ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

กฏแห่งกรรมสำหรับเทวบุตรมาร


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 21 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 เด็กดอย

เด็กดอย
  • Members
  • 23 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 09:18 AM

บุพกรรมอะไรที่ทำให้บุคคลต้องกลายเป็นเทวบุตรมาร เป็นไปได้หรือที่บุคคลที่มีมิฐฉาทิฐิแรงกล้าอย่างนั้น ยังสามารถไปจุติบนสวรรค์ชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดได้ด้วยหรือ หรือว่าท่านเคยทำบุญอะไรมาก่อน หรือเคยอธิฐานจิตมาอย่างไร อยากทราบประวัติของมารที่ไปขัดขวางในวันตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นความรู้ในการดำเนินชีวิตต่อไป เพื่อมีบางคนอุตริคิดอยากเกิดเป็นเทวบุตรมาร จะได้ไม่เดินทางผิดพลาด

#2 คนรักวัด

คนรักวัด
  • Members
  • 626 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 11:45 AM

พญามาร คงเป็นชื่อที่คุ้นหูกันบ้าง สำหรับใครที่เคยเรียนวิชาพุทธศาสนา ตอนมัธยม เวลามีพวกพุทธประวัติ ก็จะมีพญามารมาคอยประจัญขัดขวางต่างๆนานา และพญามารนี่เองที่มาอัญเชิญให้ปรินิพพาน ใช่ไหมครับ คุ้นๆกันใช่มั๊ย พวกเราคงจะคิดและสงสัยว่าพญามารนี่ใครกัน ทำไมมาทำอะไรแบบนี้ เป็นปีศาจหรือเปล่า เป็นผีที่ไหน เก่งแค่ไหน มีฤทธิ์มากแค่ไหนกัน..?

แท้ที่จริงแล้ว พญามาร เป็นเทวดาครับ และยังเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตสวัตตีหรือคือสวรรค์ชั้นที่ 6 ด้วย อ้าว.. ทำไมเป็นมารแล้วเป็นเทวดา และทำไมเทวดายังทำอะไรแบบนั้น ก็ขอบอกครับว่า สวรรค์ชั้นที่ 6 แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายเทพกับฝ่ายมาร อย่าเพิ่งคิดถึงการ์ตูนญี่ปุ่นหรือหนังจีนนะครับ มันไม่เหมือนกัน และพญามารท่านนี้คือเทวกษัตริย์ผู้ปกครองฝ่ายมาร นามว่า "ท้าวปรนิมมิตสวัตตีมาราธิราช"

พญามารท่านนี้ทำไมไปเป็นเทวดาผู้สูงศักดิ์ขนาดนั้น และเทวดาขั้นนั้นทำไมยังต้องมาขัดขวางพุทธเจ้า ทำไมถึงมาก่อกวนอะไรกับพุทธเจ้า ผมจะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้ สนุกมากครับ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

พญามารนั้น ก่อนที่จะมาเสวยชาติเกิดเป็นพญามาร ครั้งหนึ่งได้เกิดเป็นมนุษย์ และได้มีชีวิตอยู่ในสมัยพุทธกาลของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ (พระพุทธเจ้านั้นได้เคยบังเกิดขึ้นแล้วหลายพระองค์ ซึ่งต่างกับป์ต่างกัลย์กันมาก เรียกได้ว่า โลกมนุษย์เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง จะมีพุทธเจ้าเกิดขึ้น 1 พระองค์เท่านั้น) พญามารผู้นี้ได้เกิดเป็นมนุษย์มียามว่า โพธิ์อำมาตย์ เป็นถึงอัครเสนาบดีของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช ผู้ที่มีพระทัยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างมาก

วันหนึ่งทรงทราบว่า พระพุทธเจ้าได้เข้าฌานนิโรธสมาบัติ ซึ่งผู้ที่ได้ถวายทานเป็นคนแรกหลังจากพุทธเจ้าออกจากฌาน จะเป็นบุญมหาศาลยิ่งนัก ถึงขั้นขออะไรก็จะสำเร็จดังนั้นทุกประการทีเดียว(มีตัวอย่างมาแล้วในสมัยพุทธกาลที่ผ่านมา แต่ยังไม่เล่า) พระเจ้ากิงกิสสะจึงประกาศห้ามผู้ใดไปถวายทานก่อนพระองค์เป็นอันขาด ใครฝ่าฝืนจะประหารชีวิตในทันที

โพธิ์อำมาตย์ แม้จะทราบคำสั่งของเหนือหัว แต่ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะถวายทาน ถึงกับไม่กลัวตาย รุ่งขึ้นจึงได้ชวนภรรยาพร้อมด้วยเครื่องไทยทานรวม 2 ห่อ ตรงไปยังบริเวณต้นไทรใหญ่ที่พระพุทธเจ้าทรงเข้าฌานอยู่ ทหารรักษาการณ์เห็นดังนั้น จึงตรงเข้าขัดขวาง แต่โพธิ์อำมาตย์ได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะถวายทานให้ได้ ที่จริงจะบอกไปก็ได้ว่าเหนือหัวให้มาอาราธนาเข้าไปในวัง แต่ไม่ควรจะโกหกเช่นนั้น จึงได้บอกความจริงไปแม้จะต้องถูกประหารก็ไม่กลัว เช่นนั้นแล้วจึงได้ถูกทหารจับตัวไป เมื่อพระเจ้ากิงกิสสะได้ทราบข่าวว่าเสนาบดีของตนเองได้ละเมิดคำสั่งเสียเอง จึงพิโรธเป็นอันมาก จึงได้สั่งประหารทันที

ฝ่ายพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณว่าโพธิ์อำมาตย์ได้มีศรัทธาแรงกล้าจะถวายทาน แม้จะถูกประหารก็ไม่กลัว จึงทรงกรุณาแก่เสนาบดีมาก จึงเนรมิตพุทธนิมิตให้สถิตย์แทนพระองค์ แล้วไปปรากฎตัวแก่โพธิ์อำมาตย์โดยให้เห็นเฉพาะโพะอำมาตย์เท่านั้น แล้วได้กล่าวว่า
"ดูก่อนโพธ์อำมาตย์ ท่านทำถูกแล้วจงมีศรัทธามั่นเถิด อย่าอาลัยในชีวิต ไทยทานของท่านอยู่ที่ไหน จงถวายเราเถิด"
เสนาบดีผู้น่าสงสาร เมื่อได้ฟังคำตรัสของพุทธเจ้าแล้ว ได้เกิดความเลื่อมใสอย่างสุดใจ รีบนำเครื่องไทยทานของตนและภรรยามาถวายด้วยความศรัทธาอย่างที่สุด และได้ตั้งความปรารถนาแทบพระบาทเอาไว้ว่า
"ด้วยอำนาจแห่งผลทานครั้งนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพระองค์ได้เป็นพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคตกาลโน้นเถิด"
กัสสปะพุทธเจ้าได้ยกพระหัตย์ลูบศีรษะของโพธิ์อำมาตย์และได้กล่าวพยากรณ์ว่า
"ท่านปรารถนาสิ่งใด ขอสิ่งนั้นจงสำเร็จเถิด ท่านจะได้อุบัติเป็นพุทธเจ้าในอนาคตในอนาคตเบื้องหน้าโน้น"

หลังจากนั้น เสนาบดีก็ถูกประหารชีวิต แล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต และจุติจากดุสิตสวรรค์ลงมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎมาช้านาน จนล่าสุดได้ไปเกิดเป็นพญามารดังที่กล่าวไว้น่นเอง แต่เนื่องจากมีจิตริษยาในพระพุทธโคดม คือ พุทธเจ้าของเรา ที่มาตรัสรู้ก่อนตน จึงได้ตามเฝ้าประจัญขัดขวางต่างๆ แต่มิได้ล่วงเกินบาปหนักแต่ประการใด




ต่อมา หลังจากพระพุทธเจ้าของเราปรินิพพานได้ 200 ปีเศษๆ พระเจ้าธรรมาโศกราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป ทรงมีศรัทธาอุตสาหะ สร้างพระสถูปเจดีย์ถึงแปดหมื่นสี่พันองค์ เพื่อเป็นการบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และยังปรารถนาจะทำการฉลองใหญ่ มีกำหนดถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ให้สมกับความตั้งใจของพระองค์ที่มีมานาน และการฉลองใหญ่ครั้งนี้ พระองค์เกรงว่าจะถูกรบกวนจากพญามาร ผู้มีอิธิฤทธิ์สูงส่งนักและมีจิตริษยา พระเจ้าธรรมาโศกราชจึงได้อาราธนาภิกษุสงฆ์เพื่อให้ช่วยป้องกันภัยจากพญามารนี้ แต่เหล่าสงฆ์ทั้งหลายในสังฆมณฑลรู้ตัวดีว่าไม่อาจสู้ฤทธิ์ของพญามารนี้ได้ แต่มีภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งจำพุทธพยากรณ์ได้ว่า จะมีภิกษุสงฆืรูปหนึ่ง นามว่า อุปคุตเถระ จักปราบมารให้ละพยศ และจักปรารถนาพุทธภูมิ

กล่าวกันว่าอุปคุตเถระผู้นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียว ชอบแผลงฤทธิ์ลงไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ และเนรมิตปราสาทล้วนด้วยแก้ว 7 ประการ ประดิษฐานอยู่ในท้องมหาสมุทร นั่งเหนือรัตนบัลลังค์ เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุติสุขอยู่ลำพัง เป็นเวลาหลายวัน จนวันพุธเพ็ญกลางเดือน จึงออกจากสมาบัติ เหาะขึ้นมาบิณฑบาทบนโลกมนุษย์ครั้งหนึ่ง แล้วจึงกลับลงไปเข้าฌาน เป็นแบบนี้ตลอดเวลา

และในครั้งนี้นี่เอง พระอุปคุตเถระ ได้ถูกภิกษุ 2 รูป ผู้ได้อภิญญาชำแรกมหาสมุทรลงมาแจ้งโทษแก่ท่าน ว่าไม่มีสังฆกรรมร่วมกับสงฆ์ กลับมาหาความสบายแต่ผู้เดียว บัดนี้คำสังจากสงฆ์นำมาถึงท่าน ให้ท่านเป็นธุระป้องกันพญามาร อย่าให้ได้รบกวนงานฉลองของพระเจ้าธรรมาโศกราชได้ พระเถระน้อมรับคำสั่งโดยมิได้โต้แย้งใดๆ

วันเปิดงานมาถึง พระเจ้าธรรมาโศกราชได้เข้าสู่บริเวณงาน พร้อมด้วยคณะสงฆ์มากมาย ขณะนั้นนั่นเอง พญามารผู้มีใจริษยา อดใจไม่ไหว จึงลงมาจากปรนิมมิตสวัตตี บันดาลให้เกิดพายุใหญ่พัดกระหน่ำ หวังจะทำลายงานดับประทีปบูชาที่จุดสว่างสไว ฝ่ายพระอุปคุตเถระซึ่งได้คอยระวังอยู่แล้ว จึงบัดาลให้พายุนั้นอันตรธานหายไป

พญามารจึงได้โมโหโกรธายิ่งขึ้น และรู้ได้ด้วยฤทธิ์ว่าพระรูปนี้นั่นเอง ที่เป็นผู้ต่อกร จึงเปลี่ยนแผน แปลงร่างเป็นวัวกระทิงตัวใหญ่ยักษ์ เขาโง้งแหลมคมราวกับหอก วิ่งพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ หวังจะทำลายโรงพิธีให้แหลกไป พระเถระเห็นเช่นนั้น ก็ไม่รอช้า แปลงกายเป็นเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ ตรงเข้าตะลุมบอล ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ไม่นานนักวัวกระทิงก็โดนเสือตะปบไปนอนกองแทบจะตายแหล่ แต่ไม่นานมันก็เปลี่ยนร่างเป็นพญานาค 7 เศียร พ่นไฟใส่เสื่อโคร่ง หมายจะเอาชีวิต พระเถระเห็นว่าเสียเปรียบจึงแปลงกายเป็นพญาครุฑตัวใหญ่ โดดเข้าจิกหัวพญานาคลากกลิ้งไปอย่างไม่ปราณี เล่นเอาพญานาคร้องโอดโอยและได้เปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ใหญ่ นัยน์ตาดุดัน ถือกระบองยักษ์เท่าต้นตาล กวัดแกว่งทุบหัวพญาครุฑโดยไม่รั้งรอ พญาครุฑเห็นเช่นนั้น จึงเปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ที่ใหญ่กว่าถึง 2 เท่า ถือกระบองยักษ์ 2 อัน เหวี่ยงเข้าทุบศีรษะพญามารอย่างรุนแรง และรวดเร็วราวกับจักรผัน ยากที่พญามารจะป้องกันได้ ในที่สุดก็กลับร่างและยอมแพ้ไปในที่สุด

พระเถระเห็นดังนั้น ไม่รอช้า ได้เนรมิตร่างหมาเน่า กลิ่นเหม็นฟุ้งเต็มไปด้วยหนอน และดึงประคตจากเอวของท่าน ออกมาผูกร่างหมาเน่าและเหวี่ยงไปคล้องคอพญามาร พร้อมกล่าวว่า
"ไม่ว่าใครก็ตาม ย่อมไม่อาจเอาหมาเน่าออกจากคอพญามารนี้ได้"
จากนั้นก็ขับไล่พญามารให้ออกไปจากพื้นที่นั้น

พญามารผู้เลิศฤทธิ์ พอถูกหมาเน่าคล้องคอก็พาลหมดฤทธิ์เอา ไม่อาจทำอะไรได้ จะเอาออกเองก็มิได้ ได้แต่ไปวอนขอให้เพื่อนเทวดา ตั้งแต่เทวกษัตริย์สวรรค์ชั้นที่ 1 - 6 ให้ช่วยเอาออกให้ ก็ไม่มีใครเอาออกได้ ได้แต่แนะนำว่า ให้ไปขอขมากับพระเถระดีกว่า ให้ท่านช่วยแก้ให้ พญามารไม่มีทางเลือก ได้แต่จำใจกลับไปหาพระเถระ เพื่อขอขมาและบอกให้ท่านช่วยเอาออกให้ พระเถระยินดีเอาออกให้ แต่ก่อนอื่น อยากให้ตามมาทางนี้ก่อน พระเถระได้นำพญามารมายังภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วหยิบเอาหมาเน่าออกและโยนทิ้งไปในเหว พร้อมกันนั้น ก็เนรมิตประคตนั้นให้ยาวขึ้น และพันรอบตัวพญามารไว้กับภูเขา แล้วกล่าวว่า
"ท่านจงอยู่ที่นี่ จนกว่าพระเจ้าธรรมาโศกราชจะทำพิธีฉลองสถูปเจดีย์ครบ 7 ปี 7 เดือน 7 วันให้เสร็จสิ้นไปก่อน"
กล่าวจบก็เดินไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง

พญามารได้รับทุกขเวทนาอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน จนเมื่อครบกำหนด พระเถระได้กลับมาเพื่อจะปลดปล่อยพญามาร แต่ได้เดินมาแอบดูก่อน พญามารเป็นอย่างไรบ้าง พญามารเอง ก่อนเคยมีวิมาน มีสุข เมื่อมารับทุกขเวทนาเช่นนี้จึงละพยศในสันดาน และนึกถึงพุทธโคดมและกล่าวออกมาว่า
"เมื่อพระองค์สถิตย์ใต้ต้นมหาโพธิ์ ข้าพระองค์ขว้างจักราวุธอันคมกล้าไป หมายจะปลิดชีพพระองค์ แต่จักรนั้นกลับกลายเป็นดอกไม้บูชาพระองคื และไม่ว่าจะขว้างอาวุธอะไรไป ก็กลายเป็นดอกไม้ไปเสียหมด คราวนั้นข้าพ่ายแก่พระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้โต้ตอบอันใด บัดนี้สาวกของพระองค์มีจิตใจ***วมโหดทำร้ายข้า ทำให้ข้าพระองค์ได้รับทุกข์สาหัสเหลือเกิน"
คิดแล้วก็เศร้าโศกและโมโห เอาบาทกระทืบพื้นดังลั่น แต่แล้วก็หวนคิดถึงพุทธภูมิที่เคยตั้งใจไว้ที่แทบพระบาทกัสสปะพุทธเจ้า ในที่สุดพญามารก็สำนึกได้ จึงลดละความริษยา ตั้งใจอยู่ในคุณธรรม เพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลายในอนาคต

ครั้นกล่าวจบ พระเถระได้แสดงตนออกมา และแก้มัดให้กับพญามาร
"ดูก่อนพญามาร ขอท่านยกโทษให้ข้าด้วย แม้การกระทำของข้าครั้งนี้จะทำร้ายท่าน แต่ก็ทำให้ท่านระลึกถึงพุทธภูมิที่ท่านเคยตั้งใจปรารถนาไว้"
ต่อจากนั้น พระเถระได้ขอให้พญามารได้แปลงกายเป็นพุทธองค์ เพื่อจะได้เห็นพุทธานุสติบ้าง พญามารรับคำ แต่บอกว่า ห้ามลืมตัวกราบไหว้เด็ดขาด มิฉะนั้นตนจะบาปหนัก

ครั้นแล้ว พญามารก็เนรมิตตนเป็นพุทธเจ้า ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ และฉัพพรรณรังสีอันวิจิตร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้ายขวา แวดล้อมด้วยมหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวารเสด็จเยื้องย่างด้วยพุทธลีลางดงามยิ่งนัก

พระเถระและพุทธบริษัทเห็นเช่นนั้น ก็เกิดความปิติอย่างสูงยิ่ง เกิดปิติลืมตัวพร้อมกันนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์ทั้งสิ้น ทำให้พญามารตกใจกลับร่างเดิม
"ทำไมท่านลืมสัญญามากราบไหว้ข่าเล่า"
"พวกเรามิได้ไหว้ท่านหรอก เพียงแต่กราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าและพระสาวกตางหาก"
"แต่ข้าก็บาปนะท่าน"
"ไม่บาปหรอก ท่านได้ทำกุศลแก่พวกเราตางหาก"

จากนั้น พญามารก็กลับคืนสู่สวรรค์ และตั้งแต่นั้นมา พญามารก็มีจิตเลื่อมใสในพุทธศาสนามาตลอด และบำเพ็ญตนเพื่อจะได้มาตรัสรู้เป็นพุทธเจ้าในอนาคตต่อไป... พญามารจะมาบังเกิดเป็นพุทธเจ้ามีพระนามว่า "พระพุทธธรรมสามี" เป็นพุทธเจ้าองค์เดียวในกัลป์นั้น ต่อไปในอนาคตอันไกลโพ้น

ไฟล์แนบ


อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ

เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก

Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain

#3 somchet

somchet
  • Members
  • 900 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 12:39 PM

เวลาหลวงพ่อ นำกล่าว ขอขมาพระรัตนตรัย ก่อนบูชาเข้าพระ มีคำว่า "....เมื่ออกุศลเข้าสิงจิต...." เป็นการบอกว่า ใครๆก็มีโอกาสถูกกิเลสเข้าครอบงำได้ทั้งนั้นครับ แม้แต่ตัวเรา

ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท ในการดำเนินชีวิต

#4 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 12:40 PM

เยี่ยมเลย ผมเพิ่งทราบประวัติของท่าน(ตอนนี้ท่านไม่ได้ถูกมารครอบงำแล้ว ก็เท่ากับเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง) สมัยพระกัสสัปปสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คราวนี้เอง สาธุด้วยครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#5 พักผ่อน

พักผ่อน
  • Members
  • 422 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 02:03 PM

ผมคิดว่าไม่ใช่เพราะเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างแรงกล้าครับ น่าจะเป็นเพราะมักทนเห็นใครดีกว่าตนไม่ได้มากกว่า แต่ตัวเองก็สร้างบุญมามาก เลยแทนที่จะเสวยสุขอย่างเดียว กลับต้องมาคอยเดือดเนื้อร้อนใจทุกครั้งที่เห็นใครได้ดี ต้องวุ่นวายมาขัดขวาง

#6 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 03:21 PM

คุณคนรักวัดความรู้แน่นเลย
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#7 หยุดอะตอมใจ

หยุดอะตอมใจ
  • Members
  • 729 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 03:43 PM

เมื่อใดที่เราเห็นใครอยากทำบุญ แล้วอยากจะไปขัดขวางทางบุญของเขา เช่น เขาอยากจะไปถวายสังฆทาน แล้วเราอยากไปปล่อยยางรถเขาแล้ว นี่แหละเราได้ถูกอกุศลเข้าสิงจิต

เราได้กลายเป็นเทวบุตรมารไปแล้ว

แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง


#8 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 03:50 PM

คุณหยุดอะตอมใจ กล่าวหนักไปแล้ว เขาเรียกว่า มนุษยมาร ต่างหากครับ smile.gif

ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#9 หยุดอะตอมใจ

หยุดอะตอมใจ
  • Members
  • 729 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 04:00 PM

พี่หัดฝันครับ ผมเอามาจากพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโวน่ะครับ

QUOTE
เทวบุตรมาร มารฝูงนี้ร้ายกาจนัก มีภพที่อยู่โดยเฉพาะ ชอบทำความเดือดร้อนแก่มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มารพวกนี้เห็นใครทำความดีแล้วทนไม่ได้ ต้องหาทางขัดขวาง กลั่นแกล้ง ทำร้าย เพราะแสลงต่อความดี พวกนี้มีตัวตนให้เห็นเป็นตัวๆ เลยนะ ในบางภาวะออกมายืนต่อหน้าให้เราเห็นได้ มีทั้งหัวหน้าและลูกน้องเป็นฝูงๆ แต่อย่างพวกเราน่ะ ระดับหัวหน้ามันไม่มาให้เห็นหรอก อย่างดีมันใช้ให้ชนิดหางแถวมารบกวนแทน เช่น ส่งขี้เมามาเอะอะด่าทอข้างบ้านขณะทำบุญตักบาตร ส่งสุนัขมากัดกันขณะนั่งสมาธิ ฯลฯ


ผมเลยคิดว่า ถ้าใครโดนอกุศลเข้าสิงจิต เป็นบ่าวเป็นทาสของพญามารแล้ว ก็พึงเรียกว่าเป็นเทวบุตรมารได้เ่ช่นเดียวกัน ผมเข้าใจผิดไปหรือไม่ครับ ช่วยขี้แจงด้วยครับ แล้วมนุษย์มาร แตกต่างจากเทวบุตรมารอย่างไรครับ

แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง


#10 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 04:38 PM

อ๋อ แซวเฉยๆ น่ะครับ ลองสังเกตดูหลวงพ่อท่านพูดรวมๆ หมายถึงว่า คนธรรมดา ถ้าถูกอกุศลเข้าสิงจิต ก็ประพฤติตนเป็นมาร ผู้ขัดขวางความดีผู้อื่น เหมือนดังเช่น เทวบุตรมาร

ทีนี้ เทวดา เมื่อประพฤติตนเป็นมาร ก็เลยถูกเรียกว่า เทวบุตรมาร
ส่วนมนุษย์ ถ้าประพฤติตนเป็นมาร ผมก็เลยตั้งชื่อใหม่ว่า มนุษยมาร เท่านั้นเองแหละครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#11 somch

somch
  • Members
  • 249 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 10:47 PM

สนุกดีครับ ได้ความรู้ด้วย
ขอบคุณทุกท่าน ที่นำมาเล่าสู่กันฟัง สาธุ

#12 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 11:31 PM

" ท้าวปรนิมมิตสวัตตี "
ตามทัศนะของผม ท่านไม่ใช่พญามาร นะครับ
ที่เรียกกันไปว่า เป็น
มาร
นั้น คงหมายเอาความว่า
เป็นผู้ขวางการทำความดี
กระมังครับ จึงใช้คำอย่างนั้น

ผมจำได้ลาง ๆบ้างว่า คุณครูเคยกล่าวไว้ใน dmc
ถ้าผมจำรายละเอียดคลาดเคลื่อน
ขอความเมตตา กรุณา ทักท้วงและให้ข้อมูลแท้จริงด้วยนะครับ สาธุ

ว่า
ช่วงนั้น ท้าวปรนิมมิตสวัตตี เสวยทิพย์สมบัติ มานานโขแล้ว
เมื่อบุญหย่อนลง + ความประมาทในการเสวย น้ำจันฑ์ทิพย์ ( น้ำเมา )
จึงทำให้ พญามาร ตัวจริงได้ช่อง ได้โอกาส บังคับเห็น จำ คิด รู้
ให้มีความเห็นผิด คิดริษยาพระบรมโพธิสัตว์ ที่จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

จึงได้อุกอาจกระทำการ ขวางการทำความดี ของพระบรมโพธิสัตว์ดังกล่าว

อีกทั้งท้าวปรนิมมิตสวัตตี ก็เป็นพระนิยตโพธิสัตว์ ที่เที่ยงแท้แน่นอน
ได้รับพุทธพยากรณ์จาก พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า


QUOTE
ท่านจะได้อุบัติเป็นพุทธเจ้าในอนาคตในอนาคตเบื้องหน้าโน้น


จึงไม่ควรจะเรียก พระบรมนิยตโพธิสัตว์ ว่า เป็นพญามาร นะครับ
เพราะ
พระโพธิสัตว์ มีอัธยาศัย สั่งสมบุญบารมี มุ่งรื้อขนสรรพสัตว์ ให้บรรลุมรรค ผล นิพพาน
จัดเป็น ธรรมขาว

ส่วน พญามาร มีอัธยาศัย ขวางการทำความดี ล้างผลาญความดี
จัดเป็น ธรรมดำ

สีขาว ไม่เหมือน สีดำ
จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้คำที่ไม่เหมาะสม กับพระบรมนิตยโพธิสัตว์ นะครับ

**** ข้อคิด

เมื่อศึกษาพุระไตรปิฎกและ dmc channel จะเห็นได้ว่า
ทุกชีวิต ที่ยังอยู่ในสังสารวัฎ ล้วนถูกขังในกามภพ รูปภพ อรูปภพ
จึงไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต และการสั่งสมบุญบารมี


จะว่าไป ทั้งกายมนุษย์ กายทิพย์ แม้แต่กายพรหม
ก็ยังอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา เป็นบ่าว เป็นทาสของพญามาร ( ตัวจริง )

กายที่ยังอยู่ในไตรภพ จึงเป็นเหมือน
หุ่น ที่อยู่ในโรงละคร โรงใหญ่


จึงมีคำว่า โลก ( โลก 3 ) คือ ละคร
ชีวิตของปวงสัตว์ ดุจอาศัยใน โลกละคร หรือ โลกมายา
ให้บุญและบาป ทำการเชิด ไปมา
แม้พระบรมนิยตโพธิสัตว์ทั้งหลาย สั่งสมบุญบารมีเต็มเปี่ยม
ก็ยังอาจถูก ( พญามาร ตัวจริง ) กลั่นแกล้งได้

จึงมีคำว่า วิบากมาร ไงครับ
คือ แกล้งด้วยวิบากกรรม ในอาณัติกฎแห่งกรรม ไม่ได้
ก็แกล้งด้วยวิบากมาร


ตามประสา
พาล หรือ มารผู้ขวางการทำความดี
นั่นแหละครับ

ป.ล. *****
หากความเข้าใจและความเห็นส่วนตัว ใดๆ ของผมผิดพลาด
ก็ขอความกรุณาทักท้วง ตักเตือน แนะนำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยนะครับ


ป.ล. 2
ส่วนน้ำจันฑ์ ในความหมายของพราหมณ์ หมายถึง
น้ำที่ทำผู้ดื่มให้ไม่ตาย หมายน้ำอมฤต หรือน้ำสุรามฤต

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  01.jpg   71.69K   13 ดาวน์โหลด

ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#13 คนรักวัด

คนรักวัด
  • Members
  • 626 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 01:07 AM

ถาม – มารที่เป็นเทวดามีจริงหรือ?

ศาสนาพุทธจะไม่ยอมรับการปรากฏขึ้นเองลอยๆของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นถ้าเชื่อว่ามีเทวดา ต้องบอกได้ว่าทำกรรมอันใดจึงสมควรได้เป็นเทวดา ถ้าเชื่อว่ามีมาร ต้องสืบได้ว่ามีเหตุคือการคิด การพูด การทำชนิดใดจึงเป็นมาร

กล่าวโดยกว้างที่สุดตามความเข้าใจแบบชาวบ้าน มารหมายถึงตัวขัดขวางไม่ให้ใครประสบสุข ประสบความเจริญ หรือประสบความสำเร็จประโยชน์

ตัวอย่างที่ใช้กันในชีวิตประจำวันมักหมายถึงมารขวางความรัก ประเภทหมูจะหามเอาคานมาสอด หรือกำลังจะแต่งงานดันมีมือที่สามยื่นเข้ามาแทรกให้ต้องแตกหักกันเสียก่อน อะไรทำนองนั้น นั่นก็ถูกความหมายตามพจนานุกรมชาวบ้าน ที่ว่ามารคือผู้เป็นอุปสรรคขัดขวาง เราอยากได้อะไรแล้วมีใครมาขวาง ใจก็นึกเห็นเขาเป็นมารได้หมด

อย่างไรก็ตาม บางกรณีใจเราคิดว่าเขาเป็นมาร แต่โดยพฤติกรรมหรือเจตนาที่แท้จริงของเขาอาจไม่ใช่มารก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นคุณกำลังจะไปทำบุญ แต่เผอิญถึงเวลาเจ้าหนี้มาทวง พอเห็นเขาปรากฏตัวที่หน้าประตูรั้วถึงกับเผลออุทานว่าแย่จริง! จะทำบุญเสียหน่อยเจอมารมาขวาง มาทำให้เสียเส้นซะแล้ว อันนี้ไม่ได้ เพราะเขาเจตนามาทำหน้าที่ทวงหนี้ที่เราก่อไว้ ไม่ได้จงใจมาขัดขวางงานบุญของเราแต่อย่างใด แต่หากเขารู้ล่วงหน้าว่าคุณจะทำบุญแล้วเจตนามาขัดแข้งขัดขาไม่ให้ออกเดินทางก็ว่าไปอย่าง นั่นถึงจะเรียกมารขนานแท้

อีกประการหนึ่ง สำหรับความเป็นมารนั้น อย่าเข้าใจว่าใครจะเอาป้าย ‘มาร’ มาแขวนคอกันโก้ๆนะครับ ไม่มีใครอยากยอมรับหรอกว่าตนเป็นมาร ทุกคนย่อมเข้าข้างตัวเองว่าตนเป็นฝ่ายถูก ฝ่ายดี หรือฝ่ายพระเอก ฉะนั้นสิ่งเดียวที่จะชี้ชัดความเป็นมารได้คือ ‘กรรม’ การจงใจขัดขวางความดีหรือบั่นทอนกำลังใจผู้อื่นไม่ให้เข้าถึงปลายทางอันประเสริฐนั่นแหละ คือสิ่งที่ทำให้บุคคลเป็นมารขึ้นมา

มารที่เป็นเทวดาก็เหมือนกัน พวกเขาไม่ได้ปักป้ายไว้ว่านี่เขตหมู่บ้านมารเหมือนที่เห็นในหนังจีน อย่างไรก็ตาม สวรรค์มีการแบ่งเขตตามกรรมเก่า ใครทำอย่างไรก็มาเข้าพวกอย่างนั้น ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยมนุษย์ที่ขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์ได้จะต้องมีหลักความเชื่อและแนวทางการใช้ชีวิตในแบบของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง มารประจำศาสนาก็เป็นคนในศาสนานั่นเอง เสียแต่ว่าเขามีเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้หลงผิดไปขัดขวางหรือเตะถ่วงไม่ให้คนบรรลุถึงจุดหมายสูงสุดของศาสนานั้นๆโดยง่าย

พระพุทธเจ้าตรัสว่าสำหรับพุทธศาสนาของพระองค์นั้น สาระแก่นสารอยู่ที่ความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง คือดับกิเลสแบบไม่มีทางกลับกำเริบได้อีก พูดง่ายๆว่าของเราตั้งเป้าให้คนเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ มีจิตบริสุทธิ์ เป็นอิสระไร้ตัณหาขนาบข้าง ฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่ขวางทางไม่ให้บุคคลได้เป็นพระอรหันต์ สิ่งนั้นนับเป็นมารได้หมด

มารประจำพุทธศาสนาแบ่งแยกเป็นประเภทต่างๆดังต่อไปนี้ครับ

๑) กิเลสมาร คือกิเลสของเราเอง คงเคยคิดกันมาบ้างว่าตัวคุณเหมือนมีคนสองคนรบกันอยู่ ฝ่ายหนึ่งอยากแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้พ้นทุกข์ อีกฝ่ายขี้เกียจหรือยังดื้อดึงหวงแหนต้นตอทุกข์เอาไว้ เช่นเห็นๆอยู่ว่าเป็นชู้แล้วจะร้อนใจ เล่นพนันแล้วจะหมดตัว แต่จนแล้วจนรอดก็อดไม่ได้สักที สรุปคือตัวเราในภาคที่ใฝ่ต่ำนั่นแหละ คือมารที่ติดตามตัวไปทุกฝีก้าว ว่าไปแล้วมารประเภทนี้น่ากลัวเหนือมารชนิดอื่นใด เพราะมันติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ แถมคนเราก็มักไม่รู้ตัว เพราะเอาแต่ตั้งท่าระวังมารแบบอื่น ไม่ได้ตั้งท่าระวังมารซึ่งเป็นอีกภาคหนึ่งของตัวเองเอาไว้

กิเลสมารนี่ดักทางไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางเลยทีเดียว กะแค่งดเว้นความประพฤติมิชอบยังสละไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปคิดถึงการสละความหลงผิดระดับละเอียดกัน พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายมืดมนอยู่ด้วยกาม ถูกปกคลุมอยู่ด้วยตาข่ายคือตัณหา ถูกปกปิดด้วยเครื่องมุงคือตัณหา ถูกกิเลสมารและเทวปุตตมารผูกพันไว้แล้ว ต่างจึงต้องมุ่งไปสู่ชราและมรณะ เหมือนปลาที่ปากไซ เหมือนลูกโคที่ยังตามดื่มนมจากแม่โคไปเรื่อย (จากคำตรัสตรงนี้ ยืนยันให้เห็นว่ามารที่เป็นกิเลสในตัวเราก็ส่วนหนึ่ง มารที่เป็นเทวดานอกตัวเราก็อีกส่วนหนึ่ง แสดงแล้วว่าพระศาสดาท่านรับรองการมีอยู่ของมารที่เป็นเทวดา)

แง่สังเกตสำคัญในข้อนี้ที่อยากชี้ให้เห็น คือพวกเราทุกคนถูกกิเลสปกปิดความจริงอันประเสริฐสูงสุดไว้ ถูกกล่อมประสาทให้อาลัยอาวรณ์ ยึดติดอยู่กับสิ่งที่ไม่ควรยึดติดไว้ ดังนั้นเมื่อถูกสะกิดให้รู้ตัวแล้ว ก็อาจสะดุ้งตื่น และเพียรพยายามหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสมารกันต่อไป แต่หากไม่รู้ตัว ก็ย่อมพึงใจที่จะอาลัยอาวรณ์เรื่อยเปื่อย นึกว่าอะไรๆก็ควรยึดมั่นถือมั่นไว้กับตัว หวังความทนอยู่เที่ยงแท้ถาวรของตัวตนหรือสมบัติพัสถานอันเป็นที่รักไปทั้งนั้น

อีกแง่สังเกตหนึ่งเมื่อรู้จักกิเลสมาร คือเราจะไม่เห็นว่าเพศตรงข้าม เงินทอง บ้านเรือน รถยนต์ โรงหนัง เรือยอร์ช ฯลฯ เป็นมารขัดขวางทางไปสวรรค์นิพพาน แต่จะเห็นเพียงว่าสิ่งเหล่านั้นคือเครื่องล่อให้มารทำงาน ต่อไปจะโทษอะไรก็จะได้โทษตัวเองที่เป็นภาคมารก่อนโทษข้าวของไร้ชีวิตภายนอก

๒) ขันธมาร คือกายใจของเราเอง อย่างที่กล่าวไว้ว่าพุทธศาสนาเรามุ่งเอานิพพานเป็นที่สุด สิ่งใดขวางไม่ให้เห็นนิพพาน สิ่งใดหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ให้ถึงนิพพาน สิ่งนั้นจัดเป็นมาร ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสไว้ว่ากายใจนี้แหละคือมารชนิดหนึ่ง เพราะสัมผัสทางกายใจเป็นรากฐานของความอาลัย ไม่ชวนให้เกิดความยินดีในนิพพาน

พระองค์ท่านตรัสสอนภิกษุสาวกให้พิจารณาว่ากายนี้ก็ดี สุขทุกข์ก็ดี ความหมายรู้หมายจำก็ดี เจตนาดีชั่วก็ดี ความรับรู้ต่างๆก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นมาร เพราะเมื่อสิ่งเหล่านี้มี จึงมีความตาย จึงมีโรค จึงมีภัยประการต่างๆ สรุปคือสิ่งเหล่านี้เป็นตัวทุกข์โดยตรง หากเห็นเช่นนี้ได้ ก็จัดเป็นความเห็นชอบทางพุทธศาสนาขั้นสูง

หากคุณกำลังสงสัยว่าจะเห็นชอบเช่นนี้ไปทำไม พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสตอบว่าประโยชน์ของความเห็นชอบทำให้แหนงหน่ายความมีความเป็น และเมื่อแหนงหน่ายก็ย่อมคลายความกำหนัดยินดีในกายใจนี้ เมื่อคลายความกำหนัดยินดีย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นย่อมเข้าถึงนิพพาน นิพพานนั่นเองเป็นที่สุดของประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อื่นใดเหนือกว่านี้อีก เพราะบุคคลย่อมดับทุกข์ดับโศกอย่างถาวรเมื่อปราศจากกายใจ ตราบใดมีกายใจก็ยังมีเครื่องล่อไม่ให้รู้จัก ไม่ให้อยากฝันถึงนิพพานไปเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งสับสนนะครับ อย่านึกว่าเจริญล่ะ ถ้ากายใจเป็นมารก็คว้ามีดมาแทงตัวให้ตายไม่เหมาะหรือ? ในความเห็นชอบขั้นต้นเราต้องมองว่ากายใจมนุษย์นี้เป็นบันไดกุศล เปิดโอกาสให้เราบำเพ็ญบารมีจนดีพอจะเข้าถึงพระนิพพานได้ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านทำนิพพานให้แจ้งแล้ว กายใจก็ไม่เป็นมารอีกต่อไป และท่านก็ยังคงใช้กายใจนี้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสัตว์โลกต่อไป ไม่ทำลายทิ้งเสียก่อนกาลอันควรเลย

๓) อภิสังขารมาร คือบาป บุญ และฌาน ที่สิ่งเหล่านี้ถือเป็นมารได้ก็เพราะบาปเป็นตัวก่อภพที่น่าสะพรึงกลัว บุญเป็นตัวก่อภพดีๆที่น่าติดใจไม่เลิก ส่วนฌานเป็นตัวก่อภพที่ประณีตสูงส่งเหนือกามารมณ์ ถึงแม้ดีวิเศษอย่างไร ภพก็คือภพ เมื่อมีได้ก็ต้องเสียได้ เมื่อตั้งอยู่ย่อมแปรปรวนไป เมื่อแปรปรวนไปย่อมต้องจากพราก ย่อมต้องพ้นจากสภาพนั้นๆในวันหนึ่ง บันดาลความเศร้าโศกอาลัย ความคร่ำครวญเสียดาย วนไปเวียนมาไม่รู้จบรู้สิ้น

พระพุทธเจ้าส่งเสริมให้ทำดีมากๆ คือรู้ว่ายังไม่มีดีข้อไหนก็ทำให้มีเสีย รู้ว่ามีดีข้อไหนแล้วก็เพิ่มให้ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ความดีอันเป็นที่สุดคือไม่สำคัญว่าความดีเป็นเป้าหมายสูงสุด เป้าหมายสูงสุดของพุทธคือข้ามพ้นจากภาวะน่ายินดีติดใจทั้งปวง

มีความจริงระดับยอดอยู่ประการหนึ่งที่ชวนฉงน นั่นคือเมื่อพระอรหันต์ท่านสว่างแจ้งแทงตลอดแล้ว แม้ท่านจะแสนดี เมตตากรุณาต่อชาวโลกเพียงใด อาการทางใจของท่านก็จะสักแต่เป็นกิริยา ไม่เป็นบุญแบบก่อภพก่อชาติ อันนี้อย่าไปเลียนแบบท่านนะครับ บางคนอยากลัดขั้นเป็นอรหันต์ดิบ ไม่ต้องทำบุญ ไม่อยากให้ใจเป็นบุญ ความจริงพวกเราต้องเกาะบุญไว้ เหมือนตราบใดไม่ถึงฝั่งก็ต้องพึ่งเรือไปเรื่อยๆ จนกว่าจะประชิดฝั่งจริงๆถึงค่อยเห็นเรือเป็นมารที่สมควรทอดทิ้งไว้ เพราะถ้าขืนยังอาลัยก็ไม่ได้ขึ้นฝั่งเท่านั้น

๔) มัจจุมาร คือความตาย ที่ความตายถูกจัดให้เป็นมารก็เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่คนเราส่วนใหญ่จะตายเสียก่อนรู้จักหนทางหลุดพ้น หรือรู้จักหนทางหลุดพ้นแล้วก็ตายเสียก่อนจะบำเพ็ญเพียรจนหลุดพ้นได้สำเร็จจริง ในครั้งพุทธกาลมีภิกษุจำนวนมาก บำเพ็ญเพียรเต็มกำลัง แต่ยังไม่ทันสำเร็จอรหัตตผลก็หมดอายุเสียก่อน และแม้ในยุคเราก็มีพระป่าจำนวนหนึ่ง เอาชีวิตของพวกท่านไปทิ้งในป่ากันเงียบๆ โดยยังไม่ทันบรรลุผลอันเป็นที่สุดกัน

พระอรหันต์เป็นบุคคลประเภทเดียวที่ละมัจจุมารเสียได้ กล่าวคือเมื่อหมดกิเลส จิตก็ลอยบุญ ลอยบาป อยู่เหนือธรรมชาติปรุงแต่งให้เกิดภพใหม่ แม้เราจะเห็นด้วยตาเปล่าว่าร่างกายพวกท่านทอดนอนเหมือนขอนไม้ยามสิ้นลม นั่นก็ไม่จัดเป็นมัจจุมาร เพราะความตายขัดขวางการเข้าถึงนิพพานของพวกท่านไม่ได้อีกแล้ว พวกท่านถึงนิพพานเสียก่อนที่มัจจุราชจะมาตัดหน้าชิงตัวไปเกิดในภพใหม่แล้ว

๕) เทวปุตตมาร คือเทวดาพวกที่มีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือเห็นใครอยากไปนิพพานเป็นไม่ได้ ต้องทุรนทุราย อยากเข้าไปขัดขวาง หรือเมื่อเห็นใครเป็นพระอรหันต์และอาจนำหมู่ชนจำนวนมากให้สำเร็จมรรคผลนิพพานตามได้ ก็จะบังเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ อยากให้พวกท่านล้มหายตายจาก ตามหลักฐานในคัมภีร์ บางทีก็เล่นงานกันตรงๆแบบถึงเนื้อถึงตัว หรือเมื่อเล่นงานแบบถึงเนื้อถึงตัวไม่ได้ ก็จะใช้วิธีขอให้รีบลาไปนิพพานดื้อๆ อย่างเช่นที่มารไปทูลขอพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธศาสนาตั้งมั่นแล้ว หมดกิจของพระองค์ท่านแล้ว จึงควรกำหนดปลงอายุเพื่อดับขันธปรินิพพานเสียเถิด

ปัจจุบันมักมีนักวิชาการมองว่าเทวปุตตมารกับกิเลสมารคืออันเดียวกัน ความจริงคือเป็นคนละอย่างกัน เช่นที่พระพุทธเจ้าท่านหมดกิเลสแล้ว ย่อมไม่ถูกกิเลสมารมารบกวนเป็นแน่ และอีกประการคือท่านตรัสชัดว่าหมู่ชนถูกพันธนาการไว้ด้วยกิเลสมารและเทวปุตตมาร ถ้าเป็นอันเดียวกันก็คงไม่มีคำว่า ‘และ’ มาเป็นตัวแบ่งแยก

เดี๋ยวฉบับหน้าผมจะแสดงให้เห็นถึงกรรมอันนำไปสู่ภาวะความเป็นมาร ศึกษาความรู้เกี่ยวกับกรรมวิบากด้านนี้ไว้ก็ดีครับ เนื่องจากคนเราไม่ค่อยรู้ตัวกันว่าเพาะเชื้อความเป็นมารกันไว้คนละมากน้อยเพียงใด เมื่อรู้ก็จะได้ระมัดระวังไม่ถลำเข้าไป หรือถลำแล้วก็จะได้ถอนตัวทัน เพราะที่มีปรากฏแสดงไว้ในคัมภีร์คือหมดภาวะมารเมื่อไหร่ก็เข้าถึงมหานรกเมื่อนั้น


ถาม – กรรมอะไรทำให้เทวดาเป็นมาร สงสัยว่าทำไมขวางทางคนอื่นเป็นอาชีพแล้วยังได้เป็นเทวดาอยู่อีก?

ข้อที่อยากให้ทุกท่านได้สังเกตก่อนอื่นใด ก็คือบุญนั้นไม่ได้พามาแต่ความรู้สึกด้านดีประการเดียว แต่มักพ่วงพาเอาความถือตัว เห็นตนเองวิเศษสูงส่งเหนือใครๆมาด้วย แล้วที่สุดก็ลงเอยด้วยความประมาท ฉันเป็นพระเอกแล้ว มีบุญกองภูเขาแล้ว ยิ่งใหญ่เหนือความผิดทั้งปวงแล้ว ดูเบาบาปผิดเล็กๆน้อยๆ สำคัญว่าไม่เป็นไร ทำไปไม่มีทางร่วงหล่นสู่นรกขุมไหนๆอีกแล้ว ลองถามตัวเองเถิด ถ้าหากทำบุญมากๆแบบครบวงจรแล้วความคิดข้างต้นแวบๆวาบๆขึ้นมาบ้างหรือเปล่า ถ้าเคยก็ขอให้สังวรระวังเถิด เพราะนี่แหละเชื้อที่ทำให้คุณมีสิทธิ์สอบติดเป็นมารตนหนึ่ง!

ความประมาทนั้น เป็นอาวุธชิ้นสุดท้ายที่ธรรมชาติจะดึงคนดีให้ตกต่ำ ยิ่งบุญมากขึ้นเท่าไหร่ เครื่องล่อให้ประมาทก็จะยิ่งใหญ่เป็นเงาตามตัวมากขึ้นเท่านั้น จึงไม่แปลกถ้าใครรู้สึกว่าตนเองและพรรคพวกสูงส่งเหนือมนุษย์ ก็มีแนวโน้มจะดูถูกดูแคลนผู้คน อยากให้ใครๆตกอยู่ใต้อำนาจตน และไม่อยากให้ใครได้ดีเกินตน

อันที่จริงอัตตามานะอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ใครเป็นมารขึ้นมาหรอก สิ่งที่ทำให้คนๆหนึ่งหรือเทวดาตนหนึ่งกลายเป็นมารอย่างสมบูรณ์แบบคือการตั้งความเชื่อไว้ผิด ชนิดที่นำไปสู่การก่อกรรมขัดขวางความเจริญ หรือห้ามความสำเร็จอันเป็นประโยชน์สุขของผู้อื่น

นี่ไม่ใช่การตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกันในลักษณะฝ่ายค้านทางการเมือง เพราะฝ่ายค้านเป็นฝ่ายค้านก็เพราะเลือกตั้งแพ้ จึงต้องตั้งข้อแม้ต่างๆนานาให้ดูเป็นตรงข้ามกับรัฐบาลเข้าไว้ ใจจริงๆอาจมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือตัดคะแนนรัฐบาลแบบคู่แข่งชิงชัยกันเท่านั้น ไม่ได้มีใครถูกแท้หรือผิดถาวรแบบพระเอกกับผู้ร้ายเสมอไป วันดีคืนดีอาจส่งเสริมรัฐบาลได้ถ้าภาพลักษณ์ออกมาเป็นบวกแก่ตน

สำหรับมารของจริงจะไม่เป็นฝ่ายค้าน แต่ตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามในลักษณะผู้ก่อการร้ายอย่างโจ๋งครึ่มเลยทีเดียว คือทำทุกวิถีทางไม่จำกัดรูปแบบ ไม่ว่าบั่นทอนกำลังใจ ข่มขู่คุกคามขวัญ ดลใจให้อยากประพฤติผิด บังใจให้ลืมสิ่งที่ควรทำ ตลอดจนกระทั่งทำลายล้างกันตรงๆด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ขอเพียงขัดขวางไม่ให้ใครบรรลุเป้าหมายสูงสุดของศาสนาได้เป็นพอ ถ้ายังไม่คลุกวงในหรือคร่ำหวอดกับการศาสนาจริงจัง คุณจะยังไม่รู้จักหรือนึกไม่ถึงว่ามีรูปแบบการขัดขวางที่พิสดารได้ปานนั้น

ถ้ายังแปลกใจว่าทำไมเทวดายังคิดพิเรนได้ ก็ขอให้พิจารณาจากความจริงบนโลกนี้ที่เห็นๆกัน เช่นแต่ละศาสนาจะมีคนดีๆที่ไม่เห็นด้วย อาจต่อต้าน หรือกระทั่งทำลายล้างกันอยู่จริง เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากเขาจะติดนิสัยเช่นนั้นไปยังภพอื่นภูมิอื่น ในมนุษยโลกมีพฤติกรรมแบบใดได้ บนเทวโลกและพรหมโลกก็มีพฤติกรรมแบบนั้นได้เช่นกัน เพราะมนุษย์ย่อมจากโลกนี้ไปสู่ภาวะที่สอดคล้องกับนิสัยเดิม ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือนรก!

ใครดื้อ ใครไร้เหตุผล ใครใช้อารมณ์จนขาดสามัญสำนึกไปตลอดชีวิต ก็ย่อมละโลกนี้เพื่อไปสู่ความเป็นเช่นนั้นอย่างยืดยาวหาที่จบยาก เนื่องจากภูมิมนุษย์นั้นธรรมชาติให้ไว้เป็นโอกาสเลือกเส้นทางของตัวเอง จะกระทำตัวตนแบบหนึ่งๆให้เข้มข้นถึงที่สุดก็ได้ หรือปรับเปลี่ยนรื้อถอนตัวตนแบบหนึ่งๆด้วยการแลกชีวิตทั้งชีวิตก็ได้ ส่วนภพภูมิอื่นๆ โดยเฉพาะที่โตเลยโดยไม่ต้องเรียนรู้ ไม่ผ่านการขัดเกลา ไม่มีตัวเลือกให้ตัดสินใจเป็นอื่นนั้น ย่อมปักใจอยู่กับสิ่งที่วิบากกรรมหยิบยื่นมาวางไว้ตรงหน้าอย่างเดียว เช่นถ้าเคยชินกับความเป็นผู้ขัดขวาง เขาย่อมไปสู่ความเป็นสหายในภพของผู้ขัดขวางตั้งแต่อุบัติจนถึงอายุขัย

มาดูกันครับ ว่าเหตุใดมนุษย์ที่มีสามัญสำนึกติดตัวกันดีๆทุกคนจึงหลงผิดไปเป็นฝ่ายมาร ทั้งนี้ตกลงกันก่อนว่าเรากำลังคุยกันเกี่ยวกับมารของศาสนาพุทธอย่างเดียว มารของศาสนาอื่นไม่พูดถึง แต่โดยหลักการก็คล้ายคลึงกัน คือใครต่อต้านความเชื่อแบบใดก็เป็นมารประจำความเชื่อแบบนั้นๆ

๑) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ผิด แต่ประพฤติถูกบางส่วน

หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อในการใช้ชีวิตแบบไม่เบียดเบียนใคร เลื่อมใสการเกื้อกูลสังคม หรือกระทั่งศรัทธาในสันติสุขและการมีเมตา ทว่าไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบาก ไม่เชื่อว่านิพพานมีจริง อาจจะเพราะได้รับการปลูกฝังให้เชื่อแบบนั้นมาแต่เล็ก หรืออาจจะเพราะโตแล้วคิดเอง คาดคะเนแล้วปักใจเข้าข้างตัวเองอย่างเหนียวแน่น แถมยังขยายความเห็นผิดของตนให้กว้างไกลออกไป ผ่านรูปแบบการถกเถียง ถากถาง กล่าวโจทก์โพนทะนาด้วยเจตนาให้คนทั้งโลกหมดความเชื่อถือ หรือกระทำพุทธศาสนาให้หมดความชอบธรรมที่จะตั้งอยู่ กรรมที่เผยแพร่ศาสนาตนด้วยวิธีย่ำยีศาสนาอื่นในวงกว้างนี้แหละตัวการสำคัญอันจะทำให้เป็นมาร

ที่บุคคลประเภทนี้มีโอกาสไปสวรรค์ ก็เพราะความดีที่เขาทำได้น้ำหนักเกินความชั่วที่เขาก่อ แต่หากครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญได้น้ำหนักแค่พอดีกับบาป ตายแล้วจะไปเป็นอสูร ซึ่งจัดเป็นพวกครึ่งเปรตครึ่งเทพ คอยรบกวนทั้งมนุษย์และเทวดาที่ใฝ่ดีตามแนวทางของพระพุทธศาสนา อาจจะในรูปของการทำร้ายตรงไปตรงมา ดังเช่นเมื่อครั้งพุทธกาลมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง เดินจงกรมอยู่กลางแจ้ง มารก็เข้าไปรบกวนท้องไส้ท่านให้รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆถ่วงอยู่ แต่ท่านรู้ทันด้วยญาณ จึงเกลี้ยกล่อมโดยเล่าให้ฟังว่าอดีตชาติท่านก็เคยประพฤติตนเป็นมารอย่างนี้แหละ แต่พอพ้นจากภพของมารก็ต้องลงไปเสวยมหันตทุกข์ หมกไหม้อยู่ในมหานรกนานแสนนาน ไม่คุ้มกันเลย (ตัวท่านเองในครั้งอดีตเป็นญาติเก่ากับมารที่มารบกวนท่านในชาติสุดท้ายเสียด้วยครับ ถึงมีสายสัมพันธ์ที่เปิดช่องให้มารบกวนกันได้)

๒) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ถูกส่วนหนึ่ง แต่เห็นผิดอีกส่วนหนึ่ง

หมายถึงกลุ่มคนที่ศรัทธาในกรรมวิบากระดับให้ทานและรักษาศีล เชื่อว่ากรรมมีผล เชื่อว่าทำดีย่อมมีสุคติเป็นที่หวัง แต่น่าเสียดายยังเห็นผิดเกี่ยวกับนิพพานและวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงนิพพาน ลำพังความเห็นผิดเงียบๆอยู่คนเดียวก็ไม่กระไรนัก แต่หากเกิดเป็นขบวนการจัดตั้ง พยายามล้มล้างแนวความเห็นที่ถูกต้องเกี่ยวกับมรรคผลนิพพานดั้งเดิม อันนี้ก็ต้องกลายไปเป็นพลพรรคมารกันโดยไม่รู้ตัว

อย่างไรก็ตาม พวกนี้จะเป็นมารแบบผู้ดีขึ้นมาหน่อย คือเวลารบกวนจะไม่มาในลักษณะการของทำร้ายกันดื้อๆ แต่จะมาในรูปของการดลใจในสมาธิ เช่นทำให้พระซึ่งมีบุญมากๆหลงเห็นนิมิตบางอย่าง ได้ยินเสียงบางอย่าง แล้วบังเกิดความเชื่อมั่นว่านั่นคือการบรรลุถึงมรรคถึงผล โดยมากเป็นดอกบัวบานหรือนิมิตพระพุทธรูปที่มีเสียงระฆังกังวานสดใส หรือคำรับรองว่าเช่นนี้เป็นมรรคผลที่ถูกต้องแล้ว

นอกจากนั้น ปัจจุบันยังมีอรหันต์ดิบเกิดขึ้นเยอะ กล่าวคือปฏิบัติธรรมแล้วเกิดมหาอุเบกขา รับผัสสะกระทบแล้วเฉยชา ไม่รู้สึกรู้สาทางกาม ก็เข้าใจว่าตนหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์แล้ว ทั้งๆที่เป็นอำนาจสมาธิหรืออำนาจของศีล ๘ ที่แข็งแรงเท่านั้น อีกพวกหนึ่งเกิดปรากฏการณ์บางอย่างทางจิตครั้งเดียว เช่นเกิดความว่างหายเฉียบพลันซึ่งคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์มรรคผลของจริง ก็พลัดหลงไปเข้าใจว่าตนเป็นพระอรหันต์ ทั้งที่กิเลสยังอยู่ครบ ยังโลภอยากสะสมสมบัติ ยังเกิดราคะอยากร่วมเพศ ยังเกิดโทสะหงุดหงิดรำคาญใจ และยังสำคัญตนไปต่างๆนานาว่ารู้เห็นเยี่ยงผู้วิเศษ ใครเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง จะฟังแต่ครูบาอาจารย์ที่ให้รางวัลเขา แต่งตั้งให้เขาเป็นพระอรหันต์เท่านั้น

พวกนี้ไปเกิดเป็นเทวดาได้เพราะบุญซึ่งทำจริงๆตลอดชีวิต แต่พอเป็นเทวดาก็มักมีความพอใจประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ มาสนทนากับมนุษย์ผู้มีญาณ หรือผ่านมนุษย์ผู้มีเป็นร่าง ก็จะต้องการให้ผู้อื่นเชื่อว่าตนหมดกิเลสแล้ว บางครั้งก็มีวิธีบังคับ หรือวิธีสำแดงตนแปลกๆได้พิสดาร สุดที่มนุษย์ธรรมดาๆจะแข็งขืนไม่ยอมศิโรราบให้

เทวดาพวกนี้จะบรรยายสภาพของนิพพานไปต่างๆนานาสารพัด โดยรวบรัดคือเป็นดินแดนอันสงบสุข หาความทุกข์มิได้ ซึ่งที่แท้ก็คือภพหนึ่งของเทวโลกหรือพรหมโลกเท่านั้น และจะปฏิเสธนิพพานแบบไร้นิมิต ไร้ที่ตั้ง เห็นเป็นของน่าเบื่อ ไม่มีตัวตนให้สนุกอีก โดยไม่เฉลียวคิดถึงแก่นสารที่แท้จริงว่าการไร้สภาพปรุงแต่งให้เกิดดับนั่นเอง คือบรมสุข คือความสงบอันเป็นที่สุดทุกข์

๓) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ถูก แต่ปรามาสผู้ทรงคุณ

หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เข้าใจ ‘ทฤษฎี’ ทางพุทธศาสนาถูกต้อง ทั้งในหลักกรรมวิบาก และในหลักวิธีพ้นทุกข์พ้นอุปาทานอย่างเด็ดขาด แต่พวกเขาเพียงทรงจำไว้ ไม่ปฏิบัติตนตามหลักการที่พระพุทธเจ้าสอนให้ตลอดสาย ผู้ใกล้ชิดจะรู้ดีและเห็นคาตาหลายครั้ง ว่ายังเป็นผู้ตระหนี่ มีอาการเล็งโลภ โกหกโดยปราศจากความละอาย ตลอดจนหลงตัวหลงตนเกินธรรมดา

ยิ่งศึกษามาก ทรงจำมาก ก็ยิ่งเกิดความทะนงมาก กลายเป็นอยากเพิ่มอัตตาเยี่ยงผู้มีปัญญาคิดอ่านแตกฉานยิ่งๆขึ้นไป และอยากให้ใครๆมองว่าตนรอบรู้ทรงภูมิเป็นที่หนึ่ง ซึ่งพออัตตาใหญ่ ทางหลุดพ้นจากอุปาทานก็เล็กลง คิดถึงมรรคผลนิพพานแล้วท้อใจ คือไม่ใช่แค่เห็นว่ามรรคผลนิพพานเข้าถึงได้ยาก แต่เห็นว่าเป็นของเข้าถึงไม่ได้เลยในชีวิตของตน และเมื่อตนเข้าถึงไม่ได้ ก็แปลว่าคนอื่นทั้งโลกจะต้องไม่มีความสามารถเข้าถึงได้เช่นกัน

พวกที่เข้าข่ายจะต้องกลายเป็นมารเต็มขั้นนั้น ได้แก่ภิกษุซึ่งมีหน้าที่สอนธรรมะในชั้นเรียน เพราะภิกษุเป็นผู้ตกลงกับพระพุทธเจ้าตั้งแต่ตอนบวชว่าจะเข้ามาทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง ถ้ามาประกาศเสียเองว่ามรรคผลนิพพานทำไม่ได้แล้ว ก็เท่ากับทรยศต่อพระพุทธเจ้า เท่าที่ทราบมา บางคนเป็นถึงเปรียญชั้นสูงๆ แต่เอ่ยกับปากว่ายุคนี้อย่าหวังฌาน อย่าหวังมรรคผล ขอให้บำเพ็ญบารมีเพื่อไปเอาดีในยุคพระศรีอารย์กัน นี่เป็นคำพูดที่สืบๆกันมา ตอนแรกเป็นคำพูดคนอื่น แต่พอพูดบ่อยๆก็กลายเป็นคำพูดและความฝังใจเชื่อของตนเองไป

วิธีหว่านล้อมแบบมารซึ่งแยบยลที่สุด คือแฝงมาในรูปของคนที่ถูกต้องที่สุด คนรู้ดีที่สุด สิ่งที่ทำให้รู้ว่าเขาหลงทางมีอย่างเดียว คือภาพรวมของเขาไม่สนับสนุน ไม่ให้กำลังใจใครได้ไปถึงนิพพาน ตรงข้ามกลับคะยั้นคะยอให้ใครๆเห็นมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องยากเกินเอื้อม ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก บั่นทอนกำลังใจกันทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นตรงข้ามกันทุกอย่างกับลีลาของพระพุทธเจ้า

พวกนี้บางทีเคารพพระพุทธเจ้า แต่บางยุคก็อยู่ในฐานะผู้รักษาสืบทอดพระธรรมวินัยเป็นตัวอักษร ทว่าพลาดไปร่วมขบวนการตัดต่อ เติมแต่ง กล่าวตู่พุทธพจน์ ทำให้คนหลงเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัส ทั้งที่ท่านไม่ได้ตรัส อันนั้นแหละการประพฤติเข้าสู่ความเป็นพลพรรคมาร อาจจะระดับเสนาธิการหรือระดับบริวารย่อยๆ ขึ้นอยู่กับบารมีในทางดีที่สั่งสมไว้

สำหรับกรรมที่จะทำให้เป็นราชาแห่งมาร หรือที่เรียก ‘พญามาร’ นั้น โดยมากจะมีบารมียิ่งใหญ่เกินธรรมดา เช่นสามารถเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาหรือลัทธิความเชื่อดีๆ พาคนไปสวรรค์ได้ด้วยตนเอง แต่หลงผิด บิดเบือนพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า หรือกระทั่งพาคนหลงทาง เข้าใจว่านิพพานและหลักการเข้าถึงนิพพานในพระไตรปิฎกเป็นของปลอม วิธีที่ตนเพิ่งค้นพบด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะถูกต้อง พวกนี้อาจหลงผิดด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือหลงผิดเพราะอัตตามานะ อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก (ซึ่งกรรมดีแต่หนหลังที่เคยช่วยมหาชนจำนวนมาก ก็ส่งแรงหนุนให้ได้สำเร็จใกล้เคียงกับที่ปรารถนาเสียด้วย)

ไม่ว่าจะระดับราชา เสนาธิการ หรือบริวารแวดล้อม เมื่อตั้งความเห็นไว้เสียแล้วว่าตนถูกที่สุด คนที่เชื่อต่างจากตนจึงเป็นคนผิด ฉะนั้นแม้เมื่อพบผู้ปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรง สามารถละกิเลสได้จริงๆ แทนที่จะชื่นชมยินดีมีมุทิตาจิตไปกับความผ่องใสของพวกท่าน ก็กลับจะขัดเคือง หมั่นไส้ไม่อยากเห็นฝ่ายตรงข้ามก้าวหน้าเกินตน ซึ่งก็จะนำไปสู่การจ้องจับผิด เห็นตนมีอภิสิทธิ์ในการไล่เบี้ยความรู้ผู้อื่น ผิดเล็กผิดน้อยเอามาด่าได้ราวกับเป็นอาชญากร หรือแม้เขาไม่มีความผิดเลย ก็พูดสันนิษฐานต่างๆนานา ชักแม่น้ำทั้งห้า เพื่อชี้นำคนอื่นให้เห็นว่าเขาผิดจนได้ สืบไปสืบมา ต้นตอที่แท้จริงคือเขาไม่ต้องการให้ใครเป็นฝ่ายถูก หากไม่ได้ยอมรับนับถือเขา หรือได้หลักความรู้ความเชื่อมาจากเขา

ถึงขั้นหนึ่งพวกนี้อาจกล่าวเท็จได้โดยปราศจากความละอาย พูดธรรมะด้วยความนุ่มนวล แต่น้ำเสียงมีแรงอัดของโทสะเจืออยู่ เวลาระเบิดความโกรธออกมามีความกดดันสูง มีความรั้นชนิดหัวชนฝา เปลี่ยนจากมีเหตุผลที่สุดไปเป็นขาดเหตุผลอย่างที่สุด แม้แต่หน้าตาก็สลับจากสว่างใสไปเป็นหมองคล้ำได้อย่างรวดเร็ว

กล่าวมาทั้งหมดคงเห็นสรุปได้ประการหนึ่งคือ มารไม่จำเป็นต้องคิดว่าตัวเองเป็นมาร ตรงข้าม พวกเขาอาจนึกว่าตนเป็นฝ่ายพระเอกด้วยซ้ำ มีแต่ ‘กรรม’ ของเขาที่จะแสดงในตัวเองว่าเขาเป็นใคร

อยากตั้งข้อสังเกตว่าพระพุทธเจ้าท่านยอมรับว่าเทวดาฝ่ายมารมีจริง แต่ท่านก็ตรัสถึงน้อยมาก และทุกที่ที่ตรัสถึง ก็จะแสดงให้เห็นว่าถ้ามนุษย์ยังมีสติสัมปชัญญะ ก็มีสิทธิ์เลือกที่จะเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้กันทุกคนครับ


อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ

เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก

Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain

#14 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 02:43 PM

อนุโมทนาสาธุกับคุณคนรักวัดด้วยนะครับ เรื่องนี้ผมเคยได้อ่านมาบ้างเหมือนกัน แต่ของคุณคนรักวัดละเอียดกว่าที่ผมได้อ่านมาเสียอีกครับ happy.gif
แต่ที่คุณคนรักวัดยกมานี้เป็นเพียงพญามารที่เกิดในภพ3เท่านั้นนะครับ ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่มีอกุศลที่แรงกล้าเข้าสิงจิต แม้แต่เทวดาก็เป็นพญามารได้ แม้แต่ช้างนาราคิฬี ที่จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตก็ยังกลายเป็นพญามาร เมื่อมีอกุศลเข้าสิงจิต ทำให้วิ่งเข้าหมายทำร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่พญามารตัวจริงที่ก่อให้เกิดภพ3นั้น ยากแท้ที่จะหยั่งถึงได้ว่าเป็นใครมาจากไหนเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีฤทธิ์มากเพียงใดจึงทำให้เกิดวัฐจักรภพภูมิไม่รู้จบสิ้น เป็นผู้กำหนดผังให้กับทุกสรรพชีวิตบนภพ3 ซึ่งผมมั่นใจด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมว่า พญามารที่มาเข้าอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระองค์รีบเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก่อนเวลาอันควรไม่ใช่พญามารที่เป็นท้าวปรนิมมิตสวัตตีมาราธิราชเป็นแน่ แต่ต้องเป็นพญามารอีกตนนึงที่มีฤทธิ์มากกว่า นั่นก็คือพญามารที่ก่อให้เกิดภพ3นี้แน่ และพญามารตัวนี้แหละครับ เป็นตัวจริงที่ครูใหญ่ของเราหมายมั่นที่จะปราบเพื่อรื้อขนสรรพสัตว์ทั่วทั้งอนันตจักรวาลเข้านิพพานให้หมดครับ

เป็นไงบ้างครับนิทานที่ผมแต่งขึ้นกล่อมนักเรียนอนุบาลเข้านอน ฟังเล่นสนุกๆนะครับ หุหุ happy.gif
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#15 โปปิโอ้

โปปิโอ้
  • Members
  • 21 โพสต์
  • Location:บุรีรัมย์
  • Interests:Computer

โพสต์เมื่อ 22 October 2006 - 12:30 PM

แจ่มแจ้ง

#16 หยุดนิ่ง

หยุดนิ่ง
  • Members
  • 60 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 April 2008 - 09:10 PM

อนุโมทนาสาธุกับคนรักวัดนะครับ
ขอบคุนมากครับความรู้เยอะแยะเลยเก็บกลับไปแน่นสมองเลยครับ
ของคุนจริงๆนะครับ

#17 usr21591

usr21591
  • Members
  • 75 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 April 2008 - 08:47 AM

เรียนคุณคนรักวัดครับ
พญามารไสช้างชื่อ ครีเมขลา ไม่ใช่เหรอครับ ส่วนช้างนาฬาคีรี เป็นช้างที่เทวทัตมอมสุราไม่ใช้เหรอครับ
หรือผมจำผิดเอง........

โอครับ

#18 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 April 2008 - 05:08 PM

สุดยอดจริงๆ

สาธุ.. สาธุ.. สาธุ.. happy.gif
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#19 สาธุธรรม

สาธุธรรม
  • Members
  • 1124 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 April 2008 - 12:27 PM

นับเป็นบุญตา ที่ได้มาอ่าน มารู้
ขออนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ

หากไม่รบกวนจนเกินไป
ขอความกรุณาบอกที่มาของเรื่องราวต่างๆ ที่ท่านๆ ได้กล่าวไว้ได้หรือไม่คะ
ว่าอยู่ส่วนใดของพระไตรปิฎก จะยิ่งกราบขอบพระคุณยิ่งๆ ยิ่งๆ ในธรรมทานอันเลิศนี้ค่ะ.... สาธู๊

หยุดนิ่งนั้นแหละไซร้ พรหมจรรย์
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ

สุนทรพ่อ

#20 usr22944

usr22944
  • Members
  • 63 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 April 2008 - 12:53 PM

เห็นด้วยกับคุณ Dd2683 และ คุณ เคยเข้าวัด ทุกประการครับ

#21 jane_072

jane_072
  • Members
  • 539 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 April 2008 - 10:03 AM

อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ สาธุๆๆ

#22 usr36243

usr36243
  • Members
  • 2 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 October 2010 - 05:00 PM

ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ