![รูปภาพ](/forum/uploads/photo-thumb-3296.jpg?_r=1165735491)
ทำบุญน่ะ....ไม่จำเป็นต้องเข้ามาทำที่วัด
#1
โพสต์เมื่อ 02 September 2006 - 06:05 PM
และไม่ว่าจะอธิบายเช่นไร ความเชื่อที่ฝังติดมานาน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของคุณครูท่านได้เลย
หรือว่ากริชยังอธิบายไม่เป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ท่านถึงไม่ยอมเข้าใจ กริชควรทำอย่างไรดี
เพราะเป็นเหตุการณ์หนึ่งในชั่วโมงเรียนที่เราสนทนากัน และคุณครูรู้ว่ากริชเข้าวัดพระรรมกาย ท่านยิ่งสนใจ
เพราะท่านเป็นคนที่เชื่อข่าวของทางวัดที่เคยประสบ และท่านก็เลยสงสัยว่ากริชเข้าวัดนี้ทำไม ใครหลอกให้เชื่อ
คุณครูท่านจะถามตลอด จนเกือบทุกชั่วโมงเรียน ท่านก็จะหาเรื่องธรรมะมาถาม หรือไม่ท่านก็ให้กริชเล่าให้ฟัง
ประมาณว่าท่านอยากรู้ว่าทางวัดเขาสอนอะไรบ้าง แต่ท่านจะแย้งด้วยความเชื่อที่ท่านติด และคิดมาตลอด
ซึ่งไม่ตรงกันเลย ในใจกริชอยากพาท่านเข้าวัดมาก แต่ไม่รู้จะลดทิฐิท่านได้อย่างไร
(บรรยากาศในการสนทนาไม่เครงเครียดนะคะอย่าเพิ่งเข้าใจผิด )ประมาณว่าท่านจะยิ้ม และสีหน้าเอ็นดู
ตามแบบแบบครูผู้ใจดีของท่านคะ .
...........แต่ถึงท่านไม่ชอบวัด และมีความคิดที่ว่าทำบุญ ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด แต่ท่านก็ยังมาถามถึง
เรื่องบาปบุญกับกริชอยู่เรื่อยๆ และท่านได้ให้เหตุผลอย่างน่าอัศจรรย์ใจมาว่า
.................ลองเล่าให้ครุฟังมาหน่อยซิหากครูจะเข้าใจเรื่องวัดและการทำบุญมากขึ้น)[/....................ท่านพูดไว้ประมาณนี้
แต่ติดตรงที่ว่ากริชควรอธิบายเช่นไรกับผู้ที่มีทิฐิค่อนข้างสูง.........
#2
โพสต์เมื่อ 02 September 2006 - 07:31 PM
#3
โพสต์เมื่อ 02 September 2006 - 07:35 PM
แต่ที่วัดเป็นแหล่งที่ที่มีเนื้อนาบุญอย่างดีอยู่
สถานที่ทั่วไป เปรียบเสมือนมีต้นบุญอยู่บ้าง มากบ้างน้อยบ้าง เช่นการที่ให้อาหารแก่สัตว์ แก่มนุษย์
เช่น เด็กกำพร้า ผู้ป่วย โรงพยาบาล และอื่นๆ
แต่ศีลของคนเหล่านั้นไม่มากนัก โดยทั่วไปก็ระดับศีล 5 หรือไม่ก็ไม่ได้มีศีล 5
คุณธรรมก็มีบ้างระดับนึง แต่ยังอยู่ในระดับปุถุชนทั่วไป ยังมากไปด้วยกิเลสธรรมดาโลก
เปรียบดั่งพื้นทรายมีปุ๋ยน้อย น้ำน้อย อาจมีต้นข้าวงอกอยู่บ้างประปราย ขาดน้ำขาดปุ๋ย เมล็ดลีบ ได้ผลน้อย
ชาวนาที่ไม่คิดอะไรมาก หย่อนเมล็ดลงในพื้นที่แบบนี้ ก็อาจได้ผลบ้าง แต่ได้น้อย นานและเหนื่อย
แต่ ณ บุญสถาน มีบุคคลที่กำลังฝึกตัว อยู่ในศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ในธรรมวินัย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีเจตนาประพฤติมุ่งตรงสู่พระนิพพาน อันเป็นธรรมทำให้หลุดพ้นจากวัฎฎสงสาร
เปรียบดั่งนาอันดินปุ๋ยน้ำอุดมสมบูรณ์ดี เมื่อปลูกข้าวก็มีรวงข้าวขึ้นแน่น เต็มรวงด้วยเมล็ดสมบูรณ์
บุคคลใดทำบุญในเนื้อนาบุญอันเยี่ยมยอดเหล่านี้ย่อมได้ผลดี ได้ผลเลิศ ได้ผลอันน่าปลื้มใจ
เหมือนชาวนาที่ฉลาด รู้จักเลือกสถานในการทำนาปลูกข้าว
ทำบุญ ไม่จำเป็นต้องเข้ามาทำที่วัด ก็ได้ (แต่เป็นระดับสงเคราะห์โลกเท่านั้น คือช่วยเหลือกันให้คลายทุกข์)
แต่...ถ้ามาทำที่วัด ทำทีเดียวได้ผลบุญมากกว่าทำที่อื่นอย่างมหาศาลนะ
#4
โพสต์เมื่อ 02 September 2006 - 08:49 PM
น้องกริชลองไปห้องสมุดนะครับ น่าจะมีพวกพระไตรปิฎกฉบับเยาวชน ชุดนึงประมาณไม่เกิน 10 เล่ม น้องกริชอยากแนะนำหรือเอาคำพูดอะไรของหลวงพ่อไปบอกคุณครู ก็ให้ไปค้นหลักฐานอ้างอิงมาจากพระไตรปิฎกที่ว่าก่อน แล้วตอนที่แนะนำคุณครูก็อ้างอิงพระไตรปิฎกควบคู่กันไปเป็นการพิสูจน์ว่า ที่วัด หลวงพ่อ ไม่ได้สอนมั่ว เปิดพระไตรปิฎกยันกันเลย ทีนี้ คุณครูก็คุณครูเถอะครับ ต้องฟังและคงเถียงไม่ออกแล้ว เพราะพระไตรปิฎกเป็นพระธรรมสูงสุดของพระพุทธศาสนา ไม่อิงคำสอนหลวงพ่อ หลวงปู่รูปใดทั้งสิ้น เป็นคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้นครับ
ที่บอกให้ทำเช่นนี้ไม่ใช่ไปหักหน้าคุณครูนะครับ แต่มีผู้ใหญ่มากมายที่คิดว่าตนรู้พระพุทธศาสนามากพอแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเลย เพราะ มักจะฟังคำพูดแบบปากต่อปาก บางครั้งก็รับฟังมาจากผู้ไม่รู้จริง แล้วคิดว่านั้นเป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา ดังนั้น เราจึงต้องเอาพระไตรปิฎกเปิดมายันกันเลยครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#5
โพสต์เมื่อ 02 September 2006 - 09:11 PM
ให้คุณครูมาถามคนที่วัดก็ได้
#6
โพสต์เมื่อ 02 September 2006 - 09:51 PM
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#7
โพสต์เมื่อ 02 September 2006 - 10:23 PM
ลองอ่านและพยายามทำความเข้าใจจากเรื่องที่คุณกริช เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
คุณครูท่านนี้ ท่านอยู่ในฐานะครูที่พยายามสอนศิษย์ให้เข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง ( ถูกต้องตามความคิดท่าน ) ดังนั้นคุณกริชพยายามอธิบาย
ให้ท่านฟัง ท่านจึงพูดว่า ลองเล่าให้ครุฟังมาหน่อยซิหากครูจะเข้าใจเรื่องวัดและการทำบุญมากขึ้น เพราะว่าท่าน ถูกหัก
ล้างด้วยเหตุผลและความคิดของคุณกริช ดังนั้นท่านจึงสงสัยว่า เหตุใดคุณกริชจึงไม่ยอมเชื่อท่านและเข้าใจให้ถูกต้อง (ตามความคิด
ของท่าน ) เพราะเหตุนี้คุณครูท่านนี้เมื่อมองดูแล้วจึงเหมือนมีทิษฐิสูง
ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ถูกถามแบบนี้ ก็ต้องตอบให้คุณครูท่านเห็นความตั้งใจจริงในการตั้งใจทำความดีของเราให้ได้
โดยพยายามบอกว่า การที่เราเป็นคนดีแบบนี้เพราะมาที่วัดและได้รับความรู้อะไรออกไปบ้าง จากคำตอบของพี่ ๆ ที่นี่
ก็ใช้ได้ทุกคนเลย และยกตัวอย่าง คุณประโยชน์และคุณความดีที่วัดได้ทำแก่พุทธศาสนา เช่น ช่วยวัดภาคใต้ 266 วัด
ถวายไทยธรรมหมื่นวัด (จำไม่ได้ ) บวชพระธรรมทายาท และส่งเสริมการศึกษา โดยมีนักเรียนบาลีสอบได้เปรียญธรรม
๙ ประโยคเป็นจำนวนมาก อย่างนี้เป็นต้น เป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ท่าน เมื่อท่านเริ่มเข้าใจวัดดีแล้ว ....
ปัญหาที่ท่านพยายาม ขัดขวางไม่ให้มาวัด โดย คำพูดว่า ทำบุญน่ะ... ไม่จำเป็นต้องเข้ามาทำที่วัด ก็ได้
เมื่อคุณครูเท่านเห็นว่าเราตั้งใจกระทำความดี และการมาวัดธรรมกายนี้ไม่เสียหายอะไร ท่านก็จะเลิกสนใจไปเอง
หรือไม่ท่านอาจจะเกิดสนใจวัดขึ้นมาก็ได้ แต่ก็รักษาหน้าตัวเองก่อน
#8
โพสต์เมื่อ 02 September 2006 - 11:12 PM
ถ้า สามารถนำ ซีดีตอน นี้ไปให้คุณครู ดู เอง อาจจะตอบข้อสักถามของคุณครูได้นะจ๊ะ
ส่วนตัว ป้าไม่ค่อยตอบปัญหาต่างๆ กับคนนอกวัด เพราะคิดเสมอว่า เราจะไปตอบคำถาม คนนอกได้อยาก
ต้องให้ผู้รู้จิง ตอบดีก่า
และยิ่งคนถามเป็นคุณครูของเรา ท่านก็จะต้องคิดเสมอว่า ท่านมีภูมิรู้ดีกว่าเรา
ลองดูนะจ๊ะ หนูอาจจะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีให้คุณครูท่านนี้ได้จ๊ะ
เราก็เข้าใจเรื่อง การทำบุญ ต้องไปทำที่วัด ก็เพราะ ดูรายการ มงคลชีวิต ที่หลวงพ่อทัตตะ ท่านแสดงธรรมอ่ะ
ถ้า สามารถนำ ซีดีตอน นี้ไปให้คุณครู ดู เอง อาจจะตอบข้อสักถามของคุณครูได้นะจ๊ะ
ส่วนตัว ป้าไม่ค่อยตอบปัญหาต่างๆ กับคนนอกวัด เพราะคิดเสมอว่า เราจะไปตอบคำถาม คนนอกได้ยาก
ต้องให้ผู้รู้จิง ตอบดีก่า
และยิ่งคนถามเป็นคุณครูของเรา ท่านก็จะต้องคิดเสมอว่า ท่านมีภูมิรู้ดีกว่าเรา
ลองดูนะจ๊ะ หนูอาจจะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีให้คุณครูท่านนี้ได้จ๊ะ
#9
โพสต์เมื่อ 03 September 2006 - 12:46 AM
ไม่ทราบว่าคุณครูมีอคติกับวัดตรงไหน?
คุณครูมีแนวโน้มจะคิดว่า ครูจะรู้ดีกว่าลูกศิษย์เสมอ เลยทำให้มองข้ามสิ่งดีๆ หลายอย่างไป เพราะรู้สึกว่าเรารู้แล้ว
#10
โพสต์เมื่อ 03 September 2006 - 09:44 AM
วัฒนธรรมการเข้าวัด มีมาแต่ครั้งบรรพบุรุษแล้วครับ
#11
โพสต์เมื่อ 03 September 2006 - 11:14 AM
แต่ถ้าเข้ามาทำที่วัดต่างๆ จะทำให้เรามีกำลังใจในการสร้างบารมีมากกว่า
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#12
โพสต์เมื่อ 04 September 2006 - 08:46 AM
#13
โพสต์เมื่อ 04 September 2006 - 11:50 AM
ดังเช่น พระโพธิสัตว์ เกิดเป็นเจ้าชาย เสด็จแม่ของท่านเป็นคนขี้บ่น บริวารพากันหลีกห่างไม่อยากเข้าใกล้เลย พระโพธิสัตว์ ก็คอยหาโอกาสเตือน ไม่ใช่เข้าไปเตือนท่านตรงๆ แล้วโอกาสก็มาถึง
เมื่อเสด็จชมสวน พร้อมบริวาร ระหว่างทางไปเจอนกที่รูปร่างไม่สวย แต่ส่งเสียงเพราะ ทุกคนล้วนชื่นชม และยืนฟังเสียงมันอยู่นาน พอผ่านไปสักพัก ก็ไปเจอนกสีสวย แต่ส่งเสียงแกว้กๆ น่ารังเกียจ ทุกคนเร่งฝีเท้าหนีห่าง
แล้วพระโพธิสัตว์ ก็พูดขึ้นว่า นกที่ไม่สวย แต่เสียงเพราะ ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ ส่วนนกที่สีสวย แต่เสียงน่ารังเกียจ ใครๆ ก็หลีกห่าง คนเราก็เหมือนกัน เสด็จแม่ว่างั้นมั้ย
ตั้งแต่นั้น เสด็จแม่ ก็เปลี่ยนไป๋ ทันที
#14
โพสต์เมื่อ 04 September 2006 - 12:14 PM
น้องกริชสามารถประกาศพระศาสนาได้อย่างดีเลิศ โดยประพฤติตนตามที่คุณครูไม่ใหญ่สอนแหละจ้า โดยเฉพาะใครๆพอทราบแล้วว่าน้องกริชมาวัด ก็ยิ่งสนใจน้องกริชกันใหญ่...
น้องกริชต้องทำตัวให้ดีขึ้นมากๆเลยนะจ๊ะ โดยมีกายธรรมที่งาม วาจาธรรมที่งาม น้ำใจธรรมที่งาม "ให้สมกับเป็นธรรมธิดา"
น้องกริชอาจไม่ต้องไปเป็นทนายแก้ต่างอะไรด้วยคำพูดมากมายก็ได้จ้า แค่ประพฤติตนดีๆ อ่อนน้อมถ่อมตน พูดจาอ่อนหวาน ขยัน ตั้งใจเรียน มีน้ำใจกับเพื่อนๆและคุณครู แค่นี้ก่อน... พอตอนหลัง คุณครูจะเอียงคอมอง เพื่อนๆก็มองด้วยความอัศจรรย์ว่า เออแน่ะ พระพุทธศาสนาอัศจรรย์จริงหนอ วัดพระธรรมกายอัศจรรย์จริงหนอ ธรรมธิดาของวัดพระธรรมกาอัศจรรย์จริงหนอ แน่ๆเลยจ้า
#15
โพสต์เมื่อ 04 September 2006 - 12:38 PM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด อย่านึกถึงอีก
2. อดีตที่ผิดพลาดอย่าคิดทำอีก
3. หมั่นทำความดียิ่งๆขึ้นไป
4. เข้าถึงพระธรรมกายในตัว ดีที่สุด ชัวร์ที่สุด
บอกแค่ 2 ข้อแรกก่อนนะคะ ว่า นี่แหล่ะคือสิ่งที่หลวงพ่อสอนให้คิด เพราะคนทุกคนมักจะจมอยู่แต่กับความผิดพลาด ความทุกข์ของตัวเอง ถ้าหัดคิด หัดทำใจอย่างหลวงพ่อสอนได้ ใจก็จะสุข เพราะ เวลาใครถามพี่ koonpatt ก็จะบอกเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจเลือกเข้าวัดนี้ เพราะ 2 ข้อแรกจริงๆค่ะ และเพื่อนก็จะฟังด้วยค่ะ เพราะ คนเรายิ่งผ่านโลกมามาก ยิ่งมีเรื่องที่เป็นทุกข์มาก ถ้าเราบอกทางแก้ทุกข์ " ที่เป็นเรื่องธรรมดาๆ " ให้เขาเข้าใจง่ายๆ เค้าจะรับรู้ได้ว่า มันเป็นเรื่องจริง เรื่องอื่นนี่ ยากที่จะให้เค้าเชื่อค่ะ เอาเรื่องที่เป็น ธรรมชาติของคนทุกคนมาพูดกันก่อน แล้วอาจจะทำให้ฟังเรามากขึ้นนะคะ
ส่วนเรื่องทำไมต้องมาวัดนี้ พี่ koonpatt บอกว่า ไปวัดอื่นถวายของเสร็จ ไม่มีอะไรให้ทำค่ะ แต่มาที่นี่ มีอะไรให้ทำเยอะ ทั้งวัน ก็เลยมาที่วัดนี้ จะได้ไม่มีเวลา ไปเที่ยว ไปเกเรค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#16
โพสต์เมื่อ 04 September 2006 - 01:19 PM
ผมอ่านประโยคนี้แล้ว นึกภาพถึงครูผู้สงสัยใคร่รู้ อยากให้ศิษย์ทำความกระจ่างแจ้งให้เกิดขึ้นในใจ "ทำไมต้องมาทำบุญที่วัด" ผมมีความเห็นอย่างนี้ครับ
1.บุญที่เราทำ ไม่ใช่ทานอย่างเดียว แต่เป็น "ทาน ศีล ภาวนา"
จริงอย่างที่คุณครูว่าเราสามารถทำบุญโดยไม่ต้องมาวัดก็ได้ แต่ในเรื่องของการภาวนานั้น เราต้องมีครูบาอาจารย์คอยแนะนำให้นะครับ ไม่อย่างนั้นอาจหลงไปผิดทางได้
2.ลองนึกถึงสุภาษิต "คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล" การที่เรามาวัดฟังธรรม นอกจากได้ทำบุญแล้ว ยังได้พบเพื่อนๆกัลยาณมิตร ที่คอยเป็นกำลังใจให้กันและกันในการสร้างบุญกุศล ฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็นคนดี ไม่ได้ทำเพียงลำพัง ซึ่งอาจทำให้เราท้อถอยได้ง่าย
อีกอย่าง... การเล่าให้คุณครูฟัง อาจทำให้ครูไม่เห็นภาพ หรือ เข้าใจได้เพียง 10-20% ถ้าจะให้ได้มากกว่านั้น ต้องพาคุณครูมาดูด้วยตัวเองที่วัดครับ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#17
โพสต์เมื่อ 04 September 2006 - 06:52 PM
แล้วทำไมต้องมาวัดพระธรรมกาย?วัดอื่นไม่ได้หรือ? ก็วัดพระธรรมกายมีเนื้อนาบุญอยู่มาก สามารถนำคำสอนของพระบรมศาสดา มาประมวลให้คนหมู่มาก เกิดความสนใจ และเห็นคุณค่าในการศึกษา อีกยังง่ายต่อความเข้าใจ มีสื่อที่ทันสมัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่สามารถเรียนรู้ได้ง่าย
อุปมาเหมือน มีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ 5 ร้านติดกัน เราจะเลือกเข้าร้านไหน? คำตอบก็คือ ก็เข้าร้านที่ทำอร่อยที่สุด แล้วเราจะรู้ได้งัย ถ้ายังไม่ได้ชิม? ดูง่ายๆคือถ้าร้านไหนมีคนทานเยอะที่สุด ก็แสดงว่า ร้านนั้นน่าจะทำอร่อยที่สุด เช่นเดียวกับวัดพระธรรมกาย ในเมืองไทยมีวัดอยู่มาก แต่ทำไมถึงมีคนเข้าวัดพระธรรมกายมากที่สุดในโลก ก็เพราะวัดพระธรรมกาย มีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องดีงาม ตามหลักของพระบรมศาสดาทุกประการ และสามารถเผยแผ่ธรรมะ สู่ชาวโลกได้มากที่สุด อีกอย่างก็คือ มาทำบุญที่วัดพระธรรมกายแล้ว มีความปลื้มปิติมากที่สุด มีความสุขมากที่สุด หลังจากทำบุญแล้ว
แล้วทำไม เวลาเรียน ต้องไปเรียนที่โรงเรียน? แถมบังคับด้วย ไม่มาก็ไม่มีสิทธิ์สอบ ก็โรงเรียนเป็นศูนย์รวมแห่งความรู้ เราสามารถเรียนรู้วิชาการได้มากที่สุดที่โรงเรียน
แล้วทำไมต้องเรียน โรงเรียนนี้ ? ทำไมไม่เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ? เรียนที่ไหนก็ได้ความรู้เหมือนกันหมดแหละ
ความรู้น่ะได้จริงครับ แต่ไม่เหมือนกัน แต่ละโรงเรียนก็มีคุณภาพในการสอนต่างกัน ผลออกมาก็ต่างกัน หลายคนก็ต้องเลือก โรงเรียนที่มีชื่อเสียง ที่สังคมยอมรับ จบออกมาแล้ว นำความรู้ที่ได้มาปฏิบัติได้จริง เช่น สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติได้ เป็นต้น
อันนี้ลองยกมาเป็น ข้อเปรียบเทียบให้คุณครูลองพิจารณาดูนะครับ อาจทำให้ท่านเกิดความฉงนฉุกคิดขึ้นได้ แล้วที่เหลือก็ต้องให้ท่านมาสัมผัสด้วยตนเองครับ
สู้สู้ อนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ
#18
โพสต์เมื่อ 23 September 2006 - 07:10 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี