คำว่า ภูติ ผี ปีศาจ อสุรกาย สัมภเวสี นั้นมีความหมายอย่างไร ? เคยได้ยินจากรายการฝันในฝันว่า
เหตุใดจึงใช้คำว่า ภูติ กับชื่อพระพุทธเจ้า
หลักฐาน ธรรมกาย ที่ปรากฏทางคัมภีร์ พุทธเถรวาท
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ฉบับบาลี ปี 2525 หน้า 92 ความว่า
"ดูก่อน วาเสฐะ อันว่า คำว่า ธรรมกาย ก็ดี พรหมกาย ก็ดี ธรรมภูติ ผู้ที่เป็นธรรมก็ดี
หรือ พรหมภูตะ ผู้ที่เป็นพรหมก็ดี นี่แหละเป็นชื่อของเราตถาคต"
ภูติ ผี ปีศาจ อสุรกาย
เริ่มโดย SmilingCat, Oct 15 2006 12:23 PM
มี 9 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 15 October 2006 - 12:23 PM
หยุดคือตัวสำเร็จ
#2
โพสต์เมื่อ 15 October 2006 - 04:17 PM
อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมให้ศึกษาในวิชา ความรู้พื้นฐานทางพระพุทธศาสนา
#3
โพสต์เมื่อ 15 October 2006 - 08:44 PM
คำว่าภูติ ผี ปีศาจ อสุรกาย นี้เคยได้ยินจากรายการฝันในฝันว่าเป็นกายละเอียดชนิดหนึ่ง
เช่น ภูตินั้น เป็นกายละเอียดเช่นเดียวกับภุมเทวา จาก case study เรื่อง ยืนเป็น...นอนตาย
แต่ไม่ทราบ ความแตกต่าง ของคำเหล่านี้ เหตุใดจึงเรียกต่างกัน คำเรียกเหล่านี้เคยได้ยินบ่อย ๆ
โดยเฉพาะคำว่า ภูตินั้น นำมาใช้เรียกชื่อ พระพุทธเจ้า ด้วย โดย ต่อใช้ต่อท้าย เช่น ธรรรมภูติ พรหมภูติ
จึงอยากทราบว่ามีความหมายอย่างไร
ท่านผู้รู้ช่วยอธิบายด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
เช่น ภูตินั้น เป็นกายละเอียดเช่นเดียวกับภุมเทวา จาก case study เรื่อง ยืนเป็น...นอนตาย
แต่ไม่ทราบ ความแตกต่าง ของคำเหล่านี้ เหตุใดจึงเรียกต่างกัน คำเรียกเหล่านี้เคยได้ยินบ่อย ๆ
โดยเฉพาะคำว่า ภูตินั้น นำมาใช้เรียกชื่อ พระพุทธเจ้า ด้วย โดย ต่อใช้ต่อท้าย เช่น ธรรรมภูติ พรหมภูติ
จึงอยากทราบว่ามีความหมายอย่างไร
ท่านผู้รู้ช่วยอธิบายด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
หยุดคือตัวสำเร็จ
#4
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 07:47 AM
มาดู
#5
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 08:40 AM
QUOTE
คำว่า ภูติ ผี ปีศาจ อสุรกาย สัมภเวสี นั้นมีความหมายอย่างไร
เป็นอดีตมนุษย์ ครับ คือเมื่อครั้งที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ ได้ประกอบกรรม ขณะเมื่อตายกรรมฝ่ายอกุศลได้ส่งผลมากกว่าฝ่ายกุศล ทำให้จิตไม่ผ่องใส จึงต้องไปเกิดมีอัตภาพต่างๆ แล้วแต่กรรมจะส่งผลให้ไปเกิดเป็นอะไร
#6
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 12:07 PM
จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์นะครับ
ภูต, ภูตะ 1. สัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือเกิดเสร็จไปแล้ว, นัยหนึ่ง หมายถึงพระอรหันต์ เพราะไม่แสวงหาภพเป็นที่เกิดอีก อีก นัยหนึ่งหมายถึงสัตว์ที่เกิดเต็มตัวแล้ว เช่น คนคลอดจากครรภ์แล้ว ไก่ออกจากไข่แล้ว เป็นต้น ต่างกับ สัมภเวสี คือ สัตว์ผู้ยังแสวงหาที่เกิด ซึ่งได้แก่ปุถุชนและพระเสขะผู้ยังแสวงหาภพที่เกิดอีก หรือสัตว์ในครรภ์และในไข่ที่ยังอยู่ระหว่างจะเกิด 2. ผี, อมนุษย์ 3. ภูตรูป คือ ธาตุ ๔ มักเรียก มหาภูต
ความเห็นหัดฝัน
ดังนั้นจะเห็นว่า ภูติ มีความหมาย 2 นัย ความหมายแรก หมายถึง ผู้เกิดเสร็จแล้วที่ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป เช่น พระอรหันต์ ดังนั้น ฉายา ภูติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก จึงเข้ากับความหมายนัยนี้ครับ
ต่อมา ภูติ หมายถึง ผู้เกิดแล้ว ที่ยังต้องรอเวลาเกิดต่อไป ตรงนี้ ตามตำราหมายถึง มนุษย์ สัตว์ต่างๆ ที่เกิดแล้ว รวมภุมเทวา ผี เทวดาชั้นสูง อะไรต่างๆ ที่ยังไม่หมดอายุ ที่จะต้องไปเกิดใหม่
ส่วนคำว่า ภูติ ที่คนโบราณหมายถึง ใน ภูติ ผี ปัศาจ นั้น หมายความเอาเฉพาะ ภุมเทวา หรือ ผีตีนโรงตีนศาล (ไม่นับมนุษย์ สัตว์ต่างๆ เทวดาชั้นสูง) ซึ่งประกอบด้วย
ภูติ หมายถึง ก่อนตายใจเศร้าหมองด้วยความโลภ บุญไม่พอไปอบาย บาปไม่พอขึ้นสวรรค์ จึงมาเป็น ภูติ มีฤทธ์แปลงกายได้บ้าง
ผี หมายถึง ก่อนตายใจเศร้าหมองด้วยความหลง บุญไม่พอไปอบาย บาปไม่พอขึ้นสวรรค์ จึงมาเป็น ผี ไม่มีฤทธ์แปลงกาย
ปีศาจ หมายถึง ก่อนตายใจเศร้าหมองด้วยความโกรธ บุญไม่พอไปอบาย บาปไม่พอขึ้นสวรรค์ จึงมาเป็น ปีศาจ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวที่สุด
ส่วนอสุรกาย หมายถึง ก่อนตายใจเศร้าหมอง และบาปเพียงพอไปอบายหนึ่งในสี่ โดยไปเกิดเป็น อสุรกาย (อบาย 4 ประกอบด้วย สัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน อสุรกาย)
ภูต, ภูตะ 1. สัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือเกิดเสร็จไปแล้ว, นัยหนึ่ง หมายถึงพระอรหันต์ เพราะไม่แสวงหาภพเป็นที่เกิดอีก อีก นัยหนึ่งหมายถึงสัตว์ที่เกิดเต็มตัวแล้ว เช่น คนคลอดจากครรภ์แล้ว ไก่ออกจากไข่แล้ว เป็นต้น ต่างกับ สัมภเวสี คือ สัตว์ผู้ยังแสวงหาที่เกิด ซึ่งได้แก่ปุถุชนและพระเสขะผู้ยังแสวงหาภพที่เกิดอีก หรือสัตว์ในครรภ์และในไข่ที่ยังอยู่ระหว่างจะเกิด 2. ผี, อมนุษย์ 3. ภูตรูป คือ ธาตุ ๔ มักเรียก มหาภูต
ความเห็นหัดฝัน
ดังนั้นจะเห็นว่า ภูติ มีความหมาย 2 นัย ความหมายแรก หมายถึง ผู้เกิดเสร็จแล้วที่ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป เช่น พระอรหันต์ ดังนั้น ฉายา ภูติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก จึงเข้ากับความหมายนัยนี้ครับ
ต่อมา ภูติ หมายถึง ผู้เกิดแล้ว ที่ยังต้องรอเวลาเกิดต่อไป ตรงนี้ ตามตำราหมายถึง มนุษย์ สัตว์ต่างๆ ที่เกิดแล้ว รวมภุมเทวา ผี เทวดาชั้นสูง อะไรต่างๆ ที่ยังไม่หมดอายุ ที่จะต้องไปเกิดใหม่
ส่วนคำว่า ภูติ ที่คนโบราณหมายถึง ใน ภูติ ผี ปัศาจ นั้น หมายความเอาเฉพาะ ภุมเทวา หรือ ผีตีนโรงตีนศาล (ไม่นับมนุษย์ สัตว์ต่างๆ เทวดาชั้นสูง) ซึ่งประกอบด้วย
ภูติ หมายถึง ก่อนตายใจเศร้าหมองด้วยความโลภ บุญไม่พอไปอบาย บาปไม่พอขึ้นสวรรค์ จึงมาเป็น ภูติ มีฤทธ์แปลงกายได้บ้าง
ผี หมายถึง ก่อนตายใจเศร้าหมองด้วยความหลง บุญไม่พอไปอบาย บาปไม่พอขึ้นสวรรค์ จึงมาเป็น ผี ไม่มีฤทธ์แปลงกาย
ปีศาจ หมายถึง ก่อนตายใจเศร้าหมองด้วยความโกรธ บุญไม่พอไปอบาย บาปไม่พอขึ้นสวรรค์ จึงมาเป็น ปีศาจ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวที่สุด
ส่วนอสุรกาย หมายถึง ก่อนตายใจเศร้าหมอง และบาปเพียงพอไปอบายหนึ่งในสี่ โดยไปเกิดเป็น อสุรกาย (อบาย 4 ประกอบด้วย สัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน อสุรกาย)
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#7
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 01:01 PM
ขอบคุณทุกคำตอบ
ขออนุโมทนาบุญพี่หัดฝัน ตอบได้ละเอียด และข้อมูลสามารถอ้างอิงได้ สาธุ สาธุ สาธุ
แต่ก่อน เคยได้ยินเรื่อง ภูติ ผี ปีศาจ บ่อย ๆ จากในนิยายบ้าง เช่น ภูติพิศวาส
จากเรื่องเล่าบ้าง เช่น ผีบอป และจากสมญานามคนเป็น ๆ บ้าง เช่น ผีพนัน , ปีศาจสุรา
แต่ไม่ทราบความหมายของคำเหล่านั้น
ที่เรียกว่า ปีศาจสุรา คงหมายถึงคนเมาเหล้า ทำอะไร น่าเกลียดที่สุด นี่เอง
คำว่าภูติที่แท้ความหมาย มาจากภูตะ คือผู้ที่เกิดแล้ว และไม่แสวงหาภพเกิดอีกเช่นพระอรหันต์
ทำให้เข้าใจ ในพุทธวจนะมากขึ้น คือพรหมภูติ ธรรมภูติ และ คำว่า ธรรมกาย นั้นคือความหมายเดียวกัน
ขออนุโมทนาบุญพี่หัดฝัน ตอบได้ละเอียด และข้อมูลสามารถอ้างอิงได้ สาธุ สาธุ สาธุ
แต่ก่อน เคยได้ยินเรื่อง ภูติ ผี ปีศาจ บ่อย ๆ จากในนิยายบ้าง เช่น ภูติพิศวาส
จากเรื่องเล่าบ้าง เช่น ผีบอป และจากสมญานามคนเป็น ๆ บ้าง เช่น ผีพนัน , ปีศาจสุรา
แต่ไม่ทราบความหมายของคำเหล่านั้น
ที่เรียกว่า ปีศาจสุรา คงหมายถึงคนเมาเหล้า ทำอะไร น่าเกลียดที่สุด นี่เอง
คำว่าภูติที่แท้ความหมาย มาจากภูตะ คือผู้ที่เกิดแล้ว และไม่แสวงหาภพเกิดอีกเช่นพระอรหันต์
ทำให้เข้าใจ ในพุทธวจนะมากขึ้น คือพรหมภูติ ธรรมภูติ และ คำว่า ธรรมกาย นั้นคือความหมายเดียวกัน
QUOTE
" คือผู้ที่เกิดแล้วไม่แสวงหาภพเกิดอีก"
หยุดคือตัวสำเร็จ
#8
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 02:22 PM
ได้ความรู้ดีครับ
----------------------------------------------------
----------------------------------------------------
![](http://www.freewebs.com/chariot072/Einhorn106.gif)
ภูเขาศิลาล้วนย่อมตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมฉันใด
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)
#9
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 09:52 PM
อนุโมทนาบุญครับ สาธุ สาธุ สาธุ
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#10
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 10:45 PM
แต่ละอย่างไม่เหมือนกันนะครับหลวงพ่อท่านก็กล่าวไว้ว่าต่างกัน
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี