเราทานไม่หมด (เหลือเยอะเกินไป) นอกจากเป็นการไม่ประหยัดแล้วมีผลอย่างอื่นหรือไม่
1) ทำให้คนอื่นที่ยังไม่ได้ไปรับอาหารอาจจะมีอาหารไม่พอ ต้องไปทานพวกมาม่าถุง หรือไม่ได้กินเลย
2) ทำให้การคำนวณการเตรียมอาหารของวัดในแต่ละงานบุญเกิดความผิดพลาด เตรียมอาหารไม่พอกับคน หรือ เตรียมอาหารเหลือมากเกินไป
3) นำเงินทองของวัดที่ชาวบ้านบริจาคให้วัดมาด้วยศรัทธาไปโยนทิ้ง อย่างเสียๆ หายๆ ในกรณีที่ทานไม่หมด เพราะคงไม่มีใครนำของกินเหลือไปกินต่อแน่นอน คงได้แต่โยนทิ้ง
4) จะทำให้คนที่ใหม่ๆ หรือ คนที่พึ่งมาวัด คิดว่า วัดพระธรรมกายรวยมาก ฟุ้งเฟ้อ นำข้าวปลาอาหารมาทิ้งๆ ขว้างๆ ในขณะที่วัดอื่นๆ โดยเฉพาะวัดต่างจังหวัดไม่ค่อยมีอะไรกิน ซึ่งเป็นเหตุให้วัดเสียหายได้
ขออภัยทานด้วยที่พูดยืดยาว ขอสรุปว่า
ที่พูดเรื่องนี้ มิได้เสนอมุมมองแบบขวางโลก ให้หวั่นกลัวการทานอาหารของวัดนะครับ
เพราะอาหารของวัด สงฆ์ก็ยินดีอนุญาต ให้นำมาเลี้ยงสาธุชนอยู่แล้ว
เป็นแต่เพียงอยากให้ทุกคน ทั้งสาธุชนและคนในองค์กร 3 อาศรม
เพิ่มความระมัดระวังในการใช้ข้างของส่วนรวม
โดยเฉพาะของสงฆ์
จะได้ไม่มีอานิสงส์ปาปติดตามตัวไป ก็เท่านั้นเองครับ
#8
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 04:31 PM
อู้...อย่างนี้เห็นบางคนที่หอบลูกเดินทางมาตรงเวลาพักรับประทานอาหาร รับประทานเสร็จ แล้วเอาถุงมาใส่ เดินออกกลับบ้านไปก็แย่เลย...ชาวบ้านบางคนคงทำไปเพราะความไม่รู้นะคะ
#9
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 06:44 PM
แต่ปัจจุบัน วัดเป็นพื้นปูนแล้ว ก็หมดปัญหาไป คงเหลือแต่ขนปัจจัย 4 เข้าวัดนั่นแหละครับ ถ้าไปเอาวัดมา ก็ต้องคืนไป หรือถ้าไม่ได้เอาของวัดมา ก็ยิ่งต้องคืนไป เพื่อเป็นบุญแก่ตนเอง
#10
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 07:29 PM
สาธุชนนำมาจากกองบุญใดจะได้ร่วมบุญด้วยครับ
น่าจะเป็นบุญเศรษฐีถาวรนะครับ
เป็นการร่วมบุญค่าใช้จ่ายต่างๆภายในวัด เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าอาหาร ฯลฯ
ร่วมบุญทุกเดือนครับ ทำสม่ำเสมอจะได้เป็นเศรษฐีถาวรไม่ใช่เศรษฐีเป็นช่วงๆไงครับ
ปล. ผมก็ทำอยู่นะครับทุกเดือน
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#11
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 08:59 PM
#12
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 11:33 PM
แต่น้องๆรับประทานไม่หมดก็ต้องติดอานิสงค์ดังกล่าวด้วยใช่ไหมคะ
ไม่อยากให้หวั่นกลัวการทานอาหารของวัดนะครับ
เพราะอาหารของวัด สงฆ์ก็ยินดีอนุญาต ให้นำมาเลี้ยงสาธุชนอยู่แล้ว
ยิ่งน้องๆเป็นอาสาสมัครที่ดีและพระอาจารย์ก็อนุญาตแล้ว
หายกังวล นะครับ
และความเห็นของผมข้างต้น รวมถึงทุกความเห็นส่วนตัวในกระทู้อื่นๆ
ก็ไม่ได้หมายความว่า จะถูกต้อง 100 %
แค่ทัศนะหนึ่งเท่านั้นครับ
แต่ผมว่า ถ้าให้สบายใจจริง แม้รับประทานพอดี ก็ต้องบริจาคทรัพย์ให้กับวัดไปบ้างนะครับ
คนโบราณเขามีประเพณีขนทรายเข้าวัดก็เพราะแบบนี้
เพราะเวลาเดินเข้าวัดกลัวเหยียบทรายของวัดกลับออกไป จึงต้องมีพิธีขนทรายเข้าวัด กลับคืนมา
แต่ปัจจุบัน วัดเป็นพื้นปูนแล้ว ก็หมดปัญหาไป คงเหลือแต่ขนปัจจัย 4 เข้าวัดนั่นแหละครับ
ถ้าไปเอาวัดมา ก็ต้องคืนไป หรือถ้าไม่ได้เอาของวัดมา ก็ยิ่งต้องคืนไป เพื่อเป็นบุญแก่ตนเอง
สาธุชนนำมาจากกองบุญใดจะได้ร่วมบุญด้วยครับ
เข้าใจเองว่้า คงมาจากหลายกองทุนนะครับ เช่น
กองทุน ภัตตาหาร น้ำปานะ + กองทุนคุณยาย + กองทุนเศรษฐีถาวร
ลองถามรายละเอียดจากเจ้าหน้าที่ รับบริจาค เพิ่มเติมได้ครับ
#13
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 02:27 AM
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#14
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 08:36 AM
#15
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 09:12 AM
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#16
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 01:22 PM
#17
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 09:18 PM
1.ให้รีบนำไปคืนครับ แล้วกลั่นใจนึกถึงบุญกุศลที่ทำมา แผ่บุญกุศลขอให้ทุกชีวิตที่เราเบียดเบียนในกระป๋องนั้นได้รับกุศลผลบุญที่เราได้ทำไว้ และอธิษฐานจิตขออย่าให้มีใครแค้นเคืองเราเพราะข้าวกระป๋องนั้น
2.บาปมหันต์ครับห้ามทำเด็ดขาด
3.ไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกลก็ไม่ควรทำครับ เวลาที่เราจะบริโภคของวัดนี่ต้องระวังมากๆ เพราะแค่เราผิดพลาดเล็กน้อย ก็จะได้รับผลกรรมแรงมากแล้วล่ะครับ
#18
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 06:35 PM
ohhhhhhhhh ต้องทานให้หมดๆ
#19
โพสต์เมื่อ 02 September 2006 - 11:59 PM
ตอบตามข้อครับ
1.ให้รีบนำไปคืนครับ แล้วกลั่นใจนึกถึงบุญกุศลที่ทำมา แผ่บุญกุศลขอให้ทุกชีวิตที่เราเบียดเบียนในกระป๋องนั้นได้รับกุศลผลบุญที่เราได้ทำไว้ และอธิษฐานจิตขออย่าให้มีใครแค้นเคืองเราเพราะข้าวกระป๋องนั้น
2.บาปมหันต์ครับห้ามทำเด็ดขาด
3.ไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกลก็ไม่ควรทำครับ เวลาที่เราจะบริโภคของวัดนี่ต้องระวังมากๆ เพราะแค่เราผิดพลาดเล็กน้อย ก็จะได้รับผลกรรมแรงมากแล้วล่ะครับ
มันไม่เกี่ยวกับเรื่องแค้นเคืองนะคะ เพราะพระท่านไม่แค้นเราหรอกค่ะ แต่เราเป็นหนี้เขา รับของฟรีที่มีคนจบท่วมหัวแล้วมาทานแต่ดันเหลือกินนี่มันไม่เบียดเบียนใครนอกจากตัวเราเองในชาติที่จะเป็นควาย
ไม่จำเป็นจะต้องของวัดหรอกค่ะ ของที่ญาติๆให้มา โดยเฉพาะพ่อแม่นี่ แฮ่ บาปพอๆกัน เดี๋ยวจะได้ไปเกิดเป็นลูกท่านอีก แต่จะเป็นลูก"ทุย"เอา
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#20
โพสต์เมื่อ 07 October 2006 - 09:55 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี