โดยปกติ เวลาเราเรียนรู้หลักธรรมต่างๆ จากพระไตรปิฎก หรือจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อสอน เราจะได้ความเข้าใจ แต่บางครั้งที่ยังได้ไม่ครบ ก็คือ ความซาบซึ้งจนเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการปฏิบัติ คิดได้ว่า เราเองต้องสู้ เราเองต้องทำเช่นนั้นเหมือนกัน นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ
สิ่งที่ทำให้เกิดความซาบซึ้งได้มาก ก็คือ ตัวอย่าง ในพระไตรปิฎก วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า ท่านทรงยกตัวอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชาดก ธรรมบท เป็นต้น แม้แต่ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนเราเรื่อง case study ทุกคืน ซึ่งทุกคนใจจดใจจ่อรอฟังว่า ตัวอย่างของคนที่ทำอย่างนี้ แล้วเกิดผลอย่างไร สิ่งนี้ คือ สิ่งที่สร้างความเข้าใจในเรื่องหลักธรรมและเกิดแรงบันดาลใจได้ดีที่สุด
ตัวอย่างสมัยพุทธกาลในพระไตรปิฎกมีหลายแบบ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยกมา เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาอุบาสิกาวิสาขา ที่เป็นสุดยอดอุปัฏฐากในพระพุทธศาสนา ทำให้มีผู้เกิดแรงบันดาลใจอยากทำดีมากมาย แต่มีคนบางส่วนรู้สึกว่า กุเรื่องขึ้นมา เสริมแต่งเรื่องเข้าไป ถึงขนาดเอาเงินปูเรียงเคียงกันเชียวหรือ เงินทองหมด ข้าวจะกินยังไม่มี ต้องเลี้ยงพระด้วยน้ำผักกาดดอง เทวดามาห้ามยังไม่เชื่อ จะเป็นเรื่องจริงแน่หรือ แต่ตัวอย่างที่เป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ จัดเป็นตัวอย่างที่ดี เช่น ไล่ตงจิ้น ซึ่งเป็นคนที่มีชีวิตลำบากมากอย่างหาได้ยาก
พ่อของไล่ตงจิ้นเป็นขอทานตาบอด ไม่มีที่อยู่อาศัย แม่เป็นคนปัญญาอ่อน ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ไม่มีบ้านอยู่ พ่อไปเจอแม่ตอนที่แม่อายุ 13 ปี กำลังร้องด้วยความเจ็บปวด พ่อสงสาร จึงเก็บไปเลี้ยง ต่อมาหลายปีผ่านไป จึงอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน ทั้งสองไม่รู้วิธีการคุมกำเนิด ก็มีลูกด้วยกัน 12 คน คือ พี่สาวคนโต ไล่ตงจิ้น และน้องๆ อีก 10 คน เพราะความที่เป็นคนปัญญาอ่อน แม่ไม่ค่อยรู้เรื่องว่าตัวเองมีลูกแล้ว ไล่ตงจิ้นสู้ชีวิตจนมายืนอยู่แถวหน้าสุดของประเทศได้ เป็นบุคคลดีเด่นแห่งชาติ 1 ใน 10 คนของประเทศไต้หวันเมื่อปี 2542 เขาได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับอัตชีวประวัติของตัวเองขึ้น ซึ่งประธานาธิบดีแห่งไต้หวันแนะนำชาวไต้หวันว่าควรอ่าน
ไล่ตงจิ้นเป็นตัวอย่างที่ดีในแง่คุณธรรมแบบหยาบ พระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโวเคยสอนว่า นักสร้างบารมีต้องไม่มีข้อแม้ ท่านเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอาจารย์ คุณยายทำที่ใส่กระดาษทิชชูแจกลูกพระลูกเณรทุกรูป ไม่มียกเว้น นักสร้างบารมีต้องไม่คิดว่าทำไมต้องเป็นเรา ไม่บ่นโทษฟ้าดิน ไม่บ่นว่าทำไมเราเสียเปรียบเขา ไม่บ่นว่าทำไมอาหาร ที่พักของเราเป็นแบบนี้ ไม่บ่นว่าอันนั้นอันนี้ไม่ถูกใจ หากเราลองเทียบกับไล่ตงจิ้น คำบ่นต่างๆ คงน้อยลงไป
เริ่มแรก ที่อยู่ของไล่ตงจิ้นไม่เป็นหลักแหล่ง ค่ำไหนนอนนั่น เขาเคยพักมาทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นใต้ต้นไม้ ใต้สะพาน ตลาดสด ใต้โรงงิ้ว ทุ่งนา ป่าร้าง ศาลา สวนกล้วย ไร่อ้อย โรงเพาะเห็ด หลุมหลบภัย แม้กระทั่งเล้าหมู สถานที่เขาอาศัยนอนบ่อยที่สุด คือ ศาลเจ้าในสุสาน เพราะคนตายไม่ดูแคลนเขา และไม่ไล่เขา ที่ยืน ที่นั่ง ที่นอนของเขาล้วนเป็นแผ่นดินของผู้อื่นทั้งสิ้น เวลาเอนกายลงนอนก็ผวาว่าเจ้าของจะมาไล่หรือไม่ ถ้าถูกไล่ ก็ต้องลุกไปหาที่นอนใหม่ เรียกได้ว่า หาที่ซุกหัวนอนจริงๆ เขาเริ่มมีบ้านเมื่อเริ่มเข้าเรียน เพราะย้ายไปเรื่อยๆ ไม่ได้อีกแล้ว บ้านของเขาดัดแปลงจากเล้าหมูร้าง มีพื้นที่ 7 ตารางเมตร สำหรับ 14 ชีวิต บ้านเขาล้อมรอบด้วยเล้าหมูที่มียังเลี้ยงหมูอยู่ นอกจากนี้ยังมีนก หนู แมลงสาบ ปลวก แต่พวกเขาก็อยู่ได้
อาหารการกินของเขา คือ ผลไม้ช้ำๆ ที่ขายไม่ได้แล้วจากแผงขายผลไม้ โดยไม่สนว่าจะถูกล้อเลียนจากเด็กคนอื่นๆ เขาเลือกเอาผลไม้ที่ช้ำน้อยที่สุดไปให้พ่อแม่ของเขาก่อน รองลงมาให้พี่น้อง ส่วนของตัวเองเลือกที่ช้ำมากที่สุด เขาไม่รู้ว่า เขาเอาชนะความอยากของตัวเอง ยอมกินน้อย และกินส่วนที่แย่ที่สุดได้อย่างไร ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้ความรู้สึกกตัญญูกตเวทีมาจากไหน เพราะเวลานั้น เขายังไม่ได้เรียนหนังสือ และไม่มีใครสอน เขารู้จากจิตสำนึกว่าต้องทำแบบนี้ ข้าวบูด ไก่ที่เน่าก็ตัดเอาส่วนที่เน่าทิ้งไป เอาส่วนที่ยังพอกินได้มาต้มซุป แต่ทุกคนก็มีกระเพาะที่แข็งแกร่ง คล้ายกับมีภูมิต้านทาน ไม่มีใครท้องเสียเลย
เครื่องนุ่งห่มของพวกเขา ได้จากชุดกระสอบป่านสีขาวในงานศพ หรือชุดของคนตาย โดยจะได้ภายหลังจากไปช่วยงานศพของคนอื่น ถ้าชุดมีขนาดใหญ่ก็พับแขนพับขาเอา เขาไม่เคยนึกเรื่องแฟชั่นเลย
ศักดิ์ศรีของพวกเขา ขบวนของพวกเขาเริ่มจากพ่อตาบอด เดินจูงลูกที่ยังเดินไม่ค่อยได้อยู่หน้า 1 คน หลัง 1 คน ตามด้วยไล่ตงจิ้น ที่มือซ้ายถือโซ่ที่ล่ามแม่ และมือขวาถือโซ่ที่ล่ามน้องชายคนโตที่ปัญญาอ่อน 2 คนนี้ ตีกันบ่อยๆ จนต้องเอาโซ่ล่ามไว้ พี่สาวแบกผ้าห่มขาดๆ เดินตามมา และจูงน้องชายคนเล็ก น้องที่ยังคลานอยู่ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่ได้อาบน้ำ ก็คลานตามมา จับอะไรได้ก็เอาใส่ปาก ตัวก็เปื้อนดินทรายจับเป็นไคลหนาเตอะ เมื่อคนอื่นเห็น ก็มีปฏิกิริยาต่างกันไป บางคนสงสารจนน้ำตาไหล บางคนก็หัวเราะคิกคัก แถมมาแกล้งเอาหนังสติ๊กยิง เอาพลุไฟยิงใส่แม่ ไล่ตงจิ้นก็เอาตัวไปรับแทน บางคนก็มารังแก มาล้อ บางคนสงสารก็เอาเศษข้าวมาให้ คล้ายกับละครสัตว์ที่เร่แสดงเพื่อแลกรางวัลเป็นข้าวพอให้ยังชีพได้ คำว่า “ศักดิ์ศรี” สำหรับไล่ตงจิ้นแล้ว เป็นเพียงคำคำหนึ่งที่อยู่ในหนังสือแบบเรียน
“กว่าผู้คนจะแยกย้ายกันไป ฟ้าก็มืดแล้ว พวกเราเหนื่อยกันเกือบตาย แต่ยังหาสุสานที่พักพิงไม่ได้ ได้แต่รีบหาต้นไม้ใหญ่เป็นที่พัก แล้วนำเศษอาหารที่ได้รับมาแบ่งกันกิน” เมื่อยังหาที่พักไม่ได้ พวกเขาก็มาพักใต้ต้นไม้ หากฝนตก ก็ยังพอมีใบไม้ที่รับน้ำไว้ พอให้ทนได้ แล้วก็เอาเศษอาหารมาแบ่งกันกิน พอให้ผ่านไปอีกวัน ฤดูหนาวของประเทศไต้หวัน อุณหภูมิต่ำถึง 5 องศาเซลเซียส ดังนั้น การใช้ชีวิตไม่ได้ง่ายเหมือนเมืองไทย
เมื่อเรารู้สึกว่า คนอื่นพูดกับเราไม่เพราะ เรายิ้มให้คนนั้นแล้วเขาไม่ส่งยิ้มกลับมา หรือเรายกมือไหว้เขา แล้วเขาไม่ทันจะรับไหว้เรา แล้วทำให้เราคิดว่า ครั้งต่อไป ถ้าเราผ่านคนนี้ เราจะทำเฉย เพราะเรายิ้มให้ แล้วเขาไม่ยิ้มตอบ เขามาหมิ่นศักดิ์ศรีเรา หากเรายึดมั่นศักดิ์ศรีมากๆ ให้ลองทบทวนดูอีกครั้งว่า ศักดิ์ศรีของคนคืออะไร เป็นทิฐิมานะ ความถือตัว หรือเป็นคุณธรรม เป็นบุญที่มีอยู่ภายใน ศักดิ์ศรีอยู่ตรงไหนกันแน่
ไล่ตงจิ้นอยู่ในสถานะที่ไม่มีศักดิ์ศรีอะไรให้ถือ ชาติตระกูล ฐานะ ความรู้ รูปลักษณ์หน้าตา ไม่มีอะไรให้ถือเลย เมื่อมีอะไรให้ถือ ก็เกิดอติมานะ เมื่อไม่มีอะไรให้ถือ ก็ซึมเศร้า อารมณ์ตกต่ำ หมดอาลัยตายอยาก สู้ใครไม่ได้ เงยหน้าก็ไม่กล้าสู้ฟ้า ก้มหน้าก็ไม่กล้าสู้ดิน อยู่แบนติดดิน รอให้คนมาเหยียบ กลายเป็นอวมานะ ไม่ดีทั้ง 2 อย่าง ที่ดีคือเป็นอย่างเรา คือ รู้หลัก แล้วก้าวต่อไป ไล่ตงจิ้นเกิดมาไม่มีอะไรให้ถือดีเลย แต่ก็ไม่เคยย่อท้อ ค่อยๆ สู้ทีละก้าว จนสุดท้ายได้รับการยอมรับจากคนทั้งแผ่นดินไต้หวัน ไม่เพียงเท่านั้น หนังสือของเขายังรับการตีพิมพ์เป็นหลายสิบภาษาทั่วโลก คนที่ได้เห็นชีวิตของเขา จะได้เห็นว่าเขาเป็นคนสู้ชีวิต ดังที่เราได้นำมาเป็นตัวอย่าง ไล่ตงจิ้นเกิดเป็นลูกขอทานที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร เมื่อเขาไม่ยึดติดกับศักดิ์ศรีจอมปลอม แต่จับถูกหลักว่า ศักดิ์ศรีที่แท้จริงอยู่ที่ความพยายาม ความมุมานะ การตั้งใจฝึกฝนตนเอง สุดท้ายเขาค่อยๆ ก้าวทีละก้าว อย่างช้าๆ จนกระทั่งก้าวไปอยู่บนยอดที่คนทั้งชาติจับตามองดูได้