ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ถ้าโดนคุณไสย จะมีวิธีแก้และป้องกันอย่างไร


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 12 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 deethawan

deethawan
  • Members
  • 19 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 05:43 PM

dry.gif ญาติบอกว่า ผมสงสัยโดน ของ ทำอะไรขาด ขาด เกิน เกิน มีอาการเบรอ จะมีวิธีแก้ไขและป้องกันอย่างไร ครับ

#2 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 05:52 PM

ตัวอย่างเคสเมื่อคืนไงล่ะครับ รู้ว่าโดนของแต่ทำอะไรไม่ได้ เลยขอรูปหลวงปู่มาแล้วชูขึ้นเหนือหัวแล้วอธิษฐานขอบารมีหลวงปู่แล้วท่อง สัมมาอะระหัง อ่ะ
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#3 cheterk

cheterk
  • Members
  • 314 โพสต์
  • Interests:พระนิพพาน

โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 06:20 PM

ให้นั่งสมาธิ สวดมนต์ครับ อยู่ในศีล ในธรรม เพราะ

มีเทศน์ของหลวงพ่อทัตตะบอกว่า ถ้าเราอยู่ในศีลในธรรมจะมีเทวดามาคุ้มครอง

เพราะเทวดา ชั้นล่างเขาต้องการบุญเพิ่มครับ ดังนั้นคนไหนที่ปฏิบัติดี

ปฏิบัติชอบ ท่านจะมาคุ้มครองและท่านเทวดาเหล่านั้นจะได้อานิสงค์ผลบุญไปด้วยครับ

#4 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 08:21 PM

คุณครูไม่ใหญ่ท่านสอนว่า คนมีบุญบารมีมาก สวดมนต์นั่งสมาธิรักษาศีลทุกวัน อวิชชาไม่สามารถทำอะไรได้ หลวงพ่อทัตตะท่านเคยเรียนวิชชาจำพวกคุณไสยมาก่อน จัดได้ว่าเป็นมือฉมังในสมัยที่ท่านเป็นนักศึกษา ขนาดเอามือจุ่มนํามันที่กำลังเดือดได้ ท่านเป็นคนเล่าเองว่า ต้องมาพ่ายบารมีของคุณครูไม่ใหญ่ ถึงขนาดมือพองเพราะโดนนํามันลวก ตัวท่านเองที่ว่าแน่ในเรื่องไสยดำ ยังเอ่ยปากยอมแพ้คุณครูไม่ใหญ่เลยครับ
แต่เรื่องที่เหนือธรรมชาติ ไม่เชื่อก็อย่าซี้ซั้วไปลบหลู่น่ะครับ เพราะเรื่องแบบนี้ท่านบอกว่าแข่งกันที่บารมี ใครบารมีมากกว่าก็ชนะครับ เพราะฉนั้นถ้าไม่อยากโดนของ หมั่นนั่งสมาธิทุกวัน ถ้าจะให้ชนะขาด เข้าถึงองค์พระในตัว จะสามารถชนะได้ทุกสิ่งครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#5 Purisat.net

Purisat.net
  • Members
  • 40 โพสต์
  • Location:140 หมู่ 7 ต.ขุหลุ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี
  • Interests:PHP

โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 08:32 PM

มีความเชื่ออยู่ว่า ใส่ทองกันได้ คนที่อยู่แถวๆเขมรไม่ใช่ว่าร่ำรวย แต่ใส่ทองเพราะกันของพวกนี้ เพราะทองเป็นธาตุบริสุทธิ์
ผมก็ไม่มีความคิดเห็นเกียวกับความเชื่อนี้
แต่อยากบอกว่า นั่งสมาธิดีกว่า ให้ภายในระเอียด กันไม่ให้ของหยาบผ่านเข้าไป
จะดีกว่าไปหาพวกสิงๆทรงๆเอาออก เดี๋ยวโดนวิทยาธรดึงออกนอกพระพุทธศาสนาจะลำบาก นะจ๊ะ cool.gif

#6 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 09:03 PM

การที่เราทุกคนได้เกิดมาในดินแดนที่พระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง
แถมยังได้มาสนใจพระธรรมคำสั่งสอนอันล้ำค่า
นับเป็นบุญล้ำเลิศหาไหนมาเปรียบไม่ได้
เพราะเหตุว่า พระพุทธศาสนาไม่ใช่จะมีกันได้ง่ายๆ
กว่าจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาแต่ละพระองค์นั้น
เป็นเรื่องยากนักหนาด้วยหลายๆ สาเหตุและใช้เวลานานนักหนา

ดังนั้นเพราะเหตุที่ว่ามาแล้วจึงทำให้
โดยส่วนใหญ่แล้วโลกคือสังสารวัฏนี้อยู่และเป็นไป
โดยไม่มีพระพุทธศาสนา

ในพระไตรปิฎกบ่งบอกและมีเล่าเอาไว้หมดแล้ว
ว่าโลกในยุคสมัยที่ว่างจากพระพุทธศาสนานั้นเป็นอย่างไร


+ + + + + + + + + + + + + + +


โลกในยุคสมัยที่ร้างพระพุทธศาสนา

โลกในยุคสมัยที่ร้างหรือปราศจากพระพุทธศาสนานั้น
ผู้คนมีชีวิตอยู่ด้วยความ ‘ไม่รู้’
คือ ไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง
ไม่สามารถรู้หรือเข้าใจเข้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริงได้
ทั้งนี้เพราะไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ ‘รู้’ โลกอย่างแจ่มแจ้ง
มาเปิดโลกให้เห็นตามความเป็นจริง

ผู้คนในยุคที่ไร้พระพุทธศาสนานั้น
ไม่รู้เรื่อง ‘ทุกข์’ ตามความเป็นจริง
ไม่รู้เรื่อง ‘เหตุให้เกิดทุกข์’ ตามความเป็นจริง
ไม่รู้เรื่อง ‘การดับทุกข์’ ตามความเป็นจริง
ไม่รู้เรื่อง ‘วิธีและทางปฏิบัติเพื่อดับทุกข์’ ตามความเป็นจริง

ผู้คนที่ไขว่คว้าหาทางออกหรือหาคำตอบ
ในยุคที่ร้างจากพระพุทธศาสนา
จึงออกมาในรูปลัทธิ ศาสนาหรือศาสดาต่างๆ
ที่สอนสั่งแนะนำต่างๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจของตน
ตามขอบเขตและขีดความรู้ความสามารถของตนจะพึงมี
ศาสดาเหล่านั้น เจ้าลัทธิต่างๆ ทั้งปวงเหล่านั้นทุกยุคทุกสมัย
ยังเป็นเพียง ‘ปุถุชน’
ยังล้วนเป็นเพียง ‘ปุถุชน’
คำสอนทั้งปวง จึงเป็นเพียงความรู้ระดับปุถุชน
เท่านั้น


การฝึกฝนปฏิบัติตนเวลานอกพุทธกาล

ในพระไตรปิฎกเล่าไว้ว่า
เวลาที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนานั้น
ผู้ที่ต้องการหาคำตอบเกี่ยวกับโลกและชีวิต ฯลฯ นั้น
บ้างก็แยกตัวปลีกเร้นออกไปจากสังคมและผู้คน
บำเพ็ญตบะบารมี เป็นฤาษีชีไพรนักบวช ฯลฯ
หาวิธีหาคำตอบตามแต่จะคิดได้ค้นได้

วิธีหาคำตอบทั้งปวงเหล่านี้ในยามนอกพุทธกาลนั้น
ก็เป็นไปด้วยการฝึกสมาธิ ทำฌาน (อ่านว่า ชาน)
ท่านเหล่านี้ปรารภความสงบ มุ่งแสวงหาทางออกและคำตอบ
ก็มีที่ได้ฌานแก่กล้ากันมากมาย ได้อภิญญาได้ฤทธิ์ต่างๆ นานา
ฌานนั้นพาไปสู่พรหมโลก
ฌานขั้นสูงสุด (เนวสัญญานาสัญญายนตฌาน) นั้น
พาไปสู่พรหมโลกขั้นสูงสุด
สงบจากกิเลสและนิวรณ์ทั้งปวงอยู่ที่นั่น
แต่เมื่อหมดอายุขัย ก็ต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิด
เสวยผลของกรรมเก่าต่างๆ ที่เคยกระทำหรือสร้างสมไว้
ในภพภูมิต่างๆ ทั้งที่เป็นพรหมภูมิ เทวภูมิ มนุสสภูมิ
อบายภูมิ
วนเวียนเวียนวนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ไม่รู้จบ

ฌานหรือสมาธิที่ได้จากการเจริญสมถภาวนาเหล่านี้เอง
ที่ทำให้ได้ฤทธิ์ เกิดอภิญญา


สมถภาวนา

สมถภาวนาหรือสมถกรรมฐานหรือการทำสมาธิ นั้น
มีคุณคือทำให้จิตสงบจากกิเลสและนิวรณ์
ท่านเปรียบว่าเหมือนเอาก้อนหินทับหญ้าเอาไว้
ตราบใดที่ยังมีก้อนหิน (สมาธิ) ทับหญ้า (กิเลส) อยู่
หญ้าก็หมดโอกาสเติบโตเบ่งบาน
แต่หญ้าไม่ตาย หญ้าไม่ได้หายไปไหน
และเมื่อทำได้ถึงขั้นก็ทำให้ได้ฤทธิ์ได้อภิญญาได้
อันเป็นผลพลอยได้

ฤทธิ์หรืออำนาจหรืออภิญญาต่างๆ จากสมถภาวนาล้วนๆ
ที่ไม่ได้ประกอบกับ ‘ปัญญา’ ในระดับรู้แจ้งแทงตลอดนี้
อาจเป็นอันตรายได้เหมือนกัน
เพราะบางท่านก็ใช้ฤทธิ์ในทางที่ผิดก็มี
เช่น เอาฤทธิ์ไปใช้ในเรื่องที่ไม่ควร
เอาฤทธิ์ไปทำร้ายทำลายชีวิตอื่น
เอาฤทธิ์ไปใช้เป็นเครื่องแสวงหาอำนาจลาภสักการะ
เรียกว่า เอาฤทธิ์ไปใช้ในทางโลก
เอาฤทธิ์ไปรับใช้และไปเสริมกิเลสตัณหาอุปาทาน
ก็อาจทำให้สร้างบาปสร้างกรรมสร้างภพสร้างชาติ
ให้ยิ่งยาวนานไปอีกก็เป็นได้

สรรพชีวิตล้วนเป็นกันอยู่อย่างนี้ คือ เวียนเกิดเวียนตายไม่รู้จบ
ในสังสารวัฏหรือวัฏฏสงสารอันยาวนานและมีแต่ทุกข์
ไม่สามารถออกจากสังสารวัฏไปได้เลย


พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นอกจากเมื่อไหร่
มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิดคือมาตรัสรู้
และทรงแสดงธรรมสั่งสอนสรรพสัตว์ให้ได้รู้ตาม
เมื่อนั้นเท่านั้น
ที่สรรพสัตว์จะได้ ‘รู้’ ของแท้และของจริง

เมื่อนั้นเอง
สรรพสัตว์ที่ได้เจริญสมถภาวนา
ได้เจริญสมาธิกันมาไม่น้อยก็มากแล้ว
ในครั้งที่ตนยังไม่ได้พบพระพุทธศาสนา
ก็จะนำเอาสมถภาวนานี้เอง
มาเป็นบาทเป็นฐาน
ต่อยอดขึ้นสู่วิปัสสนา

มุ่งเจริญ ‘วิปัสสนากรรมฐาน’
มีรูปและนามอันเป็นปรมัตถธรรมคือธรรมแท้ๆ
เป็นอารมณ์

เพียรเพ่ง ‘เจริญสติ’
รู้ตัวทั่วพร้อมในกายและใจหรือก็คือในรูปและนามในตน


วิปัสสนาภาวนา

วิปัสสนาภาวนาหรือวิปัสสนากรรมฐาน
ตามแนวสติปัฏฐานสี่นี้
เป็นทางแห่งปัญญา
เป็นปัญญารู้แจ้งโลกแจ้งธรรมตามความเป็นจริง

ท่านเปรียบเสมือน ‘การถอนหญ้า’
ถอนลงไปที่ราก
สาวหาลงไปที่เหตุ
เกิดปัญญาเห็นต้นเหตุ
ที่ทำให้หญ้า (กิเลส) มีชีวิตอยู่ได้
แล้วก็เกิดปัญญาขึ้นมาฆ่าฟัน
ประหารเหตุแห่งกิเลสนั้นให้ขาดสะบั้น
ถอนหญ้าแบบขุดรากถอนโคนนี้ได้หมดเมื่อไหร่
หญ้าก็ตาย มิอาจฟื้นคืนกลับมาได้อีกเลย


ทางแห่งการพ้นทุกข์

พระพุทธองค์ทรงบอกทางแห่งการพ้นทุกข์ไว้แล้ว
ว่าคือสติปัฏฐานสี่
คือวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่

และทางแห่งการพ้นทุกข์นี้
พระพุทธองค์ทรงตรัสรับรองไว้แล้ว
ว่าใครเดินตาม
ใครตั้งอกตั้งใจเดินจริง
เอาจริงเอาจัง
ก็จะสามารถนำพาตน
ไปสู่การหลุดพ้นจากกิเลสได้
ในเวลาไม่นานเลย smile.gif

ผู้ที่ได้รู้และตระหนักเช่นนี้จึงมักไม่รอช้า
ไม่เสียเวลาไปกับอย่างอื่นอีกแล้ว
และเร่งกระทำความเพียร
เร่งพัฒนาปัญญาในตนให้ยิ่งๆ
ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
ตามแนวสติปัฏฐานสี่
นี้เอง


ฤทธิ์ อภิญญา ศิลปวิทยา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงเป็นผู้รู้แจ้งโลก
ทรงฝึกมาหมดแล้ว ทรงมีฤทธิ์และทรงตบะแก่กล้ายิ่งนัก
มาตั้งแต่ก่อนเก่าแล้ว
ด้วยทรงเป็นนักบวชเป็นพราหมณ์
มาหลายภพชาติ

ถ้าฤทธิ์เป็นคำตอบสูงสุด
พระพุทธองค์ก็คงไม่ทรงจำเป็นต้องบำเพ็ญบารมี
คงไม่ต้องบำเพ็ญทศบารมี
อันไม่มีข้อไหนเกี่ยวข้องด้วยฤทธิ์ด้วยอภิญญาเลย
(ทศบารมี ประกอบด้วย
ทาน - ศีล - เนกขัมมะ – ปัญญา – วิริยะ
ขันติ – สัจจะ – อธิษฐาน – เมตตา – อุเบกขา)

ฤทธิ์หรืออภิญญาไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี
เพียงแต่ฤทธิ์หรืออภิญญาที่ไม่มีปัญญาระดับวิปัสสนาปัญญาประกอบนั้น
เสี่ยงที่จะทำให้บุคคลเกิดอัตตาและมานะยิ่งๆ ขึ้นไปได้
เสี่ยงที่จะทำให้บุคคลเกิดทิฏฐิและติดยึดในอำนาจในตน
เสี่ยงต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิด
อันจะทำให้สร้างบาปสร้างเวรสร้างกรรมมากยิ่งขึ้นไปอีก
ก็เป็นได้

ศิลปวิทยาการทั้งปวงที่นำไปใช้ในทางทีดีงามสร้างสรรค์นั้น
ล้วนเป็นสิ่งดีทั้งนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้ามหรือปฏิเสธ
แต่ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ดีในระดับโลกๆ ในระดับสังสารวัฏ
ดีสำหรับผู้ที่ยังยินดีอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด
หรืออาจดีเพราะยังมีประโยชน์ต่อการเวียนว่ายตายเกิด
หรือบางทีก็เป็นสิ่งที่ยังจำเป็นในการเวียนว่ายตายเกิด
หรือเป็นสิ่งจำเป็น เป็นหน้าที่ที่ยังต้องกระทำ
เมื่อยังมีรูปมีนามอยู่ ฯลฯ

จะเห็นว่าผู้สูงในธรรม ผู้เข้ากระแสพระนิพพาน
คือเหล่าอริยบุคคลทั้งหลายนั้น
ท่านไม่ได้ยกย่องฤทธิ์ให้เป็นเรื่องเด่นหรือเรื่องใหญ่
เพราะท่านมีสิ่งที่สูงกว่าฤทธิ์แล้ว
สิ่งนั้นคือ ‘ปัญญาประหารกิเลส’

จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้เคยทรงสั่งสอน
ให้ใครมุ่งเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช
แต่ทรงสั่งสอนให้ ‘มีสติ’
ทรงสั่งสอนเรื่องปรมัตถธรรม
อันเป็นธรรมชาติของแท้

พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญู ทรงรู้แจ้งโลก
ทรงรู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งกรรมของแต่ละสรรพสัตว์
ทรงเข้าใจความหลากหลายในกรรมของแต่ละสรรพสัตว์
จึงไม่ทรง ‘หักด้ามพร้าด้วยเข่า’
ไม่ได้สั่งสอนแบบบังคับว่าทุกคนจะต้องมุ่งสู่การพ้นทุกข์

แต่ทรงแจกแจงแสดงและชี้ทางไว้ให้หมดแล้ว
ว่า
“นี้คือทางพ้นทุกข์”
ว่า
“นี่ไม่ใช่ทางแห่งการพ้นทุกข์”
เหล่านี้เป็นต้น

ส่วนสรรพสัตว์ใดจะเลือกอย่างไร ตรงไหน
ก็เป็นเรื่องของตนๆ
เป็นกรรมของตนๆ
เป็นวาระของตนๆ
เหมาะแก่ตนแต่ละคนเป็นขั้นเป็นตอนไป

ทรงบอกไว้แล้วว่าสิ่งนี้ดีอย่างนี้มีคุณอย่างนี้และมีโทษอย่างนั้น
หรือสิ่งใดมีแต่คุณอย่างเดียว
สิ่งใดมีแต่โทษอย่างเดียว
ก็ทรงบอกไว้หมดแล้ว


ไสยศาสตร์

ในพจนานุกรมบอกว่า คำว่า ไสยศาสตร์ หมายถึง ตำราทางไสย
ส่วนคำว่า ‘ไสย’ นั้น หมายถึง ลัทธิ ว่าด้วยเวทมนตร์
คาถาซึ่งได้มาจากพราหมณ์ คัมภีร์ ตำราอันวิเศษ คัมภีร์ลัทธิพราหมณ์

พุทธ ก็คือพุทธ
พราหมณ์ ก็คือพราหมณ์
เราต้องแยกให้ออก
เหมือนกับแยกออกว่าอะไรคือกับอะไรคือข้าว
หรือแยกออก
ว่าอะไรคือคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน

พุทธกับพราหมณ์ปนกันอยู่ก็จริง
แต่เมื่อพุทธศาสนิกชนศึกษาให้รู้และเข้าใจ
ก็จะเข้าใจตรงกันและแยกแยะได้ว่าอะไรพุทธอะไรพราหมณ์

แม้แต่พุทธศาสนาเอง ก็ยังมีแบ่งออกเป็นมหายานกับเถรวาท
พุทธในประเทศไทยเป็นพุทธศาสนาแบบเถรวาท
ที่มุ่งการฝึกฝนอบรมขัดเกลาตนเองเป็นสำคัญ


การแยกให้ออกว่าอะไรเป็นอะไรเป็นสิ่งสำคัญมาก


การแยกให้ออก รู้ให้ลึกซึ้ง เข้าให้ถึงแก่น
ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรแต่ละอย่างแตกต่างกันอย่างไร
อะไรแต่ละอย่างมีที่มาที่ไปอย่างไร ฯลฯ
เป็นสิ่งสำคัญมาก

ถ้าแยกไม่ออก ก็จะสับสนปนเป
จับทิศจับทางไม่ออก
จับแนวทางไม่ได้
หาหลักการไม่เจอ

พุทธศาสนานั้น เป็นศาสนาที่ว่าด้วยการออกจากทุกข์
พุทธศาสนานั้น ว่าด้วยการไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
ไม่มีของเราของเขา ว่าด้วยการลดละเลิกกิเลส
ว่าด้วยการออกจากกองทุกข์กองกิเลส

พระพุทธศาสนาโดยแก่นแล้ว
จึงเป็นสิ่งที่เรียบง่ายไร้การปรุงแต่ง
ไร้เครื่องประดับประดา
นับแต่ระดับรากคือระดับ ‘ทาน’
ไปจนถึงระดับต่อมาคือระดับ ‘ศีล’
และที่สุดคือระดับ ‘ภาวนา’

ทานนั้น เพื่อกล่อมเกลาจิตใจให้ประณีตและรู้จักสละออก
ศีลนั้น เพื่อลดละการเบียดเบียนตนและชีวิตอื่นๆ
ภาวนานั้น เพื่อสร้างปัญญาระดับรู้แจ้งแทงตลอดมาประหารกิเลส
จะเห็นว่า ล้วนเป็นการละ การสละ การสลัด การออก ทั้งสิ้น

ลองมองย้อนกลับไปสมัยพระพุทธองค์ทรงดำรงอยู่
จะมองไม่เห็นพิธีกรรมพิธีการใดๆ ที่มีการปรุงแต่งมากมาย
พระพุทธเจ้าเองก็ทรงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา
ปัญญาในทางพุทธศาสนานั้นเกิดจากพัฒนาการในตนแต่ละคนๆ
พระพุทธศาสนาจึงไม่เร่งรัดใคร
ไม่เรียกร้องให้ใครมาเชื่อถือ
คงเพราะเหตุว่าพระพุทธศาสนาต้องเริ่มที่ ‘ใจ’
นับตั้งแต่เริ่มจาก ‘ความสมัครใจ’
เรียกว่า มาด้วยใจ smile.gif

เมื่อสมัครใจมาสนใจพระพุทธศาสนาแล้ว
ก็ยังมีเรื่องที่ต้องศึกษาและปฏิบัติมากมายพอสมควร
กินเวลาข้ามภพข้ามชาติกันยาวนาน
กว่าจะพัฒนาให้ถึงที่สุดได้
ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงใจเย็น
ไม่ว่าอะไร smile.gif

คือ อะไรไม่เกินเลย ก็ยอมรับได้
อะไรทำแล้วไม่ขัดต่อเส้นทางแห่งปัญญาจนเกินไป ก็ยอมรับได้
เรียกว่า เป็นตัวของตัวเองแต่ก็ลู่ตามลมได้บ้าง smile.gif

พุทธศาสนามีทั้งระดับเปลือก ระดับเนื้อใน ระดับแก่น
รองรับระดับพัฒนาการของพุทธศานิกชนแต่ละชีวิตที่ไม่เท่ากัน
ทำมาไม่เท่ากัน สั่งสมและพัฒนาตนมาไม่เท่ากัน
บางคนบางชีวิตก็ยังเพิ่งเริ่มจากระดับทาน
บางคนบางชีวิตก็ไปถึงระดับทานและศีลแล้ว
บางคนบางชีวิตก็ไปถึงระดับทานศีลและภาวนาแล้ว
ไปถึงระดับ ศีล-สมาธิ-ปัญญา แล้ว
ก็มี

ตามเส้นทางอันยาวนานนับหลายพันปี
พระพุทธศาสนาแพร่หลายแตกกิ่งก้านสาขาไปหลายพื้นที่ในโลก
ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีพิธีการพิธีกรรมหรือวัฒนธรรมท้องถิ่น
ค่อยๆ สะสมปนเปเข้าไป
ส่วนจะสะสมปนเปมากน้อยแค่ไหน
ผู้คนเข้าใจหรือแยกแยะได้ว่าอะไรใช่ไม่ใช่แค่ไหน
ก็เป็นเรื่องของการถ่ายทอดหรือการพยายามศึกษา
ความตั้งใจและการพยายามทำความเข้าใจ
ของแต่ละสังคมหรือแต่ละคนๆ แต่ละชีวิตๆ ไป


พุทธแท้

พุทธแท้ๆ นั้น เรียบง่ายยิ่งนัก smile.gif
บทสวดมนต์ทุกบทในพระพุทธศาสนานั้น
ก็ไม่ได้กล่าวอะไรมากไปกว่าสรรเสริญพระพุทธคุณ
พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เจริญเมตตา แผ่ส่วนกุศล
สรรเสริญคุณความดีและมุ่งการประหารข้าศึกคือกิเลส

พุทธแท้ๆ
คือเรื่องของการรู้จักกิเลส รู้จักทุกข์
การพัฒนาตนให้รู้เท่าทันกิเลส
และการประหารกิเลส การออกจากทุกข์

พุทธแท้ คือ การเป็นอยู่อย่างสมถะ สันโดษ พอดีๆ แก่ตน
พุทธแท้ คือ การรู้จักตนเอง
พุทธแท้ คือ การรู้เท่าทันตนเอง
พุทธแท้ คือ การรู้เท่าทันโลก รู้เท่าทันเลห์กลของกิเลส
พุทธแท้ คือ การรู้ว่าอะไรเป็นของแท้ อะไรไม่ใช่
พุทธแท้ คือ การรู้เท่าทันว่าอะไปเป็นอะไร
พุทธแท้ คือ การรู้ว่าอะไรคือเปลือก อะไรคือแก่น อะไรคือกระพี้
แล้วก็กระทำตนให้เหมาะสมแก่กาลเทศะนั้นๆ
พุทธแท้ คือ การรู้เท่าทันโลก
แต่ก็ไม่ขวางโลกทั้งยังไม่วิ่งตามโลกจนหัวปั่น
พุทธแท้ คือ การพัฒนาตน
พุทธแท้ คือ การพึ่งพาตนเอง ไม่พึ่งสิ่งภายนอก
พุทธแท้ คือ การอยู่อย่างมีสติและปัญญา


+ + + + + + + + + +

สมาธิเป็นสิ่งดี smile.gif เราล้วนฝึกกันมาแล้วทั้งนั้น
ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อไม่มีพระพุทธศาสนา
เราก็ได้แต่ฝึกสมาธิกัน
เพราะนอกพุทธกาลเราจะไม่มีวันได้รู้จักคำว่าสติปัฏฐานสี่
หรือวิปัสสนากรรมฐาน

ก็นอกพุทธกาลนี้แหละ
เราอาจเคยอาศัยสมาธิ การเจริญสมถภาวนา
พาเราหลบจากนิวรณ์และกิเลสตัณหาอุปาทานต่างๆ
เข้าสู่ทางสงบ พัฒนาจิตใจ
อย่างน้อยสมาธิที่สูงยิ่งๆ
ก็จะช่วยพัฒนาพรหมวิหารสี่
คือเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
ให้ยิ่งๆ

แต่เมื่อใดมาอยู่ในพุทธกาล
ได้มาพบพระพุทธศาสนาแล้ว
เราจะเลือกสิ่งใด
ระหว่าง
“เพียรเอาหินทับหญ้าต่อไป”
หรือ
“เพียรถอนรากถอนโคนหญ้าให้หมดเร็วๆ”

เราก็จะเห็นๆ
ว่าพระอริยบุคคลต่างๆ ทั้งหลายนั้น
ท่านไม่เอาแล้วเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช
หรือหากท่านจะมีฤทธิ์มีเดช
ท่านก็ไม่ประกาศให้เป็นเรื่องใหญ่
ถ้าท่านมีฤทธิ์เดช
ท่านก็เก็บงำไว้เงียบๆ ไม่บอกกล่าวโดยทั่วไป
แล้วท่านก็อาจนำมาใช้บ้าง
เพื่อช่วยโลกช่วยสรรพสัตว์ให้ก้าวหน้าในทางปัญญา

เพราะท่านเหล่านั้นเห็นแล้ว
ว่าอะไรใช่ทาง
อะไรไม่ใช่ทาง

ท่านเหล่านั้นเห็นแล้ว
ว่าอะไรเป็นการเสียเวลา ทำเวลาให้เนิ่นช้า
และอะไรเป็นการมุ่งตรงตัดสั้น short-cut
ไปสู่ความพ้นทุกข์ smile.gif


+ + + + + + + + + +

พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่สูงค่ายิ่งนัก
พระธรรมในพระพุทธศาสนานั้น
เป็นระบบระเบียบเป็นขั้นเป็นตอน
เป็นไปเพื่อการพัฒนาตนตามลำดับที่เหมาะที่ควร
เมื่อนำมาปฏิบัติให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว
ก็จะพัฒนาไปเหมือนๆ กัน ไปในทางเดียวกัน

เมื่อคลายตัวคลายตน ลดละอัตตาตัวตน
ลดละทิฏฐิมานะไปได้เท่าไหร่
ศิลปะวิทยาการใดๆ อิทธิปาฏิหาริยิ์ใดๆ
ก็จะลดค่าลดความหมายมาแค่เป็น ‘เรื่องโลกๆ’
กลายมาเป็นแค่ ‘เรื่องของโลก’
อาจยังสำคัญเพื่ออยู่ในโลก
อาจยังจำเป็นต่อการอยู่ในโลก
แต่ก็จะเป็นการอยู่กับศิลปะวิทยาการ
หรืออิทธิปาฏิหาริย์นั้นๆ
อย่างรู้เท่าทัน
อย่างไม่หลง
อย่างไม่ตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น
แต่กลับจะสามารถนำปัญญามาใช้
ทำให้สามารถบริหารสิ่งเหล่านั้นทั้งปวง
ไปในทางที่เป็นประโยชน์ ดีงามและมีคุณค่ายิ่งๆ ขึ้น
ทั้งกับตนเองและกับชีวิตอื่นๆ

เราทั้งหลายก็ล้วนเป็นผู้กำลังแสวงหาคำตอบ
กำลังแสวงหาทางออก
นับเป็นเพื่อนร่วมทางเพื่อแสวงหาค้นคว้าของจริงของแท้
เพื่อนร่วมทางออกจากทุกข์ smile.gif
ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

ณ วันนี้ที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ยังมีอยู่ เจริญรุ่งเรือง พร้อมต่อการลงมือพิสูจน์ด้วยตนเอง
ชีวิตนั้นสั้นนัก ลมหายใจหน้าก็ยังไม่รู้ว่าจะมีหรือเปล่า
ไม่มีอะไรแน่นอน smile.gif
สิ่งหนึ่งที่จริงแท้และรีบฉกฉวยไขว่คว้าไว้ได้ในวินาทีปัจจุบันนี้
คือเร่งทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
แยกแยะให้ออกให้ได้ชัดเจนกระจ่างกับใจ
ว่าอะไรเป็นอะไร
แล้วเลือกว่าจะเอาอะไร
จะมุ่งอย่างไร
ไม่มีอะไรผิดหรือถูก smile.gif
ไม่ใช่การชี้ผิดชี้ถูก
ไม่ใช้เป็นการตัดสินว่าผิดถูกประการใด smile.gif

มีเพียงหาจนเจอ
ว่าอะไรที่เราแต่ละชีวิตต้องการและไม่ต้องการ

เราต้องการความสุขทางโลกที่ไม่มีจริง
เอาเวลาทั้งหมดทุ่มให้กับเรื่องทางโลก
หรือเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช เรื่องอำนาจอภิญญา
แลกกับการเวียนเกิดเวียนตายเวียนไม่รู้ไม่รู้จบ
หรือเราต้องการขวนขวายหาความกระจ่างแจ้ง
ได้รู้ได้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง
ได้เข้าใจแจ่มแจ้งหมดความสงสัยในสิ่งทั้งปวง
จะได้ออกไปเสียจากทุกข์ทั้งปวงในโลก smile.gif

เมื่อใครศึกษาและเข้าใจพระพุทธศาสนาได้ถึงแก่นเพียงใด
คนนั้นก็จะยิ่งซาบซึ้งและเห็นคุณค่าในพระพุทธศาสนา
และย่อมรู้สึกหนาวเย็นเยือกนักหนา
เมื่อนึกถึงกาลข้างหน้าที่ตนอาจยังต้องเกิดมาอีก
ในโลกที่ว่างเปล่าหนาวเย็นเพราะขาดแสงอันอบอุ่น
จากพระธรรม smile.gif ขาดแผนที่ในการเดินทาง
เมื่อหนาวด้วยปัญญาเช่นนี้
ก็ย่อมจะรีบฉกฉวยทุกวินาทีอันมีค่าในปัจจุบันนี้ smile.gif
ให้เป็นไปเพื่อการสะสม สร้างสมบุญบารมี
เร่งพาตนเดินทางไปตามแผนที่อันประเสริฐ
เพื่อชาตินี้จะได้ก้าวไปใกล้จุดหมายให้ได้มากที่สุด
หรือเพื่อชาตินี้จะได้ก้าวเดินไปให้ถึงจุดหมายสักที smile.gif

สมถะ ฤทธิ์ อภิญญา ที่ใช้ในทางที่ถูกนั้นก็ดีอยู่ smile.gif
พาไปให้อยู่ในโลกได้อย่างมีความสุขพอควร
ปลอดภัยพอควร แต่ก็ยังไม่พ้นโลก ไม่เหนือโลก
ยังไม่พาให้พ้นการเกิดแก่เจ็บตาย ความไม่รู้
และการพลัดพราก ไปได้เลย
แต่ยังพาวนอยู่ในโลกคือในสังสารวัฏหรือวัฏสงสาร
พ้นโลกไปไม่ได้ด้วยสมถะ
พ้นไปไม่ได้เลย smile.gif

วิปัสสนาบนพื้นฐานของสติปัฏฐานสี่เท่านั้น
พาไปถึงที่สุด คือ พาไปเหนือโลก พ้นโลก
พาไปสู่ฟากโลกุตตระ พ้นทุกข์ เหนือทุกข์ smile.gif

สมถะมีอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะมีพระพุทธศาสนามาบังเกิดหรือไม่
ฤทธิ์และอภิญญาก็มีอยู่แม้นอกพุทธกาล
ดังนั้น จะทำเมื่อไหร่ก็ได้ มีให้ทำอยู่เสมอ
ฤทธิ์เหล่านี้ อภิญญาเหล่านี้ มีได้ก็เสื่อมได้
เพราะเป็นฤทธิ์และอภิญญาแบบโลกๆ

วิปัสสนาและสติปัฏฐานมีเฉพาะกาล
เฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
จะฉกฉวยก็ต้องรีบฉกฉวยกันตอนนี้
ทำแล้วได้ปัญญา เป็นฤทธิ์ที่เลิศกว่าฤทธิ์ใดๆ
ส่วนหากทำแล้วบรรลุธรรมอันประเสริฐคือมรรคผลแล้ว
แต่ยังสนใจเรื่องฤทธิ์อื่นๆ เรื่องอภิญญาอยู่อีก
ถึงตอนนั้นหากเพียรเพ่งกระทำฌานให้เกิด
กระทำอภิญญาให้เกิด
ฤทธิ์หรืออภิญญานั้นๆ ก็จะไม่มีวันเสื่อมอีกเลย
เพราะเป็นฤทธิ์หรืออภิญญาที่เกิดกับใจ
ที่ถึงกระแสพระนิพพานแล้ว smile.gif
อันเป็นใจที่ขัดเกลาแล้ว ถึงพร้อมแล้วด้วยปัญญา
แยกแยะดีไม่ดี ของปลอมของแท้ได้หมดแล้ว
แยกแยะอะไรควรไม่ควรได้หมดแล้ว
แยกแยะว่าอะไรคือสาระและอะไรไม่ใช่สาระได้หมดแล้ว smile.gif


พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#7 Purisat.net

Purisat.net
  • Members
  • 40 โพสต์
  • Location:140 หมู่ 7 ต.ขุหลุ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี
  • Interests:PHP

โพสต์เมื่อ 30 September 2006 - 09:36 PM

คุณไสย ต้องเอา ความใส ไปชนะ จริงป่ะ biggrin.gif biggrin.gif biggrin.gif

#8 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 01 October 2006 - 12:16 AM

QUOTE
คุณไสย ต้องเอา ความใส ไปชนะ จริงป่ะ



แบบนี้มีคุณหมองมั้ยครับ ต้องเอา ความขุ่น รบเข้าไป
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#9 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 October 2006 - 03:53 AM

ชัด ใส สว่าง
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#10 อ้วน บ่อโยก

อ้วน บ่อโยก
  • Members
  • 646 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:rayong

โพสต์เมื่อ 01 October 2006 - 03:50 PM

เหรียญหลวงปู่ ต่าง ๆ ปราบมาร ถล่มมาร พระของขวัญต่าง ๆ แล้วอธิษฐานให้ท่านช่วยนะครับ

#11 ธนกร สงขลา

ธนกร สงขลา
  • Members
  • 192 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 09:23 AM

ผมขอบอกวิธีแก้ไขก่อนน่ะครับคือ เราจะนั่งสมาธิก็ได้หรือจะใช้พระของขวัญของวัดเราก็ได้ ส่วนวิธีป้องกันนั้นเราก็ปฏิบัติธรรมให้ถึงพระธรรมกายแล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เข้ามาหาเราครับ

#12 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 12:17 PM

อีกวิธีสำหรับผู้ที่ถูกของไปเรียบร้อยแล้ว ให้ไปบวชอยู่ที่วัดไหนก็ได้ สัก 2-3 เดือน หายได้ครับ เคยมีเคสอย่างนี้ แล้วคุณครูแนะนำให้ไปบวช
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#13 บุญเย็น

บุญเย็น
  • Members
  • 812 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:thailand

โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 02:14 AM

ตัังใจละชั่ว ทำดี และทำใจให้ใส เวรบาปกรรมเบาบางเมื่อไหร่ บุญส่งผลเมื่อไร ทุกอย่างจะดีเองครับ นี้เป็นวิธีป้องกันด้วย และเป็นวิธีแก้ที่ทำได้ง่ายที่สุดครับ

นำมอ ตี่ จ่าง อ้วง ผู่ สัก