โดดงานบ่อยเพื่อไปสั่งสมบุญที่วัด เป็นการอันควรหรือใหม่
#1
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 09:45 AM
และด้วยเหตุที่ผมได้ไปปล่อยปลาที่วัดปทุมทองบ่อยๆ จึงทำให้ผมได้เจอพระน้องชายผมที่ท่านบวชตลอดชีวิต บางวันพระน้องชายผมก็จะขอให้ผมเป็นสารถีให้ และด้วยเหตุนี้ผมจึงได้เข้าวัดในวันธรรมดาด้วยในบางครั้ง และพอผมได้เข้าวัด ก็ตัดสินใจว่าจะไปกลับออกจากวัดอีก จะอยู่รอจนถวายภัตตาหารพระเสร็จ ก็จะซื้อพวงมาลัยไปถวายพระประธานที่ห้องปัญญาและนั่งสมาธิจนถึงเย็น ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นว่าวันนั้นทั้งวันผมจะไม่ได้กลับไปทำงานเลย
จึงอยากขอความเห็นเพื่อนกัลยาณมิตรทุกท่านว่า เป็นการสมควรไหมที่ผมตัดสินใจขาดงานแบบนี้ ที่จริงผมไม่ควรที่จะถามเพราะน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วใช่ไหมครับ แต่บอกตามตรงตอนนี้ใจของผมคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะกอบโกยบุญคืนมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม่จะต้องทำให้ขาดงานก็ตาม ผมคิดอยู่แต่แบบนี้น่ะครับ แต่ก็หวั่นว่าจะได้บุญไม่เต็มที่เหมือนกัน
ปล. งานของผมเป็นงานควบคุมดูแลการทำงานของพนักงานและคนงาน และดูแลงานก่อสร้างในโรงงานของผมเฉยๆ ซึ่งธรรมดาจะมีโฟร์แมนซึ่งเป็นหัวหน้างานแต่ละฝ่าย ควบคุมอยู่แล้วต่างหากก่อนที่ผมจะมาทำงานที่นี่ ผมแค่มาคอยกำกับและให้คำปรึกษาเหล่าโฟร์แมนหรือหัวหน้างานอีกทีเท่านั้นน่ะครับ
ว่าแต่วันนี้มีเหตุสุดวิสัยทำให้อดไปวัด เศร้าใจครับ T T
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#2
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 10:07 AM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#3
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 11:41 AM
ว่า ถ้าเป็นงานบุญใหญ่ ก็ต้องสร้างความประทับใจหัวหน้า
มีความรับผิดชอบก่อนมางาน
ส่วนเรื่องที่ ทุ่มหมดตัวนี่ ท่านไม่เคยบอกไว้
เราได้ยินแต่คำว่า
ทำบุญใหตัดใจให้พ้นจากความตระหนี่ และ ทุ่มเต็มกำลัง ซึ่งคุณน่าจะรู้นะว่ากำลังของคุณมีเท่าไร
หลักวิชาท่านว่าไว้เช่นนั้น
ถ้าทำตามไม่น่าเดือดร้อน
คุณเข้ามาตั้งกระทู้เก้าโมง สี่สิบห้า วันอาทิตย์ เวลามันฟ้องว่า.........................
เลือกเอา ใจใสๆ
#4
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 12:52 PM
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#5
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 01:58 PM
ถ้าตอบเพราะว่าเป็นเจ้าของกิจการที่พนักงานชอบหายตัวหละ ก็ บอกตรง ๆ ค่ะ ว่าไม่ชอบ จะไปไหนอย่างน้อยให้บอกกล่าว จะได้จัดคนไว้เพื่อทำงานทดแทน หรือจะได้วางแผนได้ว่า อะไร ต้องเสร็จวันไหน เพื่อไม่ให้งานเสียค่ะ
ยิ่งเป็นพนักงานดูแลควบคุมพนักงาน เช่นฝ่ายบุคคล แล้วตัวเองชอบหายตัวเองหละก็ คงต้องเชิญออกกันแล้วค่ะ เพราะไม่เช่นนั้นใครจะเชื่อฟังหละค่ะ
ขอโทษค่ะที่พูดตรง ๆ แต่ดิฉันมีประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน เพียงแต่ว่าที่พนักงานหายตัวไปนั้นคงแอบไปเที่ยว ไม่ได้แอบไปวัด แต่ผลของการแอบไปข้างนอก หลบงานโดยไม่บอกกล่าวก็มีผลทำนองเดียวกันค่ะ คือทำให้งานเสีย แล้วเมื่องานเสีย องค์กรทั้งหมดก็อยู่ไม่ได้ แล้วในที่สุดก็อาจจะต้องปิดกิจการ ขายกิจการ หรือ ไล่คนงานออก ลำบากคนอื่น ๆ อีกค่ะ แทนที่จะได้บุญ ดิฉันกลับว่าเป็นการทำกรรมนะคะ
แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าดิฉันไม่เห็นด้วยกับการโดดงานมาวัดนะค่ะ ที่จริงแล้วดิฉันก็ขอบแวบไปวัดในวันธรรมดาเหมือนกันค่ะ แต่พยายามทำให้น้อยที่สุด เอาเฉพาะวันสำคัญเท่านั้น อย่างเมื่อวันที่ถูกหักอกดังเป๊าะ ดิฉันก็แวปไปวัดไปตักบาตร ถวายภัตตาหารทั้งเช้าเลยค่ะเพื่อให้จิตใจสดชื่น และเพื่อให้พระท่านเป็นกำลังใจให้หันมาปฏิบัติธรรมโดยไม่มีเครื่องกังวล แต่แล้วก็ต้องตัดใจกลับมาทำงาน ไม่อยากถูกเชิญออกเพราะทำให้บริษัทเสียงานค่ะ ถ่าไม่มีงานก็ไม่มีเงิน ไม่มีเงินก็ทำบุญไม่ได้ ทำบุญไม่ได้ ก็ยิ่งจะเซ็งขีวิตค่ะ
สู้เราตั้งใจสุด ๆ ในการทำงาน แบ่งเวลาให้ถูก เช่น ทุกวันเสาร์อาทิตย์เข้าวัด ก็เข้าไปเลยให้สุด ๆ วันธรรมดาทำงานก็ทำไปเลยให้สุด ๆ วันบุญใหญ่ก็วางแผนลาล่วงหน้า อย่างนี้น่าจะดีกว่า พยายามให้มี work & life balance ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
#6
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 03:14 PM
#7
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 04:34 PM
-- มีงานด่วน มีเหตุจำเป็น งานยังมีปัญหา ไม่เสร็จภายในวันนี้ ......
ที่แก้ลำมา ล้วนเข้าท่า เสียแต่ว่า จำเป็นมากขนาดไหน ก็ยัง ถึงเข้ามาตั้งกระทู้แต่เช้า ได้
ดูทางของคุณแล้ว มันยังไง จางวางขาว หรือจางวางดำ ตีให้แตกหน่อยดิคับ
เลือกเอา ใจใสๆ
#8
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 04:43 PM
งานของเราอาจะไม่เหมือนกัน จะขาดบ้างก็คงไม่มีใครว่า แต่ผมว่าเอาที่เราสบายใจ และไม่ก่อให้เกิดวิบากกับผู้อื่นเถอะครับ ถ้าเรามาแล้วเราสบายใจ งานไม่เสีย ก็คงไม่มีใครว่า แต่ถ้าเรามาแล้ว เราเองก็ไม่สบายใจ กลัวเจ้านายจะรู้ กลัวว่างานจะเสีย ก็อย่าดีกว่าครับ เราจะไม่รู้สึกปลื้มในบุญเท่าใหร่
ปล. เดี๋ยวนี้นิ่งแล้วใหญ่ เจ้านายผมดู dmc ด้วย ถ้านายไม่โดด แล้วเราโดด ตอนนี้ต้องเดินไปขอตรงๆ เลยครับเพราะเค้าก็รู้ว่าผมจะลามาวัด อิ อิ แต่วันไหนพร้อมใจกันลา วันนั้นสบายสุดๆ ครับ เปลี่ยนเป็นมาเจอกันที่วัดแทน
#9
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 05:12 PM
ถ้าคุณpeter10จะคิดแบบนั้นผมก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวอีกแล้วล่ะครับ ขอบพระคุณpeter10ด้วยแล้วกันนะครับที่เสนอแนะความคิดให้ผม
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#10
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 05:25 PM
ที่จริงดิฉันก็อยากไปวัดให้ได้บ่อย ๆ เหมือนกัน ตอนนี้เลยตั้งใจว่าจะพยายามเอาตัวออกจากงานที่เป็นอุปสรรคในการมาวัดค่ะ
ดิฉันใช้วิธีิอธิษฐานต่อหลวงปู่ทุกครั้งที่มีโอกาสเลย ว่าขอให้สามารถปลดภาระอันหนักอื้งที่มีอยู่ที่บ้านให้ได้ และให้ได้ทำงานที่เอื้ออำนวยในการทำบุญสร้างบารมีค่ะ ตอนนี้ก็เห็นแสงรำไรอยู่ปลายอุโมงค์แล้ว หากปลดภาระที่มีอยู่ทุกวันนี้ได้หมด ก็คงจะสามารถจัดสรรเวลาให้ตนเองได้มากขึ้นเพื่อจะได้ไปวัดได้อย่างน้อยก็ทุกอาทิตย์ต้นเดือน และก็จะได้เอาเวลาไปทำมาหากินสร้างทรัพย์มาก ๆ มาทำบุญมาก ๆ ตอนนี้อธิษฐานขอหลวงปู่ทุกวันเลยค่ะ
( ไม่รู้ว่าที่แฟนขอเลิกไปนี่เป็นเพราะหลวงปู่กรุณาชี้ทางสว่าง ปลดปล่อยเราออกจากกรรมให้ด้วยรึเปล่านะเนี่ย !!! เฮ่อ เจ็บจริง ๆ จำขึ้นใจ เข็ดไปตลอดชาติแล้วกับความรัก ไม่เอาอีกแล้ว )
#11
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 06:33 PM
#12
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 08:29 PM
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
อาภรณ์ ชุดสุดท้าย กาสายะ<br /> ชีพสุดท้ายคือพระ ผ่องแผ้ว<br /> วิชชาสุดคือธรรมะ พุทธเจ้า<br />จารจดไว้ลูกแก้ว จักแคล้วบ่วงมาร<!--sizec--></span><!--/sizec--><!--colorc--></span><!--/colorc-->
#13
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 09:07 PM
สาธุ ^ ^
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#14
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 09:44 PM
ดิ น ที่ พ อ ก ห า ง ห มู มี แ ต่ จ ะ เ พิ่ ม ม า ก ขึ้ น ๆ
แ ล ะ ถ่ ว ง ห มู ใ ห้ กิน อ ยู่ ห ลั บ น อ น ไ ม่ เ ป็ น สุ ข ยิ่ ง ๆ ขึ้ น ไ ป ฉั น ใ ด
ก า ร ง า น ที่ ป ล่ อ ย ทิ้ ง ไ ว้ คั่ ง ค้ า ง ก็ มี แ ต่ จ ะ ยิ่ ง เ พิ่ ม ม า ก ขึ้ น
แ ล ะ ถ่ ว ง ค ว า ม เ จ ริ ญ ก้ า ว ห น้ า ทั้ ง แ ก่ ต น เ อ ง แ ล ะห มู่ ค ณ ะ ฉั น นั้ น
" ค่ า ข อ ง ค น อ ยู่ ที่ ผ ล ข อ ง ง า น
ห า ก ป ล่ อ ย ก า ร ง า น ใ ห้ คั่ ง ค้ า ง
ก็ เ ท่ า กั บ กำ ลั ง ทำ ล า ย ค่ า ข อ ง ต น เ อ ง "
เ ห ตุ ที่ ท ำ ใ ห้ ง า น คั่ ง ค้ า ง
ทำงานไม่ถูกกาล ยังไม่ถึงเวลาทำก็ใจร้อนด่วนไปทำ แต่พอถึงเวลาควรทำกลับไม่ทำ เช่น ตอนแดดออกมัวไปถูบ้าน พอฝนตกกลับไปซักเสื้อผ้า ตากเท่าไหร่ก็ไม่แห้ง หรือตอนเด็กไม่ยอมเรียนหนังสือ เที่ยวสำมะเลเทเมา พอแก่เฒ่าจะมาเรียนก็เรียนไม่ไหวแล้ว
ทำงานไม่ถูกวิธี ทำผิดขั้นตอน ผิดลำดับ เช่น จะทำความสะอาดบ้าน ก็ไปกวาดพื้นก่อน แล้วกวาดเพดานทีหลัง ฝุ่นผงต่างๆ ก็ตกลงมาต้องกวาดพื้นใหม่อีก เป็นต้น
ไม่ยอมทำงาน ชอบผัดวันประกันพรุ่ง หรือหาเหตุต่างๆ นานามาอ้าง เช่น รอฤกษ์รอยาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าเราจะทำความดีเมื่อไร ฤกษ์ก็ดีเมื่อนั้น ไม่ต้องรอ ทำไปได้เลย ประโยชน์ย่อมเป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง
"ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนโง่ ผู้มัวรอฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง ดวงดาวจักทำอะไรได้" ขุ. ชา. เอก. ๒๗/๔๙/๑๖
วิ ธี ท ำ ง า น ใ ห้ เ ส ร็ จ
วิธีทำงานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้คือ อิทธิบาท ๔ ได้แก่
ฉันทะ คือความรักงาน หรือ ความเต็มใจทำ
วิริยะ คือความพากเพียร หรือ ความแข็งใจทำ
จิตตะ คือความเอาใจใส่ หรือ ความตั้งใจทำ
วิมังสา คือการพินิจพิเคราะห์ หรือ ความเข้าใจทำ
ฉันทะ คือความรักงาน จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราเล็งเห็นผลดีของงานว่า ถ้าทำงานนี้แล้วจะได้อะไร เช่น เรียนหนังสือแล้วจะได้วิชาความรู้ไปประกอบอาชีพ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราก็จะเกิดความเต็มใจทำ
คนสั่งงานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความพอใจให้แก่ผู้ทำงาน ควรจะให้เขารู้ด้วยว่า ทำแล้วจะเกิดผลดีอย่างไร หรือถ้าไม่ทำจะเสียผลทางไหน ผู้สั่งงานบางคนใช้อำนาจบาทใหญ่ บางทีสั่งพลางด่าพลาง ใช้ถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามไปพลาง เป็นการทำลายกำลังใจของผู้ทำ นับว่าทำผิดอย่างยิ่ง
วิริยะ คือความพากเพียร ความไม่ท้อถอย เป็นคุณธรรมทางใจ เรียกความรู้สึกนี้ว่า ความกล้า อยากจะรู้ว่ากล้าอย่างไร ต้องดูทางตรงข้ามเสียก่อน คือทางความเกียจคร้าน คนเกียจคร้านทุกคนและทุกครั้ง คือคนขลาด คนกลัว กลัวหนาว กลัวร้อน กลัวแดด กลัวฝน จะทำงานแต่ละครั้งเป็นต้องอ้างว่าหนาวจะตาย ร้อนจะตาย หิวจะตาย อิ่มจะตาย เหนื่อยจะตาย ง่วงจะตาย คนเกียจคร้านทุกคนตายวันละไม่รู้กี่ร้อยครั้ง
การเอาชนะคำขู่ของความเกียจคร้านเสียได้ ท่านเรียกว่า วิริยะ คือความเพียร หรือความกล้านั่นเอง แม้จะมีอุปสรรคเพียงใด แต่ก็จะมีความแข็งใจทำ และการจะมีความเพียรขึ้นมาได้ จำเป็นต้องละเว้นจากอบายมุข ให้ได้เสียก่อน
มีข้อน่าสังเกตสำหรับคนทำงานร่วมกันคือ จะต้องขยันด้วยกันทั้งหัวหน้าและลูกน้องจึงจะได้เรื่อง ยิ่งผู้เป็นหัวหน้ายิ่งสำคัญมาก ถ้าเป็นคนเกียจคร้าน คิดกินแรงผู้น้อยท่าเดียว คิดแต่ว่า "ให้แกวิดน้ำท่าข้าจะล่อน้ำแกง" ผู้น้อยก็มักขยันไปได้ไม่กี่น้ำ ประเดี๋ยวก็รามือกันหมด แต่ถ้าหัวหน้าเอาการเอางาน ก็ดึงผู้น้อยให้ขยันขันแข็งขึ้นด้วย
"ฐานะ ๕ อย่างคือ ความชอบนอน ความชอบคุย ความไม่หมั่น ความเกียจคร้าน และความโกรธง่าย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อม เพราะคนถึงพร้อมด้วยฐานะ ๕ อย่างนั้น เป็นคฤหัสถ์ ก็ไม่ถึงความเจริญของคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิต ก็ไม่ถึงความเจริญของบรรพชิต ย่อมเสียหายถ่ายเดียว ย่อมเสื่อมถ่ายเดียวแน่แท้" อรรถกถา ปราภวสูตร ขุททกนิกาย สุตตนิบาต
จิตตะ คือความเอาใจใส่ หรือ ความตั้งใจทำ คนมีจิตตะเป็นคนไม่ปล่อยปละละเลยกับงานของตน คอยตรวจตรางานอยู่เสมอ
ปกติคนที่โตเป็นผู้ใหญ่รู้ผิดชอบแล้ว ที่จะเป็นคนเฉยเมยไม่ใส่ใจกับงานเลยมีไม่เท่าไร ส่วนใหญ่มักจะใส่ใจกับงานอยู่แล้ว เพราะธรรมชาติของใจคนชอบคิด ทำให้หยุดคิดสิยาก แต่เสียอยู่อย่างเดียวคือ ชอบคิดเจ้ากี้เจ้าการแต่เรื่องงานของคนอื่น คอยติ คอยสอด คอยแทรก คอยวิพากษ์วิจารณ์ ธุระของตัวกลับไม่คิดเสียนี่ เห็นคนอื่นใส่เสื้อขาดรูเท่าหัวเข็มหมุดก็ตำหนิติเตียนเขาเป็นเรื่องใหญ่ แต่ทีตัวเอง มุ้งขาดรูเท่ากำปั้นตั้งเดือน แล้วเมื่อไรจะเย็บล่ะ และที่เที่ยวไปสอดแทรกงานเขา แต่งานเราไม่ดูนั้น มันทำให้อะไรของเราดีขึ้นบ้าง เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงสอนให้เราเป็นนักตรวจตรางาน คือให้มีจิตตะ แล้วก็ทรงให้โอวาทสำทับไว้ด้วยว่า
"ควรตรวจตรางานของตัวเอง ทั้งที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำ" ขุ. ธ. ๒๕/๑๔/๒๑"
วิมังสา คือความเข้าใจทำ สุดยอดของวิธีทำงานให้สำเร็จอยู่ในอิทธิ-บาทข้อสุดท้ายนี้ วิมังสา แปลว่า การพินิจพิเคราะห์ หมายความว่า ทำงานด้วยปัญญา ด้วยสมองคิด ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ คนเราแม้จะรักงานแค่ไหน บากบั่น ปานใด หรือเอาใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าขาดการใช้ปัญญาพิจารณางานด้วยแล้ว ผลที่สุดงานก็คั่งค้างจนได้ เพราะแม้ว่าขั้นตอนการทำงานจะสำเร็จไปแล้ว แต่ผลงานก็ไม่เรียบร้อย ต้องทำกันใหม่ร่ำไป
อีกประการหนึ่ง คนทำงานที่ไม่ใช้ปัญญา ไปทำงานที่ไม่รู้จักเสร็จ จะปล้ำให้มันเสร็จ หนักเข้าตัวเองก็กลายเป็นทาสของงาน เข้าตำรา "เปรตจัดหัวจัดตีน" ตามเรื่องที่เล่าว่า เปรตตัวหนึ่ง ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าเปรต ให้ไปเฝ้าศาลาข้างทาง เวลาคนนอนหลับเปรตก็ลงจากขื่อมาตรวจดูความเรียบร้อย ทีแรกก็เดินดูทางหัว จัดแนวศีรษะให้ได้ระดับเดียวกัน ให้เป็นระเบียบ ครั้นจัดทางศีรษะเสร็จก็วนไปตรวจทางเท้า เห็นเท้าไม่ได้ระดับก็ดึงลงมาให้เท่ากัน แล้วก็วนไปตรวจทางศีรษะอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีวันเสร็จสิ้นได้เลย หาได้นึกไม่ว่า คนเขาตัวสูงก็มี เตี้ยก็มี ไม่เสมอกัน จัดจนตายก็ไม่เสร็จ คนที่ทำงานไม่ใช้ปัญญาจัดเป็นคนประเภท "เปรตจัดหัวจัดตีน" อย่างนี้ก็มี ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาหน่อยเดียว ทำให้เสร็จเท่าที่มันจะเสร็จได้ใจก็สบาย
คนที่ทำงานด้วยปัญญานั้นจะต้อง
- ทำให้ถูกกาล ไม่ทำก่อนหรือหลังเวลาอันควร
- ทำให้ถูกลักษณะของงาน
สรุปวิธีการทำงานให้สำเร็จนั้น มีลักษณะล้วนขึ้นอยู่กับใจทั้งสิ้น คือเต็มใจทำ แข็งใจทำ ตั้งใจทำ และเข้าใจทำ วิธีการฝึกฝนใจที่ดีที่สุด ก็คือ การให้ทาน การรักษาศีล และการทำสมาธิเพื่อให้ใจผ่องใส ทำให้เกิด ปัญญาพิจารณาเห็นผลของงานได้ รู้และเข้าใจวิธีการทำงาน มีกำลังใจ และมีใจจดจ่ออยู่กับงาน ไม่วอกแวก
อุ ป ส ร ร ค ใ น ก า ร ท ำ ง า น ใ ห้ เ ส ร็ จ
อุปสรรคใหญ่ในการทำงานให้เสร็จก็คือ อบายมุข ๖ ได้แก่
1. ดื่มน้ำเมา
2.เที่ยวกลางคืน
3.ดูการละเล่นเป็นนิจ
4.เล่นการพนัน
5.คบคนชั่วเป็นมิตร
6.เกียจคร้านในการทำงาน
อบาย แปลว่า ความเสื่อม ความฉิบหาย มุข แปลว่า ปาก, หน้า
อบายมุข จึงแปลว่า ปากทางแห่งความเสื่อม เนื่องจากมันเป็น ปากทาง ส่วนตัวความเสื่อมจริงๆ นั้นอยู่ ปลายทาง เมื่อมองเพียงผิวเผินเราจึงมักยังมองไม่เห็นความเสื่อม แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และท่านผู้รู้ทั้งหลายมองเห็น
ถ้าจะดูกันแต่ปากทางแล้ว ก็อาจเห็นเป็นความเจริญด้วยซ้ำ เหมือน...
ปากทางที่จะไปเข้าคุก ก็เป็นถนนราบเรียบ แต่ปลายทางเป็นคุกที่ทรมาน
ปากทางที่จะตกลงบ่อ ก็เป็นพื้นดินสะอาด แต่ก้นบ่อมีน้ำที่จะทำให้ผู้ตกลงไปจมหรือสำลักน้ำตาย
ปากทางที่จะตกลงเหว ก็เป็นป่าหญ้างามดี แต่ก้นเหวลึกมากจนทำให้คนที่ตกลงไปตายได้
เช่นกัน อบายมุขซึ่งเป็นปากทางแห่งความฉิบหายนี้ ดูเผินๆ ก็ไม่มีพิษสงอะไร เที่ยวกลางคืนก็สนุกดี เล่นการพนันก็เพลิดเพลินดี แต่ก็ทำให้ผู้ประพฤติทำการงานไม่สำเร็จ เสื่อมไปจากความเจริญก้าวหน้าและกุศลธรรม ทั้งหลาย ที่ถึงกับฉิบหายขายตัวไปแล้วก็มากต่อมาก อบายมุขจึงเป็นเสมือนหน้าตา สัญลักษณ์ของความเสื่อม บุคคลใดยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขก็รู้ได้ทันทีว่า ผู้นั้นมีความเสื่อมเกิดขึ้นแล้ว
เ รื่ อ ง ที่ น่ า รู้
คุณสมบัติของนายจ้างที่ดี
1.จัดงานให้ลูกจ้างทำตามความเหมาะสม
2.ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและความสามารถ
3.ให้สวัสดิการที่ดี
4.มีอะไรได้พิเศษมา ก็แบ่งปันให้
5.ให้มีวันหยุดพักผ่อนตามสมควร
คุณสมบัติของลูกจ้างที่ดี
1.เริ่มทำงานก่อน
2.เลิกงานทีหลัง
3.เอาแต่ของที่นายให้
4.ทำงานให้ดียิ่งขึ้น
5.นำความดีของนายไปสรรเสริญ
ก า ร ท ำ ง า น ไ ม่ คั่ ง ค้ า ง
ทำให้ฐานะของตน ครอบครัว ประเทศชาติดีขึ้น
ทำให้ได้รับความสุข
ทำให้พึ่งตัวเองได
ทำให้เป็นที่พึ่งของคนทั้งหลายได
ทำให้สามารถสร้างบุญกุศลอื่นๆ ได้ง่าย
ทำให้เป็นผู้ไม่ประมาท
ทำให้ป้องกันภัยในอบายภูมิได
ทำให้มีสุคติเป็นที่ไปเบื้องหน้า
ทำให้เป็นนิสัยติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ
ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากคนทั่วไป
ฯลฯ
"บุคคลใดไม่คำนึงถึงหนาวร้อน อดทนให้เหมือนหญ้า
กระทำกิจที่ควรทำด้วยเรี่ยวแรงของลูกผู้ชาย บุคคลนั้นย่อมไม่เสื่อมจากสุข" (สิงคาลกสูตร) ที. ปา. ๑๑/๑๘๕/๑๙๙
ถ้าไม่ผิดไปจาก มงคลชีวิตนี้ ก็คงไม่เป็นไรนะคะ ที่สำคัญ ถ้าจะขาดงาน เพื่อมาวัด ก็ไม่ควรจะขาดเพราะเหตุผลอื่นด้วยค่ะ
ไม่เช่นนั้น ถ้าเจ้านายรู้ทีหลัง จะนึกว่า ที่บอกว่าเคยลาไปวัด ที่แท้ โกหก แล้วอ้างว่าไปวัดนี่นา
![glare.gif](style_emoticons/default/glare.gif)
อย่าลืม เคลียร์งานที่คั่งค้างให้เสร็จก่อนจะขาดนะคะ เพราะ เวลามีงานบุญใหญ่ ก็ทราบล่วงหน้ากันนานๆอยู่แล้ว จะมาวัด ใครจะได้ไม่ว่าได้ค่ะ ว่าขาดความรับผิดชอบในหน้าที่
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#15
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 10:02 PM
แต่ดูจากตำแหน่งงานแล้วหัวหน้าโดดง่ายกว่าลูกน้องอยู่แล้ว แซวเล่นนะ555
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ
#16
โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 10:32 AM
#17
โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 12:24 PM
#18
โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 12:54 PM
#19
โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 04:23 PM
แต่อย่างไรก็แล้วแต่จะไม่ทำงานอย่างเป็นหนี้ คือทำงานให้คุ้มกับที่เขาจ้าง
ดังนั้น งานบุญสำคัญ ผมจะไม่รีรอที่จะมาให้ได้ ถึงงานจะยุ่งแค่ไหน ก็จะต้องใช้กุศโลบายหาทางมาให้ได้
ผมว่าอยู่ที่การตัดสินของตัวเราว่า เราให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่า
เจ้าของบริษัท อาจจะให้ความสำคัญของธุรกิจตัวเอง แต่เราเป็นลูกจ้างก็น่าจะให้ความสำคัญให้กับตัวเองด้วย โดยการแสวงบุญให้มากๆ เพราะบุญเรายังน้อย
#20
โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 06:29 PM
ดิ น ที่ พ อ ก ห า ง ห มู มี แ ต่ จ ะ เ พิ่ ม ม า ก ขึ้ น ๆ
แ ล ะ ถ่ ว ง ห มู ใ ห้ กิน อ ยู่ ห ลั บ น อ น ไ ม่ เ ป็ น สุ ข ยิ่ ง ๆ ขึ้ น ไ ป ฉั น ใ ด
ก า ร ง า น ที่ ป ล่ อ ย ทิ้ ง ไ ว้ คั่ ง ค้ า ง ก็ มี แ ต่ จ ะ ยิ่ ง เ พิ่ ม ม า ก ขึ้ น
แ ล ะ ถ่ ว ง ค ว า ม เ จ ริ ญ ก้ า ว ห น้ า ทั้ ง แ ก่ ต น เ อ ง แ ล ะห มู่ ค ณ ะ ฉั น นั้ น
ใช่แล้วหละงานที่คั่งค้างไว้เนี่ยไม่ดีเลย เฮ้อ!!!!
แหมคุณkoonpatt เนี่ยช่วงหลังเนี่ย หลักปริยัติแน่นเอี้ยด ความรู้ดีๆทั้งนั้นเลย เอ้า ขออนุโมทนาด้วย สา....ธุ...
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#21
โพสต์เมื่อ 11 October 2006 - 06:39 AM
#22
โพสต์เมื่อ 11 October 2006 - 07:17 AM
เข้าข่ายละเลยความรับผิดชอบหนึ่ง ไปสู่เป้าหมายยิ่งใหญ่อีกเหตุผลหนึ่ง ขอสนธนาธรรมขบคิดในมุมมองน้อย ๆ น่ะครับกระพ้ม
ในฐานะ เจ้าของกิจการเล็ก ๆ เช่นกัน หากคุณมีความรับผิดชอบส่วนตัวดีอยู่แล้ว และเป็นกัลยาณมิตรที่มีผลงานจัดแจ้ง เป็นที่ยอมรับนับถือของเพื่อนร่วมงาน ก่อนแว้ปไปทำบุญหรือกุศลกรรมใด ๆ ได้แจกแจงงานให้ลูกน้อง พนักงานปฏิบัติไว้ชัดเจน ถึงเวลา แวะไปทำบุญจะด้วยลาหรือว่าไม่ลาก็ตามแต่ หรือว่าจะด้วยผมรู้หรือไม่รู้ก็ตาม หากเจ้าของกิจการมีสัมมาทิฐิด้วยกันแล้ว เชื่อว่าเขาคงอนุโมทนาสาธุการด้วย อาจจะน้อยใจนิด ๆ ที่ว่าไม่ชวนเขาบ้าง อันนี้ก็ว่ากันไป
แต่หากไปแบบทิ้งงานสำคัญอันหนักอึ้งแบบไม่บอกกล่าว หรือลาไปที ประมาณว่าพรุ่งนี้กระผมเคลียให้ได้ ตรงนี้ก็อย่าดูเบาและประมาทไป ผู้หลักผู้ใหญ่อาจไม่ได้คิดอย่างเรา ท่านมองไปถึงเอ ทำไมคนธรรมะธัมโมขาดความรับผิดชอบเสียได้ ครูบา-อาจารย์ท่านว่าไว้อย่างไรหนอ เข้าไปโน่นก็มี นี้ต้องเสียเวลาพิสูจน์ตนอีก การได้บุญคงจะตก ๆ หล่น ๆ ด้วยวิบากกรรมที่สร้างความลำบากกับผู้อื่น การทำบุญที่ดี ควรเป็นต้นแบบตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่นด้วยน่ะขอรับ
ผมลืมอะไรไปหนอ
อนุโมทนา สาธุด้วยครับ
#23
โพสต์เมื่อ 11 October 2006 - 10:49 AM
ยังไงก็อยากให้ลานะคะ เพราะใช่ค่ะ ถ้าคุณเป็นลูกจ้าง การขาดงานของคุณ อาจไม่ทำให้ บริษัทของคุณ ต้องปิดกิจการ แต่
1. ถ้าหากหน้าที่ของคุณ ไม่มีใครทำแทนได้
2. ถ้าหากแผนกของคุณ มีพนักงาน 2 คน และ บังเอิญว่า อีกคน ก็เกิดขาดขึ้นมาในวันเดียวกัน
3. ถ้าหากงานของคุณ เป็นงานที่ต้องต้อนรับลูกค้า เป็นจำนวนมากๆ ทุกวัน ฯลฯ
เพื่อนร่วมงานของคุณ ต้องเหนื่อยมากขึ้น เพื่อคุณ (คุณจะตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยของเค้าอย่างไร)
หัวหน้างานโดยตรงของคุณ ต้องโดนเจ้านายตำหนิ ว่าลูกน้องหายไปไหนทำไมไม่รู้ (คุณจะตอบแทนการที่ทำให้เค้าถูกตำหนิอย่างไร)
ง่ายที่สุดเหมือนที่บางท่าน โพสต์ตอบไว้ คือ ออก เป็น ออก ถ้าคุณไม่มีชีวิตอื่นต้องรับผิดชอบ รวมถึง เจ้าหนี้ของคุณ (ถ้ามี) อันนี้ ก็แล้วแต่สะดวกค่ะ
ถูกต้องค่ะ คุณอาจไม่ได้ทำงานกับเขาไปตลอดชีวิต (นายจ้าง) อย่าลืมนึกถึงเพื่อนร่วมงาน และ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคุณ ไม่ว่าคุณจะอยู่ใน ตำแหน่งไหนก็ตาม
คนทุกคนเป็น "โปร " ในงานของตัวเอง คนทุกคนล้วนสำคัญทั้งสิ้น ในหน้าที่ของตน ไม่ว่าคุณจะคิดอย่างนั้นหรือไม่ก็ตาม
อย่าลืมนึกถึงวันที่ "คุณต้องการ "งาน" และบริษัทที่อื่น "ไม่ต้องการ "คุณ"
คุณเคยนึกโมโห คนที่ทิ้งหน้าที่ของเค้าเหล่านั้นไป แล้วทำให้คุณเดือดร้อนหรือเปล่า
คนเก็บขยะ ที่ไม่ยอมเก็บขยะหน้าบ้านคุณเสียที ทั้งที่กองอยู่หลายวัน เริ่มส่งกลิ่นแล้ว ล้นออกมานอกถนนแล้ว
คนขับรถเมล์ ที่หายหน้าไป ทำให้จำนวนรถไม่เพียงพอกับความต้องการ ของผู้โดยสาร
ครูบาอาจารย์ในโรงเรียนของลูกคุณ ขาดสอน
หมอ พยาบาลที่ดูแล ญาติพี่น้องของคุณที่นอนป่วยในโรงพยาบาล ขาดเวร
แม่บ้านในที่ทำงานที่ไม่มา ทำให้ห้องน้ำสกปรก เต็มไปด้วยรอยเท้า และกลิ่นสกปรก
พนักงานเคาน์เตอร์เซอร์วิส ต่างๆ ที่คุณต้องเข้าไปใช้บริการ เช่น เคาน์เตอร์ธนาคาร จุดเช็คบิลตามซูเปอร์มาร์เก็ต พนักงานเสิร์ฟร้านอาหาร ที่จำนวนพนักงานเหลือน้อยจน คุณต้องรอเป็นเวลานาน ทั้งที่ไม่จำเป็น และ ทำให้คุณเสียเวลาที่จะไปทำอย่างอื่น (คุณอาจรีบไปทำบุญก็ได้ใครจะรู้)
ถ้าเค้าเหล่านั้นตอบคุณว่า " ไปทำบุญมา "
ที่โมโหในใจไปแล้ว จะทำอย่างไร
ดังนั้น โดยส่วนตัวแล้ว อยากให้ลาค่ะ ถ้าลาแล้วไม่ให้ไป อยากจะขาด อันนั้นอีกเรื่องนึง อย่างน้อยถ้าบอกเค้า(นายจ้าง หัวหน้างาน หรือ เพื่อนร่วมงาน) ให้เค้าได้เตรียมตัวรับมือกับปัญหา อันอาจจะเกิดขึ้นในขณะที่คุณไม่อยู่ หรือหาคนมาแทนในหน้าที่ของคุณ เมื่อคุณกลับมา เค้าจะได้อนุโมทนากับบุญที่คุณไปทำมา อย่างเต็มใจ ยินดี และมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วม
(เค้าเหนื่อยเพิ่มขึ้น เพื่อให้คุณไปรับบุญ เค้าอาจจะจำเป็นต้องหยุดในวันนั้น ถ้าหากลูกหรือญาติพี่น้องเค้ากำลังเจ็บป่วย หรือ ต้องการความช่วยเหลือ นั่นแปลว่า เค้าเสียสละเพื่อคุณ คุณติดค้างเค้าค่ะ)
อย่าลืมนะคะ การมีความสุขบนความทุกข์ หรือ ความเดือดร้อนของคนอื่น ยังไง koonpatt ก็ไม่เชื่อ ว่าเป็นสิ่งที่ดี และถูกต้องค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#24
โพสต์เมื่อ 11 October 2006 - 11:17 AM
#25
โพสต์เมื่อ 11 October 2006 - 02:23 PM
ถ้าเป็นงานบุญใหญ่เนี่ย ยังไงก็ต้องมา แต่ว่าต้องเคลียร์งานให้เรียบร้อย ไม่ให้มีใครเดือดร้อน
ส่วนวันธรรมดานี่ต้องจัดสรรค่ะ ใช้สิทธิ์วันลาของเรา เฉลี่ยๆไปตลอดปีก็คงพอได้
คงต้องดูลักษณะงาน ดูที่บริษัท และเพื่อนร่วมงานด้วยค่ะ
#26
โพสต์เมื่อ 11 October 2006 - 03:27 PM
#27
โพสต์เมื่อ 11 October 2006 - 10:21 PM