ทำไมเมื่อรักษาศีลจึงทำให้มีสมาธิเพราะอะไร ?
เมื่อมีสมาธิแล้วทำไมถึงเกิดปัญญาได้ เพราะอะไร?
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นปัจจัย เกื้อหนุนกันอย่างไรหรอครับ?
เมื่อศีล สมาธิ ปัญญา อย่างใดอย่างหนึ่งที่เรายังบกพร่องอยู่ ยังไม่เกิดมีในตัวเรา อีกสองอย่างที่เหลือ จะเกิดได้มั๊ยครับ?
ขอความกระจ่างจากสมาชิกดีเอ็มซีด้วยนะครับ
ขอบพระคุณมากครับ
---------------------------------
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นปัจจัยเกื้อหนุนกันอย่างไร?
เริ่มโดย เพียงพอ, Oct 22 2006 08:55 PM
มี 7 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 22 October 2006 - 08:55 PM
เพียง. . .เพื่อดำรงชีวิตอยู่ให้มีคุณค่า
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
เพียงพอ
#2
โพสต์เมื่อ 22 October 2006 - 09:38 PM
ศีลทำให้กาย วาจา เราบริสุทธิ์
เมื่อกาย วาจา บริสุทธิ์ เวลานั่งสมาธิ ใจเราก็จะนิ่งได้ง่าย ไม่กินแหนงแคลงใจการกระทำของตนเอง
เมื่อใจนิ่งเป็นสมาธิ ทำให้ใจสงบ เมื่อใจสงบ ปัญญาก็จะเกิด
เมื่อกาย วาจา บริสุทธิ์ เวลานั่งสมาธิ ใจเราก็จะนิ่งได้ง่าย ไม่กินแหนงแคลงใจการกระทำของตนเอง
เมื่อใจนิ่งเป็นสมาธิ ทำให้ใจสงบ เมื่อใจสงบ ปัญญาก็จะเกิด
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 11:44 AM
[attachmentid=9436] อนุโมทนาบุญที่ท่านพอเพียงตั้งกระทู้นี้นะครับ กระทู้นี้คือแก่นของศาสนาเลยล่ะครับ
การปฏิบัติธรรมทุกขั้นตอน รวมลงในมรรคอันประกอบด้วยองค์แปดนี้ เมื่อย่นรวมกัน
.....แล้วเหลือเพียง 3 คือ ศีล - สมาธิ - ปัญญา สรุปสั้น ๆ ก็คือ
.....การปฏิบัติธรรม(ศีล-สมาธิ-ปัญญา)ก็คือการเดินตามมรรค
ขอยืม รูปที่ท่าน Peacefulness โพสให้ในกระทู้ข้างล่างด้วยนะครับ
[attachmentid=9436]
มรรคมีองค์ ๘ คือ
สัมมาทิฏฐิ(ปัญญา) (หัวข้อ)
.....คือความเข้าใจถูกต้อง ย่อมต้องการใช้ในกิจการทั่วไปทุกประเภททั้งทางโลกและ
.....ทางธรรม แต่สำหรับฝ่ายธรรมชั้นสูงอันเกี่ยวกับการเห็นทุกข์หรืออาสวะซึ่งจัดเป็น
.....การเห็นอริยสัจจ์นั้นย่อมต้องการฝึกฝนอย่างจริงจังเป็นพิเศษ ความเข้าใจถูกต้อง
.....คือต้องเข้าใจอย่างทั่วถึงว่าทุกข์นั้นเป็นอย่างไร อย่างหยาบๆ ที่ปรากฎชัดๆ เป็นอย่างไร
.... อย่างละเอียดที่แอบแฝงเป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับสนิท
.....ของทุกข์มีภาวะอย่างไร มีลำดับอย่างไร ทางให้ถึงความดับทุกข์คืออะไร เดินให้ถึงได้
.....อย่างไร สัมมาทิฏฐิมีทั้งที่เป็นโลกิยะคือของบุคคลที่ต้องขวนขวายปฏิบัติก้าวหน้าอยู่
.....และสัมมาทิฎฐิที่เป็นโลกกุตตระ คือของพระอริยบุคคลต้นๆ ส่วนของพระอรหันต์นั้น
.....เรียกเป็นวิชชาไปและไม่เรียกว่าองค์แห่งมรรค เพราะท่านถึงที่สุดแล้ว
สัมมาสังกัปปะ(ปัญญา) (หัวข้อ)
.....คือความใฝ่ใจถูกต้อง คือคิดหาทางออกไปจากทุกข์ตามกฎแห่งเหตุผล ที่เห็นขอบมาแล้ว
.....ข้อสัมมาทิฏฐินั่นเอง เริ่มตั้งแต่การใฝ่ใจที่น้อมไปในการออกบวช การไม่เพ่งร้าย การ
.....ไม่ทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่นแม้เพราะเผลอ รวมทั้งความใฝ่ใจถูกต้องทุกๆอย่างที่เป็นไปเพื่อ
.....ความหลุดพ้นจากสิ่งที่มนุษย์ไม่ประสงค์
สัมมาวาจา (ศีล) (หัวข้อ)
.....คือการพูดจาถูกต้อง ไม่เป็นโทษต่อตนเอง และผู้อื่น
สัมมากัมมันตะ (ศีล) (หัวข้อ)
.....คือการกระทำถูกต้อง ไม่เป็นโทษต่อตนเอง และผู้อื่น
สัมมาอาชีวะ (ศีล) (หัวข้อ)
.....คือการดำรงชีพถูกต้อง ไม่เป็นโทษต่อตนเอง และผู้อื่น
สัมมาวายามะ (สมาธิ) (หัวข้อ)
.....คือความพากเพียรถูกต้อง เป็นส่วนของใจที่บากบั่นในอันที่จะก้าวหน้า ไม่ถอยหลังจากทาง
.....ดำเนินตามมรรค ถึงกับมีการอธิษฐานอย่างแรงกล้า
สัมมาสติ (สมาธิ) (หัวข้อ)
.....คือการระลึกประจำใจถูกต้อง ระลึกแต่ในสิ่งที่เกื้อหนุนแก่ปัญญาที่จะแทงตลอด
.....อวิชชาที่ครอบงำตนอยู่ โดยเฉพาะได้แก่กายนี้ และธรรมอันเนื่องเกี่ยวกับกายนี้ เมื่อ
.....พบความจริงของกายนี้ อวิชชาหรือหัวหน้าแห่งมูลทุกข์ก็สิ้นไป
สัมมาสมาธิ (สมาธิ) (หัวข้อ)
.....คือการตั้งใจมั่นถูกต้อง ได้แก่สมาธิ เป็นของจำเป็นในกิจการทุกอย่าง สำหรับในที่นี้เป็น
.....อาการของใจที่รวมกำลังเป็นจุดเดียว กล้าแข็งพอทีจะให้เกิดปัญญา
.....ทำการแทงตลอดอวิชชาได้ และยังเป็นการพักผ่อนของใจ ซึ่งเป็นเหมือนการลับให้ อ
.....แหลมคมอยู่เสมอด้วย ฯลฯ
เกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ?
แหล่งข้อมูลที่นำมาอ้างอิง
http://www.learntrip....com/index.html
การปฏิบัติธรรมทุกขั้นตอน รวมลงในมรรคอันประกอบด้วยองค์แปดนี้ เมื่อย่นรวมกัน
.....แล้วเหลือเพียง 3 คือ ศีล - สมาธิ - ปัญญา สรุปสั้น ๆ ก็คือ
.....การปฏิบัติธรรม(ศีล-สมาธิ-ปัญญา)ก็คือการเดินตามมรรค
ขอยืม รูปที่ท่าน Peacefulness โพสให้ในกระทู้ข้างล่างด้วยนะครับ
[attachmentid=9436]
มรรคมีองค์ ๘ คือ
สัมมาทิฏฐิ(ปัญญา) (หัวข้อ)
.....คือความเข้าใจถูกต้อง ย่อมต้องการใช้ในกิจการทั่วไปทุกประเภททั้งทางโลกและ
.....ทางธรรม แต่สำหรับฝ่ายธรรมชั้นสูงอันเกี่ยวกับการเห็นทุกข์หรืออาสวะซึ่งจัดเป็น
.....การเห็นอริยสัจจ์นั้นย่อมต้องการฝึกฝนอย่างจริงจังเป็นพิเศษ ความเข้าใจถูกต้อง
.....คือต้องเข้าใจอย่างทั่วถึงว่าทุกข์นั้นเป็นอย่างไร อย่างหยาบๆ ที่ปรากฎชัดๆ เป็นอย่างไร
.... อย่างละเอียดที่แอบแฝงเป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับสนิท
.....ของทุกข์มีภาวะอย่างไร มีลำดับอย่างไร ทางให้ถึงความดับทุกข์คืออะไร เดินให้ถึงได้
.....อย่างไร สัมมาทิฏฐิมีทั้งที่เป็นโลกิยะคือของบุคคลที่ต้องขวนขวายปฏิบัติก้าวหน้าอยู่
.....และสัมมาทิฎฐิที่เป็นโลกกุตตระ คือของพระอริยบุคคลต้นๆ ส่วนของพระอรหันต์นั้น
.....เรียกเป็นวิชชาไปและไม่เรียกว่าองค์แห่งมรรค เพราะท่านถึงที่สุดแล้ว
สัมมาสังกัปปะ(ปัญญา) (หัวข้อ)
.....คือความใฝ่ใจถูกต้อง คือคิดหาทางออกไปจากทุกข์ตามกฎแห่งเหตุผล ที่เห็นขอบมาแล้ว
.....ข้อสัมมาทิฏฐินั่นเอง เริ่มตั้งแต่การใฝ่ใจที่น้อมไปในการออกบวช การไม่เพ่งร้าย การ
.....ไม่ทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่นแม้เพราะเผลอ รวมทั้งความใฝ่ใจถูกต้องทุกๆอย่างที่เป็นไปเพื่อ
.....ความหลุดพ้นจากสิ่งที่มนุษย์ไม่ประสงค์
สัมมาวาจา (ศีล) (หัวข้อ)
.....คือการพูดจาถูกต้อง ไม่เป็นโทษต่อตนเอง และผู้อื่น
สัมมากัมมันตะ (ศีล) (หัวข้อ)
.....คือการกระทำถูกต้อง ไม่เป็นโทษต่อตนเอง และผู้อื่น
สัมมาอาชีวะ (ศีล) (หัวข้อ)
.....คือการดำรงชีพถูกต้อง ไม่เป็นโทษต่อตนเอง และผู้อื่น
สัมมาวายามะ (สมาธิ) (หัวข้อ)
.....คือความพากเพียรถูกต้อง เป็นส่วนของใจที่บากบั่นในอันที่จะก้าวหน้า ไม่ถอยหลังจากทาง
.....ดำเนินตามมรรค ถึงกับมีการอธิษฐานอย่างแรงกล้า
สัมมาสติ (สมาธิ) (หัวข้อ)
.....คือการระลึกประจำใจถูกต้อง ระลึกแต่ในสิ่งที่เกื้อหนุนแก่ปัญญาที่จะแทงตลอด
.....อวิชชาที่ครอบงำตนอยู่ โดยเฉพาะได้แก่กายนี้ และธรรมอันเนื่องเกี่ยวกับกายนี้ เมื่อ
.....พบความจริงของกายนี้ อวิชชาหรือหัวหน้าแห่งมูลทุกข์ก็สิ้นไป
สัมมาสมาธิ (สมาธิ) (หัวข้อ)
.....คือการตั้งใจมั่นถูกต้อง ได้แก่สมาธิ เป็นของจำเป็นในกิจการทุกอย่าง สำหรับในที่นี้เป็น
.....อาการของใจที่รวมกำลังเป็นจุดเดียว กล้าแข็งพอทีจะให้เกิดปัญญา
.....ทำการแทงตลอดอวิชชาได้ และยังเป็นการพักผ่อนของใจ ซึ่งเป็นเหมือนการลับให้ อ
.....แหลมคมอยู่เสมอด้วย ฯลฯ
เกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ?
QUOTE
องค์มรรคบางองค์ เป็นส่วนหยาบและสะสมขึ้นในตัวเราได้โดยง่ายคือ สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สามองค์นี้ถูกอบรมให้สำเร็จเป็นวิรัติเจตสิกจำพวกกุศล
เจตสิกเป็นเชื้อนอนนิ่งอยู่ในสันดาน เตรียมพร้อมที่จะมาผสมจิตคราวเดียวกันกับ
มรรคองค์อื่นๆ เมื่อได้โอกาสอันเหมาะ แม้องค์มรรคที่ยากๆ เช่นสัมมาทิฏฐิ-สติ-สมาธิ
ก็เหมือนกัน ได้ฝึกอบรมมาเท่าใดก็เข้าไปนอนเนื่องติดอยู่ในสันดานเป็นกุศลเจตสิก
อยู่อย่างเดียวกัน รอคอยกันจนกว่าจะครบทุกองค์และมีสัดส่วนพอดีกัน ก็ประชุมกัน
เป็นอริยมรรคขึ้น ตัดกิเลสหรือสัญโญชน์ให้หมดไปได้คราวหนึ่งตามกำลังหรือชั้นของ
ตน อาการสะสมกำลังแห่งองค์มรรคนี้ตรัสเรียกว่า "การอบรมทำให้มาก"
สัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ เกิดขึ้นอ่อนๆก่อน เกิดขึ้นเท่าใดก็จูงองค์อื่นๆ ให้เกิดขึ้นตามส่วน
องค์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับช่วยสัมมาทิฏฐิให้คมกล้าขึ้นไปอีก สัมมาทิฏฐินั้นก็่จูงองค์นั้นๆให้
กล้าขึ้นอีก และส่งเสริมชักจูงกันไปอีกทำนองนี้ จนกว่าจะถึงขีดที่เพียงพอและสามัคคี
พร้อมกันได้ครบองค์ การอบรมทำให้มากอยู่เสมอนี้เองคือระยะแห่งการปฏิบัติธรรม
ยิ่งมากก็ยิ่งเร็ว ยิ่งอธิษฐานใจกล้าก็ยิ่งแรง ยิ่งที่วิเวกก็ยิ่งสุขุมลึกซึ้ง ยิ่งชำนาญก็ยิ่งคมกล้า
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สามองค์นี้ถูกอบรมให้สำเร็จเป็นวิรัติเจตสิกจำพวกกุศล
เจตสิกเป็นเชื้อนอนนิ่งอยู่ในสันดาน เตรียมพร้อมที่จะมาผสมจิตคราวเดียวกันกับ
มรรคองค์อื่นๆ เมื่อได้โอกาสอันเหมาะ แม้องค์มรรคที่ยากๆ เช่นสัมมาทิฏฐิ-สติ-สมาธิ
ก็เหมือนกัน ได้ฝึกอบรมมาเท่าใดก็เข้าไปนอนเนื่องติดอยู่ในสันดานเป็นกุศลเจตสิก
อยู่อย่างเดียวกัน รอคอยกันจนกว่าจะครบทุกองค์และมีสัดส่วนพอดีกัน ก็ประชุมกัน
เป็นอริยมรรคขึ้น ตัดกิเลสหรือสัญโญชน์ให้หมดไปได้คราวหนึ่งตามกำลังหรือชั้นของ
ตน อาการสะสมกำลังแห่งองค์มรรคนี้ตรัสเรียกว่า "การอบรมทำให้มาก"
สัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ เกิดขึ้นอ่อนๆก่อน เกิดขึ้นเท่าใดก็จูงองค์อื่นๆ ให้เกิดขึ้นตามส่วน
องค์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับช่วยสัมมาทิฏฐิให้คมกล้าขึ้นไปอีก สัมมาทิฏฐินั้นก็่จูงองค์นั้นๆให้
กล้าขึ้นอีก และส่งเสริมชักจูงกันไปอีกทำนองนี้ จนกว่าจะถึงขีดที่เพียงพอและสามัคคี
พร้อมกันได้ครบองค์ การอบรมทำให้มากอยู่เสมอนี้เองคือระยะแห่งการปฏิบัติธรรม
ยิ่งมากก็ยิ่งเร็ว ยิ่งอธิษฐานใจกล้าก็ยิ่งแรง ยิ่งที่วิเวกก็ยิ่งสุขุมลึกซึ้ง ยิ่งชำนาญก็ยิ่งคมกล้า
แหล่งข้อมูลที่นำมาอ้างอิง
http://www.learntrip....com/index.html
ไฟล์แนบ
หยุดคือตัวสำเร็จ
#4
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 12:52 PM
อนุโมทนาทั้งผู้ตั้งและผู้ตอบด้วยนะคะ
"ด้วยใจกล้าอาสา พัฒนาไม่หยุดยั้ง"
น้ำฝนลูกพระธัมฯ
#5
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 07:39 PM
เก่งกันทั้งนั้นเลย
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#6
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 10:19 PM
สาธุ ชอบ... ที่คุณ smiling cat นำมาให้อ่านเกี่ยวกับ มรรคมีองค์ 8
ดีจริงๆค่ะ ใช่เลยที่ว่าสัมมาทิฐิเป็นตัวนำก่อน แล้วก็ไปจูงมรรคข้ออื่นมาสะสมตัวจนเต็มเปี่ยม
ผลที่ได้รับจากมรรคมีองค์ 8 ที่สะสมมีกำลังขึ้น คือ อธิศีล -> อธิจิต -> อธิปัญญา
เมื่อใดที่อธิจิตเกิดขึ้นความเข้มข้นของความสว่างในจิตก็จะมีกำลังมาก
มากพอที่จะเริ่มกำจัดนิวรณ์ 5 อย่างละเอียดแยบคายได้
เมื่อถึงอธิปัญญา นิวรณ์ 5 ก็จะหมดกำลัง แล้วก็จะได้เป็นไทยเสียที
QUOTE
องค์มรรคบางองค์ เป็นส่วนหยาบและสะสมขึ้นในตัวเราได้โดยง่ายคือ สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สามองค์นี้ถูกอบรมให้สำเร็จเป็นวิรัติเจตสิกจำพวกกุศล
เจตสิกเป็นเชื้อนอนนิ่งอยู่ในสันดาน เตรียมพร้อมที่จะมาผสมจิตคราวเดียวกันกับ
มรรคองค์อื่นๆ เมื่อได้โอกาสอันเหมาะ แม้องค์มรรคที่ยากๆ เช่นสัมมาทิฏฐิ-สติ-สมาธิ
ก็เหมือนกัน ได้ฝึกอบรมมาเท่าใดก็เข้าไปนอนเนื่องติดอยู่ในสันดานเป็นกุศลเจตสิก
อยู่อย่างเดียวกัน รอคอยกันจนกว่าจะครบทุกองค์และมีสัดส่วนพอดีกัน ก็ประชุมกัน
เป็นอริยมรรคขึ้น ตัดกิเลสหรือสัญโญชน์ให้หมดไปได้คราวหนึ่งตามกำลังหรือชั้นของ
ตน อาการสะสมกำลังแห่งองค์มรรคนี้ตรัสเรียกว่า "การอบรมทำให้มาก"
สัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ เกิดขึ้นอ่อนๆก่อน เกิดขึ้นเท่าใดก็จูงองค์อื่นๆ ให้เกิดขึ้นตามส่วน
องค์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับช่วยสัมมาทิฏฐิให้คมกล้าขึ้นไปอีก สัมมาทิฏฐินั้นก็่จูงองค์นั้นๆให้
กล้าขึ้นอีก และส่งเสริมชักจูงกันไปอีกทำนองนี้ จนกว่าจะถึงขีดที่เพียงพอและสามัคคี
พร้อมกันได้ครบองค์ การอบรมทำให้มากอยู่เสมอนี้เองคือระยะแห่งการปฏิบัติธรรม
ยิ่งมากก็ยิ่งเร็ว ยิ่งอธิษฐานใจกล้าก็ยิ่งแรง ยิ่งที่วิเวกก็ยิ่งสุขุมลึกซึ้ง ยิ่งชำนาญก็ยิ่งคมกล้า
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สามองค์นี้ถูกอบรมให้สำเร็จเป็นวิรัติเจตสิกจำพวกกุศล
เจตสิกเป็นเชื้อนอนนิ่งอยู่ในสันดาน เตรียมพร้อมที่จะมาผสมจิตคราวเดียวกันกับ
มรรคองค์อื่นๆ เมื่อได้โอกาสอันเหมาะ แม้องค์มรรคที่ยากๆ เช่นสัมมาทิฏฐิ-สติ-สมาธิ
ก็เหมือนกัน ได้ฝึกอบรมมาเท่าใดก็เข้าไปนอนเนื่องติดอยู่ในสันดานเป็นกุศลเจตสิก
อยู่อย่างเดียวกัน รอคอยกันจนกว่าจะครบทุกองค์และมีสัดส่วนพอดีกัน ก็ประชุมกัน
เป็นอริยมรรคขึ้น ตัดกิเลสหรือสัญโญชน์ให้หมดไปได้คราวหนึ่งตามกำลังหรือชั้นของ
ตน อาการสะสมกำลังแห่งองค์มรรคนี้ตรัสเรียกว่า "การอบรมทำให้มาก"
สัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ เกิดขึ้นอ่อนๆก่อน เกิดขึ้นเท่าใดก็จูงองค์อื่นๆ ให้เกิดขึ้นตามส่วน
องค์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับช่วยสัมมาทิฏฐิให้คมกล้าขึ้นไปอีก สัมมาทิฏฐินั้นก็่จูงองค์นั้นๆให้
กล้าขึ้นอีก และส่งเสริมชักจูงกันไปอีกทำนองนี้ จนกว่าจะถึงขีดที่เพียงพอและสามัคคี
พร้อมกันได้ครบองค์ การอบรมทำให้มากอยู่เสมอนี้เองคือระยะแห่งการปฏิบัติธรรม
ยิ่งมากก็ยิ่งเร็ว ยิ่งอธิษฐานใจกล้าก็ยิ่งแรง ยิ่งที่วิเวกก็ยิ่งสุขุมลึกซึ้ง ยิ่งชำนาญก็ยิ่งคมกล้า
ดีจริงๆค่ะ ใช่เลยที่ว่าสัมมาทิฐิเป็นตัวนำก่อน แล้วก็ไปจูงมรรคข้ออื่นมาสะสมตัวจนเต็มเปี่ยม
ผลที่ได้รับจากมรรคมีองค์ 8 ที่สะสมมีกำลังขึ้น คือ อธิศีล -> อธิจิต -> อธิปัญญา
เมื่อใดที่อธิจิตเกิดขึ้นความเข้มข้นของความสว่างในจิตก็จะมีกำลังมาก
มากพอที่จะเริ่มกำจัดนิวรณ์ 5 อย่างละเอียดแยบคายได้
เมื่อถึงอธิปัญญา นิวรณ์ 5 ก็จะหมดกำลัง แล้วก็จะได้เป็นไทยเสียที
The Strongest is The Gentlest!
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#7
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 11:22 AM
อาจจะตอบช้าไปนิด แต่เผื่อเจ้าของกระทู้ได้เข้ามาอีกที พี่ๆที่ตอบก่อนหน้าตอบได้ดีกันทุกคน แต่อาจจะลึกซึ้งเกินไปสำหรับผู้ที่ได้พึ่งได้เข้ามาศึกษา ดังนั้นผมจะขอตอบต่างจากพี่ๆมัธยมในแบบอนุบาลให้แล้วกันนะครับ ในความคิดด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมคิดแตกต่างจากพี่ๆแบบนี้นะครับ
1. ศีล เป็นสิ่งประคองใจ ทำให้เราได้ฝึกสติในระยะต้น ให้เรามีสติคิดพิจารณาไตร่ตรองในระดับต้น ยกตัวอย่างนะครับ อย่างเราเริ่มรักษาศีล บางคนก็จะเริ่มระวังตัวเองมากขึ้น "เอ๊ะ ทำอย่างนี้จะผิดศีลไหม อุ้ย เผลอไปเหยียบมดตาย เราจะผิดศีลไหม ไม่ดีๆ ต่อไปต้องระวังให้มากกว่านี้ " พอเราคิดแบบนี้ แน่นอนเท่ากับว่าเราฝึกให้ตัวเรามีสติไตร่ตรองก่อนใช่ไหมครับ ว่าสิ่งไหนควรทำไม่ควรทำ ทำให้เราเริ่มระวังตัวเอง เพราะกลัวจะเผลอทำผิดอีก เท่ากับว่าเป็นการกำหนดจิตให้อยู่กับตัวเพื่อให้มีสติถูกไหมครับ เพราะฉนั้นศีลจึงเป็นบทฝึกใจให้มีสติอยู่กับตัว
2. สมาธิ เป็นการฝึกสติในระดับสูงขึ้นมาอีกขั้น ให้ใจและสติอยู่กับตัวเองมากยิ่งขึ้น หรือเป็นการฝึกใจและสติให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราสนใจได้นานยิ่งขึ้น ยกตัวอย่าง หลายท่านคงเคยมีประสบการณ์ เวลาที่เข้าชั้นเรียน ฟังครูสอน บางคนเบื่อก็คิดถึงเรื่องอื่น คิดนู้นคิดนี่ เลยทำให้เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง เท่ากับว่า ใจและสติของเราไม่ได้จดจ่ออยู่กับวิชาที่เราเรียนใช่ไหมครับ ดังนั้นจึงทำให้เรียนไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อเราฝึกสมาธิ ทำให้ใจและสติอยู่กับตัว ทำให้เราสามารถจดจ่อกับการเรียนการสอนได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เราเรียนรู้เรื่องมากขึ้น แน่นอนเมื่อเราเรียนรู้เรื่องมากขึ้นเราย่อมฉลาดขึ้น จึงเป็นที่มาของปัญญาเช่นนี้แล
3. ปัญญา เป็นสิ่งที่เราได้มาเมื่อมีความตั้งใจที่จะศึกษาและเรียนรู้ หากเราไม่มีใจและสติที่คิดตั้งใจที่จะเรียนรู้หรือศึกษา ก้จะไม่สามารถมีปัญญาได้จริงไหมครับ เพราะฉนั้นศีลและสมาธิจึงเป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับฝึกจิตและสติให้จดจ่อในสิ่งที่เราอยากศึกษาและเรียนรู้มากขึ้น แน่นอนเมื่อเรารับความรู้ได้มากก็เท่ากับว่าเราฉลาดขึ้นเป็นผู้มีปัญญามากถูกต้องใช่ไหมครับ เพราะฉนั้น ศีลจึงเกื้อหนุนให้เกิดสมาธิจึงเกื้อหนุนให้เกิดปัญญาด้วยประการฉะนี้แล
ศีล สมาธิและปัญญา หากเราขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ก็เกิดอีก2อย่างได้ครับ เพียงแต่อาจจะเกิดช้ากว่าเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการจะสร้างบ้านสักหลัง แน่นอนสิ่งที่เราต้องการคือ
1. เงินทุนซึ่งหาได้จากการเก็บของเรา เหมือนศีลที่ช่วยฝึกเราให้มีใจและสติอยู่กับตัวมากขึ้นทีละนิด
2. ผังหรือแบบแปลนบ้าน หากไม่มีเราก็คงสร้างผิดสร้างถูกกว่าจะสร้างเสร็จคงยืดเยื้อไปอีกนาน บางทีพอสร้างเสร็จตรงนู้นร้าว ตรงนี้แตก ต้องเสียเวลาซ่อมอีกจริงไหมครับ เหมือนสมาธิที่เป็นเครื่องกำหนดใจและสติให้อยู่ในบ้านได้เร็วขึ้น
3. ความรู้ในการสร้างบ้าน หรือคนงานที่มีความรู้ หากเราขาดคนที่มีความรู้ในการสร้างบ้าน คิดว่าเราจะสร้างได้ไหม อาจสร้างได้แต่คงต้องลองผิดลองถูกอีกนาน กว่าจะได้เป็นบ้านจริงไหมครับ ซึ่งก็คือปัญญานี่เอง
ถ้าเราขาดสิ่งใดสิ่งนึ่งแน่นอน เราอาจสร้างบ้านเสร็จแต่ก็คงใช้เวลานานพอสมควรจริงไหมครับ หรือสร้างเสร็จได้แต่บ้านก็คงไม่ดีเท่าที่ควร แต่หากเรามีครบทั้ง3สิ่งนี้ เราก็คงจะสร้างได้เร็วขึ้นจริงไหมครับ
1. ศีล เป็นสิ่งประคองใจ ทำให้เราได้ฝึกสติในระยะต้น ให้เรามีสติคิดพิจารณาไตร่ตรองในระดับต้น ยกตัวอย่างนะครับ อย่างเราเริ่มรักษาศีล บางคนก็จะเริ่มระวังตัวเองมากขึ้น "เอ๊ะ ทำอย่างนี้จะผิดศีลไหม อุ้ย เผลอไปเหยียบมดตาย เราจะผิดศีลไหม ไม่ดีๆ ต่อไปต้องระวังให้มากกว่านี้ " พอเราคิดแบบนี้ แน่นอนเท่ากับว่าเราฝึกให้ตัวเรามีสติไตร่ตรองก่อนใช่ไหมครับ ว่าสิ่งไหนควรทำไม่ควรทำ ทำให้เราเริ่มระวังตัวเอง เพราะกลัวจะเผลอทำผิดอีก เท่ากับว่าเป็นการกำหนดจิตให้อยู่กับตัวเพื่อให้มีสติถูกไหมครับ เพราะฉนั้นศีลจึงเป็นบทฝึกใจให้มีสติอยู่กับตัว
2. สมาธิ เป็นการฝึกสติในระดับสูงขึ้นมาอีกขั้น ให้ใจและสติอยู่กับตัวเองมากยิ่งขึ้น หรือเป็นการฝึกใจและสติให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราสนใจได้นานยิ่งขึ้น ยกตัวอย่าง หลายท่านคงเคยมีประสบการณ์ เวลาที่เข้าชั้นเรียน ฟังครูสอน บางคนเบื่อก็คิดถึงเรื่องอื่น คิดนู้นคิดนี่ เลยทำให้เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง เท่ากับว่า ใจและสติของเราไม่ได้จดจ่ออยู่กับวิชาที่เราเรียนใช่ไหมครับ ดังนั้นจึงทำให้เรียนไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อเราฝึกสมาธิ ทำให้ใจและสติอยู่กับตัว ทำให้เราสามารถจดจ่อกับการเรียนการสอนได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เราเรียนรู้เรื่องมากขึ้น แน่นอนเมื่อเราเรียนรู้เรื่องมากขึ้นเราย่อมฉลาดขึ้น จึงเป็นที่มาของปัญญาเช่นนี้แล
3. ปัญญา เป็นสิ่งที่เราได้มาเมื่อมีความตั้งใจที่จะศึกษาและเรียนรู้ หากเราไม่มีใจและสติที่คิดตั้งใจที่จะเรียนรู้หรือศึกษา ก้จะไม่สามารถมีปัญญาได้จริงไหมครับ เพราะฉนั้นศีลและสมาธิจึงเป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับฝึกจิตและสติให้จดจ่อในสิ่งที่เราอยากศึกษาและเรียนรู้มากขึ้น แน่นอนเมื่อเรารับความรู้ได้มากก็เท่ากับว่าเราฉลาดขึ้นเป็นผู้มีปัญญามากถูกต้องใช่ไหมครับ เพราะฉนั้น ศีลจึงเกื้อหนุนให้เกิดสมาธิจึงเกื้อหนุนให้เกิดปัญญาด้วยประการฉะนี้แล
ศีล สมาธิและปัญญา หากเราขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ก็เกิดอีก2อย่างได้ครับ เพียงแต่อาจจะเกิดช้ากว่าเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการจะสร้างบ้านสักหลัง แน่นอนสิ่งที่เราต้องการคือ
1. เงินทุนซึ่งหาได้จากการเก็บของเรา เหมือนศีลที่ช่วยฝึกเราให้มีใจและสติอยู่กับตัวมากขึ้นทีละนิด
2. ผังหรือแบบแปลนบ้าน หากไม่มีเราก็คงสร้างผิดสร้างถูกกว่าจะสร้างเสร็จคงยืดเยื้อไปอีกนาน บางทีพอสร้างเสร็จตรงนู้นร้าว ตรงนี้แตก ต้องเสียเวลาซ่อมอีกจริงไหมครับ เหมือนสมาธิที่เป็นเครื่องกำหนดใจและสติให้อยู่ในบ้านได้เร็วขึ้น
3. ความรู้ในการสร้างบ้าน หรือคนงานที่มีความรู้ หากเราขาดคนที่มีความรู้ในการสร้างบ้าน คิดว่าเราจะสร้างได้ไหม อาจสร้างได้แต่คงต้องลองผิดลองถูกอีกนาน กว่าจะได้เป็นบ้านจริงไหมครับ ซึ่งก็คือปัญญานี่เอง
ถ้าเราขาดสิ่งใดสิ่งนึ่งแน่นอน เราอาจสร้างบ้านเสร็จแต่ก็คงใช้เวลานานพอสมควรจริงไหมครับ หรือสร้างเสร็จได้แต่บ้านก็คงไม่ดีเท่าที่ควร แต่หากเรามีครบทั้ง3สิ่งนี้ เราก็คงจะสร้างได้เร็วขึ้นจริงไหมครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#8
โพสต์เมื่อ 25 October 2006 - 06:13 PM
สาธุ
เพียง. . .เพื่อดำรงชีวิตอยู่ให้มีคุณค่า
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
เพียงพอ