เรื่องแม่ของไล่ตงจิ้น มีวันหนึ่งกลับถึงบ้าน แล้วโซ่ที่ล่ามแม่หลุด แม่หายไป น้องชายก็หายไป เขาและพี่สาวช่วยกันตามหาทั้งคืน จนไปเจอแม่อยู่ในบ่อ เขากระโดดลงไปในบ่อเพื่อจะช่วยแม่ขึ้นมา แม่ไม่ยอมขึ้นมาเพราะนึกว่าเป็นคนร้าย เขาบอกแม่ว่า นี่คือเขาเอง แต่ก็ไม่สามารถเรียกสติแม่กลับมาได้ แม่มองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า 2-3 นาที แล้วขัดขืนไม่ยอมขึ้นจากบ่อ สุดท้ายเขายืนอยู่กลางบ่อน้ำ ปล่อยโฮ แล้วกอดแม่ไว้แน่น แม่จะทุบจะตีอย่างไรก็ไม่ถอยไม่หลบ ปากก็ตะโกนร้องไห้ เรียกแม่ และบอกว่า ตนเป็นลูกแท้ๆ ของแม่ เป็นลูกที่แม่คลอดออกมา บางครั้งเขาแค้นใจเหลือเกินว่า ในโลกนี้ มีแม่สักกี่คนที่จำลูกตัวเองไม่ได้ แล้วทำไมคนนั้นต้องเป็นแม่ของเขาด้วย ถึงเขาเจอแบบนี้ เขาก็ไม่ย่อท้อ และดูแลแม่ตลอดชีวิต ก่อนพ่อจะเสียชีวิต ได้ฝากให้เขาดูแลแม่กับน้องชายที่ปัญญาอ่อน เพราะคนอื่นยังเอาตัวรอดได้ เขารับปากพ่อ เขาขอทานเพื่อเลี้ยงแม่ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ กลับมาก็ทำงานล่วงเวลาต่อ ได้นอนเพียงวันละไม่กี่ชั่วโมง เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน เห็นแม่ทะเลาะกับน้องชาย ส่งเสียงอึกทึกราวกับห้องจะถล่มทลาย แม้จะตกใจ แต่เขาจะทำอะไรก็ไม่ได้ ทำได้เพียงอดทน การเลี้ยงดูแม่ของไล่ตงจิ้น จึงไม่เหมือนคนทั่วไปที่เพียงแค่รับท่านมาอยู่ด้วย แล้วให้ข้าวให้น้ำ แต่เขาดูแลแม่และน้องชายที่ปัญญาอ่อน ความยากนั้นย่อมมากกว่า จะคุยก็คุยไม่ค่อยรู้เรื่อง และยังอาละวาดบ่อยๆ การดูแลจึงยาก แต่เขาก็ต้องกัดฟันสู้ เขามีความอดทนและความกตัญญูโดยที่ไม่มีใครสอน สิ่งเหล่านี้ซึ้งเข้ามาอยู่ในใจของเขา โดยหล่อหลอมจากสิ่งที่เจอ และเป็นวิถีที่เขาปฏิบัติ
ความรับผิดชอบ ตอนเป็นขอทาน จัดว่าสบายที่สุด คือ เมื่อไปขอทานกลับมาแล้ว เขาก็มีหน้าที่แบ่งข้าวให้ทุกคนกิน โดยเริ่มจากกลุ่มที่กินข้าวได้เองก่อน คือ พ่อ แม่ และน้องๆ ที่โตแล้วส่วนน้องสาว น้องชายที่ยังเล็กอยู่ เขาและพี่สาวแบ่งกันป้อน ส่วนทารกน้อยที่ไม่มีนมแม่กิน ป้อนข้าวก็กลัวจะติดคอตาย ก็เอาข้าวมาเคี้ยวให้ละเอียด แล้วค่อยๆ ป้อน หลังจากนั้น ก็จัดการปัสสาวะอุจจาระของน้องๆ ที่เลอะเทอะ รวมถึงของแม่และน้องชายที่ปัญญาอ่อนด้วย แล้วขนเสื้อผ้าไปซัก เปลี่ยนผ้าอ้อมให้น้องสาว น้องคนเล็กเล่นอุจจาระตัวเอง แล้วจะเอาเข้าปาก ก็รีบไปห้าม น้องอีกคนลื่นหกล้มทับอุจจาระ จะไปปลอบน้องชาย น้องสาวคนโตอาละวาดเพราะหิว นี่คือ หน้าที่การงานในบ้านที่เขาต้องดูแลตลอดภายหลังจากขอทานเสร็จ
“ผมมองดูสภาพความวุ่นวายที่ดูเหมือนจะไม่มีทางจบสิ้นแล้ว รู้สึกรันทดท้อเป็นที่สุด ผมปาของในมือลงกับพื้นอย่างเหลืออด แล้วก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย ภาระที่แบกไว้นี้มันหนักเหลือเกิน จนบางครั้งผมคิดจะหนีไป แล้วทิ้งทุกอย่างที่นี่เสีย ไปตายเอาดาบหน้าคนเดียว แต่พอคิดอย่างนี้ขึ้นมาทีไร ผมก็ใจอ่อนทุกที นึกถึงเมื่อคืน ตอนที่ช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้น้องสาวคนเล็ก ตอนนี้น้องเริ่มจำคนได้แล้ว น้องมองหน้าผมแล้ว เขาย่นจมูกขึ้น ยิ้มน้อยๆ ให้ผม น่ารักที่สุดเลย สิ่งนี้เองที่สอนให้ผมรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า หัวใจละลาย ความรู้สึกเช่นนี้ยังจะมีสิ่งอื่นใดในโลกมาแลกได้อีกได้หรือ ว่าแล้ว ผมก็ยกมือเขกหัวตัวเองแรงๆ ถือชามที่บรรจุอาหารอยู่เต็ม สาวเท้าก้าวยาวๆ อยากกลับถึงบ้านไวๆ” ตอนที่เขาทำหน้าที่เช่นนี้ เขาอายุเพียง 7-8 ขวบเท่านั้น เขาต้องฝ่าพายุไปเคาะประตูตามบ้าน แม้จะถูกด่า ถูกไล่ เขาก็ทนเคาะประตูไปเรื่อยๆ จนกว่าจะขออาหารมาได้ เขาหาอะไรมาคลุมอาหารไม่ให้แฉะ แล้วเอากลับไปที่บ้าน
อายุเป็นเพียงส่วนประกอบ ส่วนที่สำคัญ คือ สำนึกความรับผิดชอบ ภาระหน้าที่ที่มีต่อตัวของเราเอง ต่อครอบครัว ต่อหมู่คณะ ต่อวัด ต่อพระศาสนา ถ้าใครคิดเป็น ก็จะเห็นอะไรที่กว้างไกล ใจก็จะสูงขึ้น ใครที่คิดไม่เป็น ก็จะเห็นแคบลง เหลือแค่ตัวเองคนเดียว หวังให้ทุกอย่างรอบตัวแปรเปลี่ยนไปอย่างใจตัวเองปรารถนา คนที่มองเป็น จะยอมรับสิ่งแวดล้อมอย่างที่มันเป็น แล้วมองว่า ตัวเรามีหน้าที่รับผิดชอบอย่างไร และจะทำอย่างไรให้ทุกอย่างดีขึ้น ศูนย์กลางในการคิดไม่เหมือนกัน จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง หรือ เอาส่วนรวมเป็นศูนย์กลาง ถ้าคิดเป็น มีสัมมาสังกัปโป คิดแล้วใจสูง คิดแล้วใจใส คิดแล้วมีกำลังใจในการพัฒนาตัวเองในการทำความดี ถ้าไม่มีสัมมาสังกัปโป ยิ่งคิด ใจยิ่งหดเล็กลง คิดแล้วใจหมอง การแยกว่าเป็นสัมมาสังกัปโปหรือมิจฉาสังกัปโป ดูได้จาก เมื่อเราคิด เราพูด ยิ่งคิด ความซึม เซ็ง เบื่อ กลุ้ม ยิ่งเพิ่ม ใจยิ่งหมอง ไม่มีกำลังใจทำความดี แสดงว่า คิดผิดแล้ว หรือถ้าเราคุยกับใคร แล้วรู้สึกอย่างนี้ ให้ห่างคนเหล่านั้นไว้ ถ้าคิด พูด ทำ แล้วทำให้ใจใส มีกำลังใจทำความดี แสดงว่า ถูกต้อง ผลที่ออกมา สามารถบอกเหตุได้
พี่สาวของไล่ตงจิ้น เสมือนภาพตัวแทนของแม่ในใจของเขา เพราะแม่ของเขาปัญญาอ่อน อยู่ในภาวะที่เขาต้องดูแลแม่มากกว่า พี่สาวเป็นคนที่เขาปรึกษาได้ ปรับสารทุกข์สุกดิบกันได้ พี่สาวอายุมากกว่าเขา 3-4 ปี เขารักพี่สาวมาก เวลาไปขอทานก็ไปขอทานด้วยกัน เวลาตัวเองไปขอทาน ก็ให้พี่สาวดูแลบ้าน มีอะไรก็ช่วยกันตลอด วันหนึ่ง เขากลับมาจากโรงเรียน เห็นพี่นั่งร้องไห้ เขาถามว่า ไม่สบายหรือเปล่า ถูกใครรังแกหรือเปล่า พี่สาวก็ไม่ยอมบอก แล้วก็แยกย้ายกันนอนพักผ่อน เช้าวันรุ่งขึ้น เขารีบตื่นไปโรงเรียน พี่สาวยังไม่ตื่น จึงยังไม่ได้คุยกัน พอกลับมาจากโรงเรียน พี่สาวไม่อยู่ที่บ้านแล้ว เขามารู้ความจริงภายหลังจากพ่อว่า พ่อขายพี่สาวให้กับซ่องโสเภณี เพื่อเอาเงินมาส่งให้เขาเรียนหนังสือและจุนเจือครอบครัว เขาตกใจมาก และคิดว่า จะไม่เรียนแล้ว พ่อบอกว่า ถ้าเขาทิ้งการเรียน ก็เท่ากับทรยศต่อพี่สาว เขาจึงต้องกลับไปเรียนต่อ เมื่อเขากลับจากโรงเรียน ก็รีบมาช่วยพ่อขอทาน เขาต้องทำเวลา เพราะสุสานที่เขาพัก อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กม. ขณะที่พ่อกำลังขอทานอยู่ข้างถนน เขาก็นั่งอ่านหนังสือ ทำการบ้านอยู่ข้างๆ โดยต้องระวังตำรวจไปด้วย ถ้าตำรวจมา ต้องรีบพาพ่อวิ่งหนีเนื่องจากตำรวจจะจับ เขาสอบได้ที่ 1 ตลอดตั้งแต่เรียน ป.1 ถึง ป.6
ช่วงที่เขาอยู่ ป.3 มีการประกวดเขียนพู่กันคัดลายมือ เขาอยากไปแข่งบ้าง แต่ไม่มีเงินซื้อพู่กัน จึงเอากิ่งไม้มาซ้อมเขียน แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนอย่างไร เขาไปเปิดดูในร้านหนังสือ เพราะไม่มีเงินซื้อหนังสือ แอบจำออกมา แล้วฝึกเขียนทีละตัว เขียนแล้ว เขียนอีก ใกล้ถึงเวลาแข่ง ก็เอาเงินไปซื้อพู่กันที่ราคาถูกที่สุด จุ่มหมึกเขียนแต่ละครั้ง ขนพู่กันก็หลุดออกมาเป็นเส้นๆ ผลคือ เขาแข่งชนะตั้งแต่ ป.3 ถึง ป.6 นั่นคือ อยู่ที่ความวิริยะอุตสาหะ ความสู้
เขาบอกว่า เขาเสียเวลาอยู่ที่โรงเรียนทั้งวัน ดังนั้น เวลาที่เขากลับมาแล้ว จะปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้เลยซักวินาที เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เขาต้องถือกระเป๋ารีบวิ่งกลับบ้าน รีบถอดชุดนักเรียน ถอดรองเท้านักกีฬาซึ่งเป็นรองเท้าเพียงคู่เดียวของเขาออก “ ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผมเพิ่งเคยซื้อชุดชุดนี้ และรองเท้าคู่นี้เป็นครั้งแรก ผมจึงกลัวว่ามันจะขาดและสกปรกเร็วเกินไป แล้วเปลี่ยนเป็นชุดท่านชายตกยาก ซึ่งเป็นเสื้อผ้าของผู้ตายที่ได้รับแจกมาจากงานศพ เดินเท้าเปล่า สะพายกระเป๋านักเรียน เดินจูงพ่อออกไปขอทานตามที่ต่างๆ ”
การเรียนและรางวัลที่เขาได้รับ ตั้งแต่วันที่เขาไปรายงานตัว เด็กคนอื่นมีพ่อแม่มาส่ง ร้องไห้กระงอแงไม่อยากมาเรียน จะกลับบ้าน แต่เขามาโรงเรียนคนเดียว ครูถามว่า ทำไมมาคนเดียว พ่อแม่ไปไหน เขาตอบว่า พ่อแม่เขามาไม่ได้ พ่อเขาตาบอด แม่เขาปัญญาอ่อน ทุกคนในห้องและพ่อแม่ของคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง ถึงตอนจะกรอกอาชีพผู้ปกครอง เขาก็ไม่รู้จะกรอกอย่างไร เขาถามครูว่า ครูครับ พ่อผมเป็นขอทาน ผมจะเขียนอย่างไรดีครับ ครูจึงบอกให้เขียนว่า ทำอาชีพส่วนตัว เขาเขียนไม่เป็น เพราะไม่ได้เรียนชั้นอนุบาลมาก่อน ครูจึงสอนเขาให้เขียน หลังจากผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ มีการเลือกหัวหน้าห้อง เพื่อนๆ เลือกเขาให้เป็นหัวหน้าห้อง เพราะความรับผิดชอบและความเป็นผู้นำที่เขามีมาตลอด ห้องของเขาเป็นแชมป์ด้านความสะอาด และด้านอื่นๆ มาตลอด เขาจึงเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมชั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ผมอ่านหนังสืออย่างบ้าคลั่งทุกวัน แม้บางคืนจะได้นอนเพียงไม่ถึง 3 ชั่วโมงก็ต้องตื่น แต่ผมไม่เคยละทิ้งโอกาสใดๆ ที่จะทำให้ผมได้อ่านหนังสือ ในที่สุด ผลการสอบวัดผลของเทอมแรกออกมา ปรากฏว่า ผมสอบได้คะแนนเต็มทุกวิชา และสอบได้ที่ 1 ของนักเรียนทั้งระดับชั้น ผมยังจำได้ถึงวันประชุม ครูใหญ่เป็นผู้ยืนมอบรางวัลอยู่ที่หน้าเวที ตอนที่ครูใหญ่ประกาศว่า ขอเชิญเด็กชายไล่ตงจิ้น ประถม 1 ห้อง ข ให้ออกมารับรางวัล ผมตื่นเต้นดีใจจนตัวสั่น ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ผมอยากจะตะโกนออกมาเหลือเกินว่า ผมเองครับ ผมวิ่งออกไปรับเกียรติบัตรและรางวัลด้วยความปลาบปลื้มใจยิ่ง ในวินาทีที่มือผมได้สัมผัสกับเกียรติบัตร ผมรู้สึกราวกับว่าไฟฟ้าช้อต มือผมสั่นจนแทบจะถือเกียรติบัตรบางๆ แผ่นนั้นไม่ไหว วันเวลาแห่งความพากเพียรที่สู้อดทนยืนท่องหนังสือตามข้างถนน คุกเข่าทำการบ้านบนพื้นดินขรุขระ ความอุตสาหะของผมไม่ได้สูญเปล่าเลย ผมสอบได้ที่ 1 แล้ว ตอนที่ผมกำลังหมุนตัวกลับลงมาจากเวทีนั้น คณะครูอาจารย์และนักเรียนต่างก็คึกคักกันสุดขีด เสียงตบมือแสดงความชื่นชมดังสนั่นหวั่นไหว ในโรงเรียนเล็กๆ แห่งนี้ แทบไม่มีใครไม่รู้สภาพครอบครัวของผม ผมรู้ว่าพวกเขากำลังเอาใจช่วยผม ไม่เพียงแต่เฉพาะเรื่องเรียนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้กำลังใจผม ให้มีพลังใจที่จะต่อสู้กับชีวิตในวันข้างหน้าด้วย”