ก่อนบวชเป็นหนี้อยู่2พันเป็นพระแล้วไม่จ่ายปาราชิกหรือไม่
#1
โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 03:03 PM
#2
โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 03:26 PM
ดังนั้น จึงไม่ปาราชิก (ขาดจากความเป็นพระ) แต่ ไม่ได้เป็นพระตั้งแต่แรกต่างหาก
#3
โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 05:05 PM
"คราวนี้ จะอธิบายถึงธรรมเนียมให้อุปสมบทของสงฆ์. ผู้จะ
อุปสมบทนั้น ต้องเป็นชาย มีอายุครบกำหนดเป็นบุรุษ คือไม่ต่ำ
กว่า ๒๐ ปี นับแต่ปฏิสน-ธิมา หาได้เป็นมนุษย์วิบัติ คือถูกตอน
เป็นต้นไม่ ไม่ใช่คนทำความผิดอย่างร้ายแรง เช่นฆ่าบิดามารดา และ
ไม่ใช่คนเคยทำความเสียหายในพระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรง คือต้อง
ปาราชิกเมื่อบวชเป็นภิกษุคราวก่อน หรือไปเข้ารีตเดียรถีย์ทั้งที่เป็น
ภิกษุ ถ้าเป็นคนมีโทษเห็นปานนั้นหรือเป็นสตรี อุปสมบทไม่ได้
เรียกว่าวัตถุวิบัติ หากสงฆ์จะขืนให้อุปสมบทหรือทำให้โดยไม่รู้ ก็ไม่
เป็นภิกษุโดยถูกต้องแก่พระบัญญัติ รู้เข้าเมื่อใด จำจะต้องให้ออก
เสียจากหมู่เมื่อนั้น คนพ้นจากโทษดังว่าแล้ว เรียกว่าวัตถุสมบัติ
ควรจะรับอุปสมบทได้. แม้คนผู้ไม่ต้องห้ามเป็นเด็ดขาดเช่นนั้นแล้ว
ก็ยังควรจะเลือกสรรอีก ควรจะเว้นคนเสียชื่อเสียง เช่นคนเป็นโจร
หรือหัวไม้ขึ้นชื่อโด่งดัง คนทำความผิดถูกรับอาชญาแผ่นดิน มี
เครื่องมายติดตัว เช่นถูกเฆี่ยนหลังลาย ถูกสักหมายความผิด คน
มีอวัยวะพิการต่าง ๆ คนมีโรคไม่รู้จักหาย ซึ่งไม่สามารถจะทำ
หน้าที่ของภิกษุได้ คนมีโรคที่ติดกัน มีโรคเรื้อรัง คนอยู่ใน
หวงห้ามของผู้อื่น คือคนอยู่ในปกครองของมารดาบิดา คนอยู่ใน
ราชการ คนเป็นทาสเป็นหนี้ของผู้อื่น แต่คนจำพวกหลังพ้นจาก
ความหวงห้ามแล้ว เช่นบุตรได้อนุญาตของมารดาบิดา ข้าราชการ
ได้อนุญาตของเจ้าหน้าที่ คนพ้นจากทาสจาหนี้แล้ว ให้อุปสมบท
ได้. ถึงมีห้ามไว้ก็จริง แต่ไม่ได้ห้ามเป็นเด็ดขาดเหมือนคนจำพวก
ก่อน ถ้าจับพลัดจับผลูเข้ามาบวช จัดว่าบวชแล้วก็แล้วไป ไม่จำต้อง
ให้ออกเสียจากหมู่."
เอาไว้ดูเป็นข้อมูลครับ ครูบาอาจารย์สอนมา
#4
โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 05:14 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#5
โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 05:47 PM
ปล. หากใช้ปัจจัยบางส่วนจากกิจ หลังจากบวชนำไปส่งให้ตามจำนวนที่มีให้ไปเรื่อยๆ จนครบจะได้ไหมละครับ
จนกระทั้งถึงแก่กรรม
"กรณีผู้กู้ยืมถึงแก่กรรม หนี้ตามสัญญากู้ยืมเป็นอันระงับไป ทั้งนี้ทายาทหรือสถาบันการศึกษาต้องส่งสำเนาใบมรณบัตร หรือสำเนาทะเบียนบ้านของผู้กู้ยืมที่ถึงแก่กรรม โดยให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจรับรองสำเนาเอกสารดังกล่าว แล้วส่งให้ธนาคารทราบ "
เพราะถ้าหากรอให้ครบ 10-15 ปีคงจะวัยกลางคนหรือแก่กันพอดี หรือจะหาเงินก้อนใหญ่มาให้ที่เดียวก็คงไม่ทันใน 2-5 ปี
เพราะถ้ารู้แต่แรกว่า จะทำให้เข้าสู่ร่มกาสาวพักฑ์ไม่ได้ ตอนนั้นคงจะไม่กู้มา แต่ทำอย่างไรได้ละ
ในเมื่อเงินต้องใช้ในการเรียน กว่าจะจบตรีได้ เราต้องใช้เงินเยอะนะ แล้วอีกอย่างฐานะก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย
ส่วนจะไม่เรียนก็คงจบความรู้เพียงเท่านั้น อีกอย่างเราก็มีโอกาศได้ทุน ได้สิทธ์เข้ามาเรียน มหาลัยที่ดีด้วย จะปฏิเสธตอนนั้นก็ไม่ได้
ถ้ารู้ว่าหนทางของชีวิตเราคือที่สุดแห่งธรรม ตอนนั้นไม่น่าคิดผิดพลาดที่เรียนทางโลกเลย น่าจะเลือกเรียนทางธรรมมากกว่า
แต่สภาวะและคนรอบข้างเขาต้องการให้เป้นอย่างนี้ อดีตไม่สามารถแก้ได้ คงต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่อไป
#6
โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 07:10 PM
ในสมัยโบราณ คนที่ออกบวชย่อมบวชเพราะชรา เจ็บป่วย จนทรัพย์ สิ้นญาติขาดมิตร สำหรับพระพุทธเจ้าพระองค์ปรารภความเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงออกบวช ส่วนคนทุกวันนี้บวชตามประเพณี เมื่ออายุครบ ก็บวช บวชเป็นการแก้บนบ้าง บวชตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่บ้าง
คนที่ควรบวชให้คือ
คนมีอายุครบ 1
มีอาชีพชอบและมีหลักฐานดี 1
มีความประพฤติดี ไม่ติดฝิ่น กัญชาและสุรา เป็นต้น 1
มีความรู้อ่านออกเขียนได้ 1
ปราศจากบรรพชาโทษ และมีรูปร่างสมบูรณ์ ไม่ชรา ทุพพลภาพ หรือพิกลพิการ 1
คนที่ไม่ควรให้บวช คือ
คนมีอายุไม่ครบ 1
คนทำความผิดหลบหนีอาญาแผ่นดิน 1
คนหลบหนีราชการ 1
คนมีคดีค้างในศาล 1
คนถูกตัดสินจำคุกฐานเป็นผู้ร้ายสำคัญ 1
คนถูกห้ามอุปสมบทโดยเด็ดขาด 1
คนมีโรคติดต่อ 1
คนมีอวัยวะพิการ ไร้ความสามารถจนไม่อาจปฏิบัติศาสนกิจได้สะดวก 1
คนที่มีลักษณะดังกล่าวมานี้ไม่ควรให้บวช
http://www.isangate....life/labuad.htm
#7
โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 08:47 PM
ส่วนตัวนะคะคิดว่า อยากให้นึกถึงคำนี้ก่อนค่ะ " ความรับผิดชอบ " คือถ้าบวชสักระยะนึง แล้วจะสึกออกมา เมื่อออกมาแล้วก็ควรใช้หนี้ค่ะ และก่อนบวชควรแจ้งให้เจ้าหนี้ทราบด้วยนะคะ จริงค่ะ ว่าการบวชเป็นเรื่องดี แต่การไม่ชำระหนี้ ไม่ดีแน่ เงินของใครๆก็เสียดายค่ะ คนที่เราไปเอาของเค้ามา เค้าอาจจะหามาด้วยความยากลำบาก ยิ่งจะทำให้เค้าผูกเวรนะคะ และถ้าเป็นคนทั่วไปที่มี " สามัญสำนึก " ก็คงจะบวชอยู่อย่างไม่มีความสุขอยู่ดี เพราะตัวเองรู้ตัวเองดีว่าทำอะไร ติดค้างใครเอาไว้ อย่างไร
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าบวชโดยคิดว่า เดี๋ยวรับกิจนิมนต์ ไปงานนั้นงานนี้ แล้วก็เอาเงินมาใช้หนี้ จะกลายเป็นผู้มีอาชีพพระ หรือเปล่าคะ (อันนี้สงสัยค่ะ)
ถ้าคิดจะบวชตลอดชีพ ควรจะใช้หนี้ก่อนนะคะ คุณอาจจะหางานที่ดีๆได้ ขยันให้มากๆ หรือ อาจจะหากิจการเป็นของตัวเอง เพื่อสร้างรายได้ให้มากขึ้น เพื่อที่จะชำระหนี้ให้ได้หมดโดยเร็ว จริงอยู่ค่ะว่า กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา อาจไม่มีการทวงถามหากคุณยังไม่มีการประกอบอาชีพ หรือ ประกอบอาชีพที่ไม่มีข้อมูลให้ติดตามคุณได้ (ทั่วไป จะตรวจสอบได้จาก ประกันสังคม และ ภาษีเงินได้นะคะ เพราะเข้าสู่ระบบหมดแล้ว อ้างอิงจากเลขประจำตัวประชาชน) แต่อยากให้นึกถึงคนรุ่นหลัง ด้วยนะคะ ความเสียหายจากตรงนี้ ปัจจุบันมีเยอะมาก เป็นการสูญเสียรายได้ของรัฐ (หลวงพ่อเคยพูดไว้ค่ะ ว่า แม้แต่การหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีรัฐ ยังมีวิบากกรรมเลยค่ะ) และถ้าสักวันหนึ่ง ไม่มีงบประมาณใหม่มาทดแทนส่วนที่ขาดชำระไป เพราะคนคิดอย่างนี้กันหมด คนรุ่นหลังอาจเดือดร้อนได้นะคะ
หากยังมีภาระทางโลกอยู่ koonpatt คิดว่าถ้า คุณๆทั้งหลายมีความตั้งใจจริง อุปสรรคทั้งหลายจะหมดไปได้โดยง่ายค่ะ บวชภายนอกไม่ได้ ก็ บวชภายในไปก่อนค่ะ ตั้งใจ ปฎิบัติตน เตรียมความพร้อม ทั้งกายและใจ ให้ ใส...สะอาด เพื่อที่จะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดนะคะ
ขออนุโมทนากับความตั้งใจอันดี และจิตอันเป็นกุศลด้วยนะคะ สา...ธุค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#8
โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 09:09 PM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#9
โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 10:04 PM
ต้องปรึกษาที่บ้านก่อนว่าจะยังไง
ตอบคำถาม koonpatt เพิ่มเติมนะครับ คือ ไม่ได้มีเจตตนาหรือตั้งใจว่าจะไม่จ่ายนะครับ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่มี แต่มีศรัทธาออกบวชจริง
ก็ไม่คิดนะว่าคงสักอายุ 30 ค่อยบวช ก็ได้ คือ หลายคนต่างฐานะกันดังนั้น มุมมองอาจจะไม่ตรงกันมากนัก ที่ต้องมาแก้ไขนี้เพราะไม่อยากให้ถูกมองว่า เจตนา
จะไม่จ่ายนะครับ เพียงแต่เจตนาที่ออกบวชมากกว่าสิ่งใด ไว้ผมจะลองปรึกษาพระหลวงพี่ที่วัดดูอีกทีครับ
#10
โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 10:33 PM
เพียงแต่อยากจะบอกว่า
ผมยินดีรับบุญชำระหนี้ 2000 บาท ให้แทนเพื่อให้ท่านได้บวชต่อไปครับ (พร้อมดอกเบี้ยด้วยถ้าเจ้าหนี้ต้องการ)
ท่านจะได้ปลดกังวลเรื่องหนี้แล้วมุ่งหน้าสร้างบารมีต่อไปครับ
อริยะ ฝึกฝน
#11
โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 11:40 PM
1 ในเรื่องปาราชิก เกี่ยวกับทรัพย์นั้น ถ้ายังไม่บวช ก็ไม่ถือว่าปาราชิกครับ
2 ถ้าบวชไปแล้ว มันก็มีสิทธิ์คิดได้หลายอย่าง เช่น สามารถใช้หนี้ได้ แต่เจ้าหนี้ไปไหนก็ไม่รู้ หรือคิดว่าเป็นหนี้ไม่มากสามารถใช้คืนได้ หรือไม่ก็ไม่ได้กะบวชนาน ลาสิกขามา ค่อยใช้ให้ มันก็มีหลายกรณี ท่านถึงว่าถ้ามาบวชแล้ว การบวชอาจจะไม่สมบูรณ์ 100% ไม่ก็ไม่ถึงกับให้ขับออกจากสงฆ์ครับ
บางคนอาจจะสงสัยว่า แล้วถ้าเจ้าหนี้ยังอยากจะได้หนี้คืนทำไง มีคดีตัวอย่างในพระวินัยมาแล้วครับ ก็ให้หาใช้ทั้งที่เป็นพระนั่นแหละ (ในพระวินัยว่าไว้ ให้แสวงหามาให้เท่ากับมูลค่าหนี้) บางทีอุปัชฌาย์ ท่านก็ช่วยรับภาระให้ ก็เป็นอันรอดตัวไป (แต่ในนั้นไม่ได้บอกไว้นะว่าเป็นหนี้มากน้อยเท่าใด ก็เลยสันนิษฐานว่าอยู่ในวิสัยที่จะใช้คืนได้)
#12
โพสต์เมื่อ 01 October 2006 - 12:14 AM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#13
โพสต์เมื่อ 01 October 2006 - 11:36 AM
#14
โพสต์เมื่อ 01 October 2006 - 01:46 PM
กลัวเดี๋ยวมีคนแอบมาสวมรอย
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#15
โพสต์เมื่อ 01 October 2006 - 01:51 PM
คือจะบอกว่า ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้คิดว่าใครจะทำอะไรนะคะ เพียงแต่ ถ้ามีคำถามอย่างนี้ ส่วนตัวคิดอย่างนี้ค่ะ เพราะ สนับสนุนท่านที่มีความตั้งใจจริงที่จะบวชอยู่แล้วค่ะ (สนับสนุนมากๆ) เพียงแต่ไม่อยากให้ผู้ที่บวช โดนตำหนิได้ ไม่ว่าจะต่อหน้า หรือ ลับหลังเท่านั้นเองค่ะ
แต่ว่าถึงขนาดจะขายที่เนี่ย ที่บ้านจะไม่เดือดร้อนหรือคะ เผื่อมีเรื่องจำเป็นอย่างอื่นๆ แต่ถ้าที่บ้านสนับสนุน ก็ให้ที่บ้านค่อยๆ ผ่อนชำระเอาก็ได้นะคะ เพราะมีคนรู้จักเค้าก็ให้ที่บ้านผ่อนชำระให้ค่ะ เพราะตัวเค้าเรียนจบมาก็ทำงาน บังเอิญว่าได้งานที่ค่อนข้างดีค่ะ ก็เลยจ่ายมาก (หาได้มากก็จ่ายมาก ตัดไปเรื่อยๆน่ะค่ะ ) อีกส่วนหนึ่งเค้าก็ให้พ่อแม่ ที่บ้านก็เริ่มฐานะดีขึ้น พอจะบวช พ่อแม่ก็เลยไม่คัดค้าน แล้วก็จ่ายให้ค่ะ เพราะเงินที่เค้าให้ไว้ ก็ยังเหลืออยู่ไม่ได้ไปไหน และเค้าก็มีความตั้งใจดี เลยไม่วอกแวก ไปมีครอบครัวด้วยค่ะ ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ช่วยพ่อแม่อย่างเดียวเลย
เอาใจช่วยให้ฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ด้วยดีนะคะ และขออภัยนะคะ ถ้าทำให้ขุ่น ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี จริงๆค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#16
โพสต์เมื่อ 01 October 2006 - 08:16 PM
ท่านจะได้ปลดกังวลเรื่องหนี้แล้วมุ่งหน้าสร้างบารมีต่อไปครับ
อริยะ ฝึกฝน
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ (เห็นด้วยค่ะกับความคิดของคุณค่ะ)
#17
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 01:55 PM
ก่อนแม่ก็บอกว่าประสงค์จะไปบวชพราหมณ์เข้าวัดเหมือนกัน ผมก็จะออกไปบวชพระ และเท่าที่คิดไว้เราคงจะเหลือเงินอีกสักหน่อย เอาเผื่อไว้ยามป่วยไข้ ถ้า
ถึงเวลาหมดบุญ ที่พูดอย่างนี้มิใช่การหมดกำลังใจนะครับ แต่คิดการปลงอุเบกขา ก็ถ้าเป็นไปตามที่วางผังไว้คงจะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ในการสะสมบุญบารมีดีที่เดียวครับ
ท่านใดมีความคิดเห็นก็ แนะนำได้นะครับ แต่เท่าที่อ่านมา ร้อยคน ก็ร้อยความคิด แต่ก็เคารพในทุกๆ คำแนะนำครับ
ผมว่าบารมีการตัดสินใจนั้นมีคำตอบในใจผมแล้วละครับ
หากได้บวชจริงขออำนาจบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงเผื่อแผ่บุญกุศลนี้ให้ทุกๆ ท่านด้วยครับ
#18
โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 07:01 PM
จริงๆ แล้วผมว่าทุกท่านเองคงจะคิดอยู่ในใจอยู่แล้ว
บังเอิญที่ว่าผมเข้ามาอ่านแล้วตอบก่อนเท่านั้นเองครับ
การที่พระศาสนาจะอยู่คงต่อไปได้
ก็ต้องอาศัยพวกเราช่วยกันค้ำจุนกันไว้นะครับ
ผมเองก็เป็นเพียงซีกไม้ซีกเล็กๆ ...
ที่มีเพียงความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ในการที่ช่วยจะค้ำพระศาสนาเอาไว้ให้ได้นะครับ
ขออนุโมธนากับทุกท่านอีกครั้งนะครับ
สาธุ...
#19
โพสต์เมื่อ 18 July 2013 - 01:21 PM
ถ้าเป็นผมนะ ผมว่าสึกออกมาเคลียร์ปัญหาทุกอย่างก่อนแล้วค่อยกลับไปบวชอีกทีดีกว่าไหมครับ จะได้ไม่พวงหน้าพวงหลังอะไร