แบบนี้ถือว่าผิดศีลข้อ 3 หรือไม่ค่ะ
#1
โพสต์เมื่อ 26 August 2005 - 09:42 PM
อย่างนี้ถือว่าผิดศิลไหมค่ะ จะมีกรรมอย่างไร และตั้งใจรักษาศิล 8 ทุกวันพระจะมีผลบุญได้อย่างไรบ้างค่ะ
ขออนุโมธนาค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 26 August 2005 - 11:52 PM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด
2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด
3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี
5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นสูตรสำเร็จของคุณครู ช่วยได้ทุกเรื่องคร้าบ
#3 *Guest*
โพสต์เมื่อ 27 August 2005 - 07:54 AM
#4
โพสต์เมื่อ 27 August 2005 - 02:21 PM
http://www.dmc.tv/fo...topic.php?t=517
จะผิดศีลข้อ ๓ หรือไม่นั้น ต้องดูที่องค์ ๔ คือ
๑. อคมนียวตฺถุ วัตถุที่ไม่ควรถึง (คือชาย หรือหญิงที่มีเจ้าของ หรือมีผู้คุ้มครองดูแลรักษา ทั้ง 20 ข้อ)
๒. ตสฺมึ เสวนจิตตํ จิตคิดจะเสพในวัตถุนั้น
๓. เสวนปฺปโยโค พยายามที่จะเสพ
๔. มคฺเคน มคฺคปฺปฏิปตฺติ อธิวาสนํ ทำมรรคต่อมรรคให้ถึงกัน
อคมนิยวัตถุ ๒o ประกอบด้วยหญิงหรือชายที่
๑.) มีมารดาปกครอง เพราะบิดาตายและ/หรือแยกจากกันไป
๒.) มีบิดาปกครอง เพราะมารดาตายและ/หรือแยกจากกันไป
๓.) อยู่ในปกครองของทั้งบิดาและมารดา
๔.) มีพี่สาวหรือน้องสาว ดูแลรักษา
๕.) มีพี่ชายหรือน้องชาย ดูแลรักษา
๖.) มีญาติเป็นผู้ปกครอง
๗.) มีบุคคลในวงศ์ตระกูลหรือเชื้อชาติเดียวกันเป็นผู้ปกครองดูแล อาทิ คนที่ไปอยู่ต่างประเทศซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของสถานฑูต
๘.) มีหัวหน้าเป็นผู้ปกครอง อาทิ อยู่ในเพศพรหมจรรย์ แล้วมีหัวหน้าสำนัก/เจ้าอาวาสเป็นผู้ดูแลรักษา
๙.) ผู้มีอำนาจจองตัวไว้
๑o.) มีผู้หมายมั่นไว้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือมีคู่หมั้นแล้ว
๑๑.) เป็นผู้ถูกผู้อื่นซื้อหรือถูกไถ่ตัวไว้แล้ว โดยหญิงหรือชายผู้ถูกซื้อ/ไถ่ตัวนั้น ยินยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ครอบครอง
๑๒.) เป็นผู้สมัครใจไปอยู่เป็นสามีภรรยากับผู้อื่นอยู่ก่อนแล้ว
๑๓.) เป็นฝ่ายยินยอมเป็นสามีภรรยาของผู้อื่น ด้วยปรารถนาทรัพย์ศฤงคาร
๑๔.) เป็นฝ่ายยินยอมเป็นสามีภรรยาของผู้อื่น ด้วยปรารถนาเครื่องนุ่งห่ม
๑๕.) แต่งงาน (โดยผ่านการประกอบพิธีแล้ว)
๑๖.) เป็นสามีภรรยาของผู้ที่ให้ความช่วยเหลือให้พ้นจากความยากลำบาก
๑๗.) เป็นเชลยของผู้อื่น และตกไปเป็นภรรยา/สามีของผู้เป็นเจ้าของเชลยนั้น
๑๘.) เป็นลูกจ้าง และตกเป็นภรรยา/สามีของนายจ้าง
๑๙.) เป็นทาส และตกเป็นภรรยา/สามีของเจ้าของทาส
๒o.) เป็นภรรยา/สามีชั่วคราวของผู้ว่าจ้าง
ส่วนการรักษาศีล 8 ทุกวันพระ ก็จะช่วยตัดรอนวิบากกรรมกาเมได้ครับ (และก็มีอานิสงส์อื่นๆ อีกมากมาย) การตั้งใจรักษาศีล 8 แม้เพียงวันเดียว อานิสงส์ยังทำให้ได้ไปเกิดเป็นเทวดา ในชั้นดาวดึงส์เลยครับ (ไม่แน่ใจว่าเฟส อะไร)
#5 *ขอแจมค่ะ*
โพสต์เมื่อ 27 August 2005 - 11:37 PM
#6 *Guest*
โพสต์เมื่อ 28 August 2005 - 09:27 AM
กรณีที่บรรลุนิติภาวะ มีการงานทำแล้ว แต่มีพ่อแม่อยู่ต่างจังหวัดแต่ท่านไม่ได้ทราบเรื่องด้วย อย่างนี้จะถือว่ากระทำผิดศิลด้วยมั้ยค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 28 August 2005 - 01:49 PM
ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็นับว่ายังมีพ่อแม่อยู่ค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่สำคัญที่สุดสำหรับศีลข้อ 3 คือ
ควรระมัดระวัง ไม่คบหาหรือร่วมประเวณีกับผู้ที่มีคู่ครองแล้ว
หรือถ้าเรามีคู่ครองแล้ว ก็ไม่ควรนอกใจคู่ครองค่ะ
#8
โพสต์เมื่อ 29 August 2005 - 12:47 AM
ให้เอาดอกไม้ พวงมาลัยสวยๆ ไปขอขมาคู่กรณีให้หมดครับ ดั่งมี case study ที่ผ่านมา ที่ทหารของพระราชาองค์ที่ออกบวช ถึงแม้จะเคยเจ้าชู้ก่อนที่จะออกบวชตามพระราชา แต่ชาตินี้ก็ยังสามารถกลับมาเกิดเป็นผู้ชายได้ ทั้งนี้เพราะทหารท่านนั้นก่อนออกบวช ได้ทำการขอขมาอย่างจริงใจกับคู่กรณีทุกๆคนครับ
ส่วนอีกเคสหนี่ง เคยมีผู้ที่มีภรรยาน้อย(มาก)ในชาติปัจจุบันนี้ เรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อถึงทางแก้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านก็เมตตา ตอบว่าให้นำดอกไม้ พวงมาลัยสวยๆ ไปกรายขอขมาภรรยาหลวง หนักก็จะเป็นเบาครับ
การขอขมานี้สามารถใช้ได้กับศีลทุกข้อเลยครับ (ถ้าเจ้าของบริษัทน้ำเมา มาขอขมาคนไทยทั้งประเทศจะช่วยได้บ้างหรือเปล่าน้า...)
#9
โพสต์เมื่อ 29 August 2005 - 01:47 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#10 *Guest*
โพสต์เมื่อ 29 August 2005 - 05:54 AM
และคำว่า "หญิงที่มีบิดามารดารักษา" ก็ไม่ใช่หมายความแค่ว่า มารดาบิดายังมีชีวิตอยู่เท่านั้นนะคะ มิฉะนั้นแล้วจะใช้คำว่า "รักษา" หรือ "ปกครอง" (ตามข้อความดั้งเดิมในอคมนิยวัตถุ 20) ไปทำไมกัน?
หลัก "อคมนิยวัตถุ" ทั้ง 20 ข้อนั้นรวมความได้ว่า "หญิงหรือชายที่มีเจ้าของ" คำว่า "เจ้าของ" ไม่ใช่หมายความเฉพาะแฟนหรือสามีภรรยาเท่านั้น แต่หมายถึงทุกคนที่ดูแลรักษาหรือปกครองเราอยู่ซึ่งการมีความสัมพันธ์ทางเพศของเรากับคนอื่นอย่างไม่ถูกต้องจะทำให้คนที่ดูแลรักษาหรือปกครองเรานั้นเป็นทุกข์ใจ
ทุกคนยอมรับใช่ไหมค่ะว่าการมีความสัมพันธ์กับคนที่มีสามีภรรยาแล้วเป็นสิ่งที่ผิด และที่มันผิดก็เพราะจะทำให้สามีภรรยาของคนคนนั้นเป็นทุกข์ใจ นี่ก็เหมือนกันหละค่ะถ้าเราทำให้คนที่ดูแลรักษาเราอยู่ทุกข์ใจมันก็เป็นสิ่งผิดเช่นเดียวกัน และถ้าผู้ที่ดูแลรักษาเรานั้นเป็นผู้ที่มีบุญคุณกับเราและปรารถนาดีต่อเราอย่างแท้จริงก็จะยิ่งผิดมาก
มันไม่สำคัญหรอกนะค่ะว่าคุณบรรลุนิติภาวะแล้วหรือยัง เพราะการบรรลุนิติภาวะเป็นแค่ตัวเลขที่สังคมสมมุติขึ้น อย่าลืมนะค่ะว่าไม่มีหลักธรรมข้อใดที่ขึ้นอยู่กับอายุ มีดมันก็บาดได้ทั้งเด็กและทั้งผู้ใหญ่แหละค่ะ ทีนี้ถ้าดูตามหลัก "อคมนิยวัตถุ" ดังกล่าวก็ต้องถามว่า แม้ว่าคุณอาจจะบรรลุนิติภาวะโดยนิตินัยแล้ว แต่โดยพฤตินัยคุณพ่อคุณแม่ของคุณยังดูแลคุณอยู่หรือเปล่า? คุณยังใช้เงินของคุณพ่อคุณแม่ของคุณอยู่หรือเปล่า? แม้ว่าคุณอาจทำงานแล้วแต่คุณสามารถยืนด้วยตัวเองอย่างแท้จริงหรือยัง เช่นค่าบ้าน ค่ารถ หรืออะไรต่างๆ คุณรับผิดชอบทั้งหมดหรือไม่? คุณพ่อคุณแม่ของคุณท่านได้ตกลงกับคุณว่าคุณสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระตามใจคุณได้อย่างเต็มที่แล้วหรือยัง? ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็แสดงว่าคุณยังมีคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ดูแลรักษาอยู่ตามพฤตินัยและตามความเป็นจริง ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงผิดศีลข้อ 3 แน่นอนค่ะ ไม่ใช่แค่ศีลด่างพร้อยนะคะ แต่เรียกว่าศีลขาดเลยทีเดียว อันนี้บาปมากนะค่ะ อย่าทำเลย และผลกรรมของการผิดศีลข้อ 3 ถ้าตอบง่ายๆ ก็คือมหานรกขุมที่ 3 นั่นแหละค่ะ และถึงแม้ว่าคุณอาจไม่ได้ขอเงินของคุณพ่อคุณแม่ของคุณใช้แล้ว แต่ถ้าการกระทำดังกล่าวทำให้ท่านเป็นทุกข์ใจอันนี้ ก็ยังเรียกว่าผิดอยู่ดีค่ะ คือผิดธรรมค่ะ เป็นการเอาทุกข์มาให้ผู้มีพระคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ของตัวเอง คุณพ่อคุณแม่คือพระอรหันต์ของลูกนะค่ะ เอาทุกข์มาให้ท่านเป็นบาปแน่นอนค่ะ ทุกอย่างต้องทำอย่างถูกต้องนะคะ
ส่วนการรักษาศีล 8 ทุกวันพระก็จะได้บุญแน่นอนค่ะ แต่บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป อะไรที่เราทำเป็นอาจิณมันก็นึกถึงได้ง่ายและย่อมส่งผลก่อน เช่น ถ้าแค่รักษาศีล 8 ทุกวันพระ แต่อีก 6 วันในรอบสัปดาห์เปิดโอกาสล่วงละเมิดได้เต็มที่ มันก็ชัดว่าบาปส่งผลก่อนแน่นอนค่ะ และคนมักจะนึกถึงบาปได้ง่ายกว่านึกถึงบุญด้วยนะคะ อย่าทำเลยนะคะ ถ้าทำแล้วก็ขอให้หยุด ต้องแต่งงานก่อนมันถึงจะเป็นการกระทำที่ถูกต้องเหมาะสมเพราะมันเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้มีบุญมาเกิด แต่การกระทำดังกล่าวก่อนแต่งงานเป็นเรื่องของราคะล้วนๆ ค่ะ คุณครูไม่ใหญ่ท่านเมตตาสอนไว้ว่าการแต่งงานนั้นเพื่อ 1) สร้างบารมีร่วมกัน และ 2) เป็นทางผ่านให้ผู้มีบุญมาเกิด ความรักที่แท้จริงที่จะครองคู่กันก็เช่นกัน คือต้องเป็นความรักเพื่อที่จะสร้างบารมีร่วมกันและเป็นทางผ่านให้ผู้มีบุญมาเกิด ถ้ารักแท้ต้องอดทนได้ ต้องวางใจอยู่เหนือและออกห่างเรื่องกามราคะล้วนๆ อย่างนี้ให้ได้ค่ะ ขออนุญาตใช้คำของคุณครูไม่ใหญ่นะคะซึ่งฟังดูอาจจะแรงไปแต่ท่านก็สอนด้วยความรักค่ะ เพราะมันจะแรงยังไงมันก็เบากว่ามหานรกขุม 3 อยู่ดี คือ "อย่าทำให้สิ่งสูงส่ง (หมายถึงกิจกรรมที่ให้โอกาสผู้มีบุญมาเกิด) กลายเป็นสิ่งสำส่อน" ค่ะ ด้วยรักนะคะ
#11 *คำถาม*
โพสต์เมื่อ 29 August 2005 - 08:29 PM
หรือแต่งงานกันตามกฏหมาย หากใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแบบ
สามีภรรยาแต่ไม่ได้แต่งงาน ถือว่าเป็นคู่ครองกันหรือไม่ครับ
#12
โพสต์เมื่อ 29 August 2005 - 10:22 PM
หรือแต่งงานกันตามกฏหมาย หากใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแบบ
สามีภรรยาแต่ไม่ได้แต่งงาน ถือว่าเป็นคู่ครองกันหรือไม่ครับ
เป็นครับ
#13
โพสต์เมื่อ 30 August 2005 - 01:45 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#14 *ผู้ชายคนหนึ่ง*
โพสต์เมื่อ 30 August 2005 - 05:08 AM
ถ้าจะลอง check ดูว่าความเข้าใจนี้ถูกต้องหรือไม่ ก็จะเห็นว่า concept ที่ว่า "ทุกคนที่ดูแลรักษาหรือปกครองเราอยู่ซึ่งคนผู้นั้นเป็นคนที่จะทุกข์ใจถ้าเราไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนอื่นอย่างไม่ถูกต้อง" generates บุคคลทั้ง 20 ข้อออกมาอย่างชัดเจน เพราะ ไม่ว่าจะเป็น มารดาผู้ปกครองคุณอยู่, บิดาผู้ปกครองคุณอยู่, พี่สาวหรือน้องสาวผู้ดูแลรักษาคุณอยู่, พี่ชายหรือน้องชายผู้ดูแลรักษาคุณอยู่, ญาติผู้ปกครองคุณอยู่, บุคคลในวงศ์ตระกูลหรือเชื้อชาติเดียวกันผู้ปกครองดูแลคุณอยู่, หัวหน้าผู้ปกครองคุณอยู่, ผู้มีอำนาจผู้จองตัวคุณไว้, ผู้ที่หมายมั่นคุณไว้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ฯลฯ บุคคลเหล่านี้จะต้องเป็นทุกข์ใจแน่นอนถ้าคุณไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนอื่นอย่างไม่ถูกต้อง (อ้อ แต่สำหรับคนที่มาแอบชอบคุณซึ่งก็ต้องทุกข์ใจแน่นอนถ้าคุณไปทำอย่างนั้น แต่ในกรณีนี้คนที่มาแอบชอบคุณไม่เข้าข่าย "อคมนิยวัตถุ" ครับ เพราะเขาหรือเธอผู้นั้นไม่ได้ดูแลรักษาหรือปกครองคุณอยู่)
ความเป็นผู้ดูแลรักษาของพ่อแม่เนี่ยสำคัญมากนะครับ เพราะท่านเป็นผู้ที่รักและปรารถนาดีต่อเราอย่างแท้จริง คุณคงไม่คิดว่าความเป็นผู้ดูแลรักษาของพ่อแม่สำคัญน้อยกว่าความเป็นผู้ดูแลรักษาของแฟนหรือสามีภรรยาใช่มั๊ยครับ? หรือคุณคิดว่าความทุกข์ใจที่พ่อแม่ได้รับถ้าลูกของตัวเองไปมีความสัมพันธ์ทางเพศอย่างไม่ถูกต้องมันทุกข์น้อยกว่าทุกข์ของแฟนหรือสามีภรรยาของคนผู้นั้น? ดังนั้นผู้ชายที่ล่วงละเมิดผู้หญิงที่มีพ่อแม่ดูแลรักษาอยู่จึงเป็นผู้ชายที่กำลังเอาเปรียบและเหยียดหยามพ่อแม่ของหญิงผู้นั้น และฝ่ายหญิงเองทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อแม่ต้องเป็นทุกข์ใจก็ยังเลือกที่จะตอบสนองฝ่ายชายให้พอใจเนี่ยก็แสดงว่าหญิงผู้นั้นอกตัญญูต่อพ่อแม่ของเธออยู่นะครับ (ในทางตรงข้ามถ้าฝ่ายชายก็มีพ่อแม่ดูแลรักษาอยู่ อันนี้ก็แสดงว่าฝ่ายหญิงกำลังดูถูกเหยียดหยามพ่อแม่ฝ่ายชาย และฝ่ายชายก็กำลังอกตัญญูต่อพ่อแม่ตัวเองอยู่ครับ)
โดยสรุปแล้วการกระทำดังกล่าวมันผิดศีลข้อ 3 แน่นอนครับ ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์ชั่ววูบหรือไม่ก็ตาม และถ้ายิ่งทำผิดโดยเจตนาเนี่ยยิ่งบาปมากครับ
#15
โพสต์เมื่อ 30 August 2005 - 06:00 AM
ในสังคมต่างประเทศปัจจุบัน ผู้เยาว์จำนวนมากมีความสัมพันธ์ก่อนถึงวัยอันควร และผู้ปกครองจำนวนมาก ก็เฉยๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเฉยจริงหรือเปล่า) ในกรณีนี้ผู้่เยาว์ดังกล่าว ถือว่าอยู่ในข่าย อคมนิยวัตถุทั้ง 20 ข้อ หรือไม่ครับ?
เล่าให้ฟังนิดครับว่าในประเทศที่ผมอยู่ มีสถานะทางสังคมที่เรียกว่า "อยู่ด้วยกัน" แม้ไม่ได้แต่งงานตามกฏหมาย แต่กฏหมายก็คุ้มครองครับ (แต่อาจจะไม่เท่าเทียม กับกรณีที่แต่งงาน) คือเรียกได้ว่าหอบผ้า หอบผ่อนไปอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ ก็ถือว่าอยู่ในสถานะ "อยู่ด้วยกัน" นี้ทันที (เพราะจะต้องไปลงทะเบียนที่อยู่ใหม่ และสามารถตรวจสอบได้ ว่าเป็นที่อยู่เดียวกัน) ในปัจจุบันมีคนจำนวนมาก ที่นิยมใช้สถานะนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าอยากจะเลิกกันก็ทำได้ทันที ไม่ผูกมัดมากเหมือนการแต่งงาน แล้วก็ไม่ต้องเีสียเวลาดำเนินการหย่าให้ยุ่งยาก บางคนที่ผมรู้จักจะ 40 แล้ว ลูกก็โตแล้ว ยังไม่แต่งงานกันเลยก็มี คงกะจะอยู่กันถึงซัก 80 แล้วค่อยแต่งกระมัง วิธีนี้แม้จะช่วยลดอัตราการหย่าร้าง แต่ก็ไม่ได้ลดอัตราการเลิกกัน และ อัตราเด็กที่เกิดมาต้องอยู่กับพ่อเลี้ยง/แม่เลี้ยง ฯลฯ ไม่ได้เลย
#16 *กัลยาณมิตร*
โพสต์เมื่อ 30 August 2005 - 06:13 AM
การบรรลุนิติภาวะเป็นแค่เรื่องทางกฎหมายนะคะ แต่หนูต้องมาดูตามสภาพความเป็นจริง สิ่งที่สำคัญคือความสัมพันธ์ทางใจต่อพ่อแม่ผู้ที่เลี้ยงหนูมาทั้งชีวิต ท่านเป็นคนเดียวที่หนูมั่นใจได้ว่าท่านรักหนูอย่างจริงใจแท้จริง จะทำอะไรลงไปต้องไม่ทำให้ท่านทุกข์กังวลใจ ลองนึกถามตัวเองนะคะว่าถ้าหนูเป็นคุณแม่แล้วลูกของหนูลักลอบมีความสัมพันธ์กับเพื่อนชายหนูจะรู้สึกอย่างไร? ตัวหนูเองก็ควรถามตัวเองดูว่าการตัดสินใจทำอะไรลงไปมันแสดงถึงว่าหนูให้ความสำคัญระหว่างคุณพ่อคุณแม่ของหนูหรือว่าเพื่อนชายของหนูมากกว่ากัน? แล้วการกระทำของเพื่อนชายของหนูแสดงถึงความเคารพคุณพ่อคุณแม่ของหนูและตัวหนูเองหรือไม่? เป็นการแสดงถึงความอดทนจริงใจและให้เกียรติหนูหรือไม่?
แม้ว่าตอนนี้หนูมั่นใจว่าจะสร้างครอบครัวด้วยกัน แต่ยังไม่พร้อมแต่งงานตอนนี้ แต่ช่วงเวลาก่อนแต่งงานนี่มีไว้เพื่อดูใจกันและเตรียมความพร้อมในเรื่องอื่นๆ ใช่ไหมค่ะ? ถ้าเป็นการดูใจก็แสดงว่ายังไม่แน่ใจ แล้วในเมื่อไม่แน่ใจทำไมจึงต้องมอบสิ่งมีค่านั้นให้กับคนที่เรายังไม่แน่ใจละค่ะ? หรือถ้ายังไม่แต่งงานเพราะยังไม่พร้อมในเรื่องอื่นๆ แล้วหนูจะมั่นใจได้ยังไงว่าหนูและเพื่อนชายของหนูจะร่วมกันฝ่าฟันจนถึงวันที่พร้อมและแต่งงานได้สำเร็จ? จะไม่ผิดใจกันและเลิกรากันไปก่อน? จะไม่หมดกำลังใจที่จะสร้างอนาคตด้วยกันไปเสียก่อน? ไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้นแหละค่ะ และเราไม่ควรมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนที่ยังไม่แน่นอนใช่มั๊ยค่ะ? หนูจะใช้คำว่ามั่นใจ (ในระดับหนึ่ง) ได้ก็ต่อเมื่อหนูได้ตัดสินใจแต่งงานกับคนคนนั้นแล้วนะคะ และพอได้แต่งงานกันแล้วจึงจะกล่าวได้ว่าเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม ทำด้วยความรักที่จะสร้างครอบครัวอย่างแท้จริง ไม่ใช่ทำไปเพื่อตอบสนองกามราคะของตัวเองและของอีกฝ่ายเพื่อความสนุกสนานชั่วคราวเท่านั้น
ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมที่มีวัฒนธรรมอย่างไรก็ตาม สังคมหรือประเทศนั้นจะยอมรับการมีความสัมพันธ์ทางเพศกันก่อนแต่งงานหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่ารูปแบบการแต่งงานของสังคมนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม (บางสังคมอาจไม่ต้องมีพิธีเลยก็ได้ จริงๆ แล้วรูปแบบนี่ไม่สำคัญ ซึ่งจะเห็นว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องในหลัก "อคมนิยวัตถุ" ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบพิธีการเลย) แต่ถ้าสิ่งที่เราทำลงไปแล้วมันทำให้พ่อแม่เราไม่สบายใจ ทำไปแล้วมีแต่ความกังวลใจ ทำไปแล้วไม่ให้เกียรติตัวเอง มันก็เป็นสิ่งที่ผิดทั้งนั้นค่ะ ผิดทั้งศีลและผิดทั้งธรรม เป็นการอกตัญญู และเป็นบาปค่ะ
อ้อถึงแม้จะแอบทำโดยไม่บอกให้พ่อแม่ต้องทุกข์ใจมันก็บาปค่ะ เพราะมันก็เหมือนกับการคบชู้โดยไม่บอกให้สามีหรือภรรยาของตัวเองต้องทุกข์ใจนั่นแหละค่ะ ความเป็นผู้ดูแลรักษาของพ่อแม่นี่สำคัญมากนะค่ะ ท่านมีพระคุณกับเรามาก จะตัดสินใจทำอะไรลงไปขอให้ตอบต่อมโนธรรมของตัวเองให้ได้ ไม่อายตัวเองนะคะ
อดีตที่ผิดพลาดต้องไม่เกิดขึ้นอีก จงหมั่นสร้างความดีทำแต่สิ่งที่ถูกต้องในปัจจุบัน ทำแต่สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
ปล. นี่พูดในเชิงศีลธรรมเท่านั้นนะค่ะ แต่แค่ในหลักทางสังคมทั่วไปมันก็ผิดแล้ว ถ้าพลาดตั้งครรภ์ขึ้นมาจะว่ายังไง? ป้องกันยังไงก็พลาดได้นะคะ และถ้าติดโรคร้ายขึ้นมาจะว่ายังไง? ผู้ชายที่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกไม่อดทนจนถึงวันแต่งงานเนี่ย ผู้หญิงเราไม่มีทางมั่นใจได้เลยค่ะว่าเขาจะมีเพศสัมพันธ์กับคุณคนเดียว (คนที่ทำงานแก้ปัญหาสังคมในเรื่องนี้จะรู้ดี) อีกอย่างที่สำคัญคือ การกระทำอย่างนี้ฝ่ายชายจะยิ่งเห็นคุณค่าของเราน้อยลงเรื่อยๆ นะคะ
#17 *Guest*
โพสต์เมื่อ 30 August 2005 - 08:23 AM
ในสังคมต่างประเทศปัจจุบัน ผู้เยาว์จำนวนมากมีความสัมพันธ์ก่อนถึงวัยอันควร และผู้ปกครองจำนวนมาก ก็เฉยๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเฉยจริงหรือเปล่า) ในกรณีนี้ผู้่เยาว์ดังกล่าว ถือว่าอยู่ในข่าย อคมนิยวัตถุทั้ง 20 ข้อ หรือไม่ครับ?
เล่าให้ฟังนิดครับว่าในประเทศที่ผมอยู่ มีสถานะทางสังคมที่เรียกว่า \"อยู่ด้วยกัน\" แม้ไม่ได้แต่งงานตามกฏหมาย แต่กฏหมายก็คุ้มครองครับ (แต่อาจจะไม่เท่าเทียม กับกรณีที่แต่งงาน) คือเรียกได้ว่าหอบผ้า หอบผ่อนไปอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ ก็ถือว่าอยู่ในสถานะ \"อยู่ด้วยกัน\" นี้ทันที (เพราะจะต้องไปลงทะเบียนที่อยู่ใหม่ และสามารถตรวจสอบได้ ว่าเป็นที่อยู่เดียวกัน) ในปัจจุบันมีคนจำนวนมาก ที่นิยมใช้สถานะนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าอยากจะเลิกกันก็ทำได้ทันที ไม่ผูกมัดมากเหมือนการแต่งงาน แล้วก็ไม่ต้องเีสียเวลาดำเนินการหย่าให้ยุ่งยาก บางคนที่ผมรู้จักจะ 40 แล้ว ลูกก็โตแล้ว ยังไม่แต่งงานกันเลยก็มี คงกะจะอยู่กันถึงซัก 80 แล้วค่อยแต่งกระมัง วิธีนี้แม้จะช่วยลดอัตราการหย่าร้าง แต่ก็ไม่ได้ลดอัตราการเลิกกัน และ อัตราเด็กที่เกิดมาต้องอยู่กับพ่อเลี้ยง/แม่เลี้ยง ฯลฯ ไม่ได้เลย
สำหรับข้อดีของรูปแบบการกระทำดังกล่าวก็อย่างที่คุณ paramai พูดค่ะ แต่อย่าลืมดูที่ข้อเสียด้วยนะค่ะ เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการลดคุณค่าของเรื่องการมีชีวิตคู่ลงคือ เริ่มก็ง่าย เลิกก็ง่าย ไม่มีความตั้งใจอุดมการณ์สร้างอนาคตร่วมกันอย่างแท้จริง ไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าจริงจังมุ่งมั่นมีสัญญาใจฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน และที่รีบมาอยู่ด้วยกันก็เพื่อเรื่องเดียวก็เพื่อตอบสนองกามค่ะ หรือคุณว่าไม่ใช่ค่ะ? เอาเรื่องกามเป็นใหญ่ เรื่องอื่นๆ เป็นข้ออ้างทั้งสิ้น เพราะถ้าจะบอกว่าจะได้เรียนรู้กันมากขึ้น ก็ถ้าแค่เรียนรู้จะต้องมาอยู่ด้วยกันด้วยหรือค่ะ? มันบ่งบอกว่าวัฒนธรรมความอดทนเรียนรู้เลือกเฟ้นคนที่เหมาะสมที่สุดเพื่อสร้างครอบครัวที่ดีด้วยกันได้จางหายไป เรื่องเพศมาก่อนเรื่องครอบครัวเรื่องลูกที่จะเกิดในอนาคตตามมาทีหลัง ความรับผิดชอบต่อตนเองต่อครอบครัวต่อลูกลดลง มันเป็นความมักง่ายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ
ดิฉันมั่นใจว่าประเทศที่คุณอยู่ในอดีตมันก็ไม่เป็นอย่างนี้ และในอดีตมันก็ไม่มีปัญหา immature parents, young mums, single parents, abortion, child abuse, child neglect etc. มากมายขนาดนี้ แต่พอกระแสศีลธรรมเสื่อมลง คุณค่าในเรื่องการมีชีวิตคู่ก็ลดลง รูปแบบการ "อยู่ด้วยกัน" จึงเป็นที่ยอมรับมากขึ้น และปัญหาต่างๆ ดังกล่าวที่ตามมาก็มากขึ้นตามลำดับ จากเดิมที่เรื่องของการใช้ชีวิตคู่ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าก็ถูกลดคุณค่าลงมาเหลือเป็นแค่เรื่องของเพศล้วนๆ
ในกรณีที่พ่อแม่เห็นดีเห็นงามด้วย ก็ต้องถามว่าโดยพฤตินัยแล้วพ่อแม่ยังดูแลรักษาคุณอยู่หรือเปล่า? ยังส่งคุณเรียนอยู่หรือเปล่า? ถ้าเป็นอย่างนี้ก็แสดงว่าการ "อยู่ด้วยกัน" นั้นมันผิดศีลแน่ๆ เพราะเข้าข่าย อคมนิยวัตถุข้อ 1 - 3
แต่ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในความดูแลรักษาของพ่อแม่แล้ว และท่านก็เห็นดีเห็นงามกับการ "อยู่ด้วยกัน" ของคุณ อันนี้ก็ 'อาจ' ไม่ผิดศีล แต่อย่างไรก็ตามมันก็ผิดธรรมค่ะ เพราะอย่าลืมว่าการอยู่ด้วยกันอย่างถูกต้องซึ่งก็คือการแต่งงานมีไว้เพื่อ (ตามคำสอนของคุณครูไม่ใหญ่นะคะ) 1) สร้างบารมีร่วมกัน และ 2) เป็นทางผ่านให้ผู้มีบุญมาเกิด แต่การ "อยู่ด้วยกัน" อย่างที่คุณพูดถึงมันเป็นเรื่องของกามราคะล้วนๆ ไม่มีความจริงจังและจริงใจที่จะสร้างครอบครัวเป็นทางผ่านให้ผู้มีบุญมาเกิด เรื่องการสร้างบารมีร่วมกันไม่ต้องพูดถึง มันเป็นกิเลศล้วนๆ ค่ะ (คงไม่ลืมใช่มั๊ยค่ะว่ากิเลศมี 3 ตระกูลคือ ราคะ โทสะ และ โมหะ ค่ะ) การ "อยู่ด้วยกัน" จึงเป็นบาปล้วนๆ ค่ะ ถ้าตอนตายนึกถึงได้แต่เรื่องพวกนี้ไปอบายแน่นอนค่ะ สำหรับพ่อแม่ที่เห็นดีเห็นงามด้วยก็จะได้รับบาปไปด้วยกันกับลูกตามส่วนคะ
อย่าเอาสังคมที่ศีลธรรมเสื่อมทรามมาเป็นบรรทัดฐานเลยนะคะ พวกเขาอาจมีเหตุผลของเขาแต่ก็เป็นเหตุผลบนความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ย่อมผิดพลาดได้อยู่เสมอค่ะ มาศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและปฏิบัติให้เห็นแจ้งด้วยตนเองดีกว่านะคะ
#18 *s*
โพสต์เมื่อ 30 August 2005 - 09:54 AM
#19 *s*
โพสต์เมื่อ 30 August 2005 - 01:26 PM
#20
โพสต์เมื่อ 31 August 2005 - 02:10 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#21
โพสต์เมื่อ 31 August 2005 - 02:50 AM
ตอบ คุณคนใต้
อย่าฟ่าว แปลว่า อย่ารีบร้อนหรือเปล่าคะ จากเพลง เก่งและดี ตี๋อีสาน
#22 *คนใต้*
โพสต์เมื่อ 31 August 2005 - 06:18 AM
ฟ่าว แปว่าอ่าไร ?
#23 *คนชอบสังเกตุ*
โพสต์เมื่อ 31 August 2005 - 08:55 AM
ดังนั้นที่คุณ Guest (29 Aug, 7.54am) บอกว่า
และที่คุณ "ผู้ชายคนหนึ่ง" บอกว่า
ก็นับว่าตรงกับหลักอคมนิยวัตถุอย่างมากทีเดียว
#24
โพสต์เมื่อ 31 August 2005 - 03:50 PM
คุณครูไม่ใหญ่บอกว่า เกือบทุกคนในโลกนี้คือหญิงชายต้องห้าม ยกเว้น 2 กลุ่ม อย่างบางท่านได้ตอบไปแล้ว คือ 1. สามีภรรยา คือให้มีผัวเดียวเมียเดียว
2. หญิงบริการ
ขอเพิ่มเติมข้อหญิงบริการว่า ต้องเป็นคนโสดเท่านั้นถึงจะไม่ผิดศีล แต่ว่าถ้ามีคู่ครองแล้วก็ผิดศีลข้อ 3 เช่นเดียวกันค่ะ เพราะถือว่านอกใจ
เมื่อผิดศีลไปแล้วก็ทำตามหลักวิชชา
อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมด และอย่าทำผิดอีกต่อไป หมั่นสั่งสมบุญกุศลไปเรื่อย ๆ
ถ้าจะดีให้ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายในตัว
#25
โพสต์เมื่อ 03 September 2005 - 02:03 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#26 *ผู้สื่อข่าว*
โพสต์เมื่อ 03 September 2005 - 03:15 AM
และนำไปสู่คำถามที่กว้างขึ้นว่า อะไรคือสิ่งที่ถูก? อะไรคือสิ่งที่ผิด? อะไรคือสิ่งที่ดี? อะไรคือสิ่งที่ชั่ว? อะไรเป็นบุญ? อะไรเป็นบาป? อะไรคือความเหมาะสม? อะไรคือความไม่เหมาะสม?
ก่อนอื่นลองฟังความเห็นของผู้ใหญ่ท่านเหล่านั้นก่อนนะครับ
นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ส.ว.กรุงเทพฯ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการสตรี เยาวชน และผู้สูงอายุ วุฒิสภา กล่าวว่า:
"สังคมน่าจะควรดีใจด้วยซ้ำที่มีการออกมาเปิดเผย รวมถึงการยอมรับอย่างเต็มใจของฝ่ายชาย ก็ถือว่าทำให้ภาพลักษณ์ออกมาดูดี เราต้องแยกให้ออกระหว่างการเป็นแบบอย่าง ซึ่งตรงนี้คิดว่าจะเป็นแบบอย่างให้กับเด็กได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่ามีอะไรกันในช่วงวัยรุ่นที่ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ แต่ขณะนี้น้องแหม่มมีงานมีการทำแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร และในสังคมก็มีเยอะที่อยู่กันก่อนแต่งและมีลูก แต่ชีวิตคู่ก็ยังมีความสุข"
นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช นายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข กล่าวว่า:
"ที่แหม่มกล้าออกมายอมรับต่อสาธารณชนว่า ตนท้องถือเป็นเรื่องกล้าหาญมาก เพราะแหม่มเป็นคนของประชาชน เป็นบุคคลสาธารณะ แต่กล้าที่จะออกมายอมรับความจริง โดยส่วนตัวมองว่า ไม่แปลกเลยกับการที่คุณแหม่มท้องแล้วค่อยออกมาประกาศ เนื่องจากสังคมไทยในปัจจุบัน เรื่องการอยู่ก่อนแต่งเป็นเรื่องธรรมดา และคุณแหม่มก็มีหน้าที่การงาน บรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้งนี้ อยากฝากเตือนเยาวชนที่เห็นข่าวว่า หากยังไม่มีความพร้อมหรือยังเรียนไม่จบก็ยังไม่ควรมีเพศสัมพันธ์"
รศ.สุพัตรา สุภาพ ที่ปรึกษาสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข กล่าวว่า:
"การที่คุณแหม่มตั้งท้องแล้วก็ยังไม่อยากแต่งงานอาจเกิดจากเป็นคนรักอิสระ อยากมีชีวิตโสด ประกอบกับเป็นคนมีความสามารถ มีการงานที่มั่นคง อยากทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องพึ่งใคร หากแต่งงานแล้วอาจจะต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ อยู่กับบ้าน ขณะเดียวกันก็มีกรอบของสามีและครอบครัวของสามีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ทั้งนี้ขอชื่นชมฝ่ายชายที่พยายามขอแต่งงานตลอด เพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป เพราะโดยส่วนตัวแล้วคุณแหม่มเป็นคนน่ารัก น่าแต่งงานด้วย เป็นคนดี ทำมาหากิน และไม่มีประวัติด่างพร้อย"
มีพระอาจารย์ผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมรูปหนึ่งท่านเมตตาให้หลักพิจารณาที่สำคัญอันหนึ่งกับผมไว้ว่า ระดับของความ "ถูก-ผิด" นั้นเรียงจากสูงไปต่ำได้ดังนี้คือ
1) ระดับธรรม
2) ระดับศีล
----------------------------------
3) ระดับขนบธรรมเนียมประเภณี
4) ระดับกฎระเบียบ
5) ระดับกฎหมาย
ระดับ 3 - 5 เรียกว่า "ระดับโลก" เป็นระดับที่ใช้พิจารณาว่าอะไร "เหมาะสม-ไม่เหมาะสม" และมักเป็นเรื่องของการยอมรับของคนในสังคม
ระดับ 1 - 2 เรียกว่า "ระดับธรรม" เป็นระดับที่ใช้พิจารณาว่าอะไรคือ "ดี-ชั่ว" เป็นระดับ "บุญ-บาป" ในระดับธรรมนี้เป็นสิ่งที่ต้องเป็น ไม่ขึ้นกับบริบท ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ถ้าทำถูกในระดับนี้ก็เป็นบุญทันที ถ้าทำผิดในระดับนี้ก็เป็นบาปทันที และแน่นอนครับบุญกับบาปย่อมส่งผลแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ถ้าเราย้อนกลับมาดูในกรณีของคุณแหม่มก็จะเห็นว่าผู้ใหญ่หลายท่านเหล่านั้นล้วนให้ความเห็นใน "ระดับโลก" ทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดได้ให้ความเห็นใน "ระดับธรรม" เลย เพราะในกรณีของคุณแหม่มก็ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดกฎระเบียบ และอาจไม่ผิดขนบธรรมเนียมประเภณีของโลก "ยุคใหม่" จึงอาจเรียกได้ว่า "เหมาะสม" ในสังคมปัจจุบัน
แต่จะผิดในระดับที่สูงขึ้นไปคือใน "ระดับธรรม" หรือไม่นี่ เราควรต้องพิจารณาให้ดีนะครับ สำคัญมากทีเดียวเพราะในระดับนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของความพอใจหรือไม่พอใจจากสังคม แต่เป็นเรื่องของบุญหรือบาปเลยทีเดียว ถ้าพูดให้ตรงกว่านี้ก็ต้องบอกว่าเป็นระดับนรก-สวรรค์เลยทีเดียว ต้องใตร่ตรองให้ดี และนอกจากจะใช้ปัญญาส่วนบุคคลแล้ว เราจำเป็นต้องศึกษาความจริงจากผู้ที่มีปัญญาบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ด้วย ดูว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้หลักไว้ว่าอย่างไร และผมคิดว่าความคิดเห็นของหลายท่านที่ได้ร่วมแสดงในกระทู้นี้ก็นับว่ามีค่าอย่างยิ่งครับ
ขอย้ำตรงนี้นะครับว่าเราไม่ต้องการที่จะไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณแหม่ม เราไม่ต้องการที่จะบอกว่าเธอถูกหรือผิด เราไม่ต้องการที่จะสนับสนุนหรือประจานใครเป็นการส่วนบุคคล แต่ในเมื่อเรื่องนี้ได้ถูกตีแผ่ออกมาทางสื่อทุกแขนงเรียบร้อยแล้ว และถูกนำมาเป็นกรณีตัวอย่าง มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางและคงต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ หลายท่านที่ให้ความเห็นก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่สังคมให้ความเคารพนับถือ แต่ละคนก็ให้ความคิดเห็นตามกรอบความคิดของตัวเอง ดังนั้นในเมื่อพวกเราชาว DMC ก็มีองค์ความรู้ที่มีค่าจากการที่เราได้ศึกษาเรียนรู้จากจานดาวธรรม และเราก็มีกรอบความคิดของเราเอง เราก็น่าจะร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างสรรค์สังคมบนพื้นฐานของความถูกต้องและด้วยความรักและปรารถนาดีต่อสังคมด้วยนะครับ สังคมทุกวันนี้ขาดความรู้ตรงนี้ไปมาก สังคมถูกชี้นำโดยกลุ่มบุคคลผู้มีความรู้แต่ขาดความสมบูรณ์
โอ้พอเขียนเสร็จแล้วก็มาเห็นข้อความของคุณ เกียรติก้องธรณินทร์ พอดี เอาเป็นว่าถ้าใครเบื่อกระทู้นี้แล้วก็ขอเป็นกำลังใจให้ทำความดีต่อไปนะครับ ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความเห็นและผมหวังว่าความเห็นของทุกท่านที่ทำให้กระทู้คำถามนี้ คลี่คลาย และได้ข้อยุติลงได้ ก็จะช่วยทำให้เราเข้าใจกับกรณีของข่าวที่เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างแจ่มชัดมากขึ้น และทำให้เราเลือกทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้องและไม่พลาดสร้างบาปให้กับตนเองครับ
#27
โพสต์เมื่อ 27 September 2005 - 02:59 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#28 *Guest*
โพสต์เมื่อ 27 September 2005 - 10:18 AM
#29
โพสต์เมื่อ 27 September 2005 - 01:25 PM
แต่หากเจอผู้ใหญ่ที่เห็นว่า เรื่องนี้มันเล็กนิดเดียว ไม่เห็นเป็นไร..ฯลฯ
เด็ก ๆวัยรุ่นเหล่านั้น จะมีความคิดเห็นอย่างไร
เออ!พี่แหม่มทำได้ ทำมั๊ยเราจะทำไม่ได้ ฯลฯ
เด็ก ๆ วัยรุ่น กลุ่มนี้ ก็จะเอาเป็นแหม่มตัวอย่าง เอาแหม่มเป็นข้ออ้าง อันนี้อันตรายนะค่ะ ก็การกระทำเช่นนี้ ก็ใช่ว่า ทุกคนจะโชคดีเหมือนแหม่ม ที่ฝ่ายชายนั้นยอมรับ...
#30
โพสต์เมื่อ 10 January 2006 - 02:53 AM
ขอคิดด้วยคนนะครับ การผืดกาเมหรือการเสพกาม หรือเมถุนธรรม ถ้าความหมายของศีล 5 ก็คือไม่ควรไปยุ่งกับ
"หญิงทุกประเภท" "ชายทุกประเภท"
ลองมาฟังความเห็นของพระพุทธเจ้าในเรื่องเมถุนธรรมกันดีกว่าครับ
[๓๓] ที่ชื่อว่า เมถุนธรรม มีอธิบายว่า ธรรมของอสัตบุรุษ ประเพณีของชาวบ้าน มรรยาทของคนชั้นต่ำ ธรรมอันชั่วหยาบ
ธรรมอันมีน้ำเป็นที่สุด กิจที่ควรซ่อนเร้น ธรรมอันคนเป็นคู่ๆ พึงประพฤติร่วมกัน นี้ชื่อว่า เมถุนธรรม.
ที่มา : เล่ม 1 พระวินัยปิฏก มหาวิภังค์ ปฐมภาค
[๒๒๕] คำว่า ของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม ความว่า ชื่อว่าเมถุนธรรมได้แก่ ธรรมของอสัตบุรุษ ธรรมของชาวบ้าน
ธรรมของคนเลว ธรรมชั่วหยาบ ธรรมมีน้ำเป็นที่สุดธรรมอันพึงทำในที่ลับ ธรรมคือความถึงพร้อมแห่งคนคู่ๆ กัน.
เพราะเหตุไร จึงเรียกว่า เมถุนธรรม. เพราะเป็นธรรมของคนทั้งสองผู้กำหนัด กำหนัดกล้า ผู้ชุ่มด้วยราคะ
มีราคะกำเริบขึ้นมีจิตอันราคะครอบงำ เป็นธรรมของคนเช่นเดียวกันทั้งสองคน เพราะเหตุดังนี้นั้น จึงเรียกว่าเมถุนธรรม.
คนสองคนทำความทะเลาะกัน เรียกว่าคนคู่ คนสองคนทำความมุ่งร้ายกัน เรียกว่าคนคู่คนสองคนทำความอื้อฉาวกัน เรียกว่าคนคู่
คนสองคนทำความวิวาทกัน เรียกว่าคนคู่ คนสองคนก่ออธิกรณ์กัน เรียกว่าคนคู่ คนสองคนพูดกัน เรียกว่าคนคู่ คนสองคนปราศรัยกัน
เรียกว่าคนคู่ฉันใด ธรรมนั้นเป็นธรรมของคนทั้งสองผู้กำหนัด กำหนัดกล้า ผู้ชุ่มด้วยราคะ มีราคะกำเริบขึ้นมีจิตอันราคะครอบงำ
เป็นคนเช่นเดียวกันทั้งสองคน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้นจึงเรียกว่า เมถุนธรรม. คำว่า ของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ
ในเมถุนธรรม คือ ของบุคคลผู้ประกอบประกอบทั่ว ประกอบเอื้อเฟื้อ ประกอบพร้อมในเมถุนธรรม คือ ประพฤติในเมถุนธรรม มักมาก
ในเมถุนธรรม หนักอยู่ในเมถุนธรรม น้อมไปในเมถุนธรรม โน้มไปในเมถุนธรรม โอนไปในเมถุนธรรม น้อมใจไปในเมถุนธรรม มีเมถุนธรรมนั้นเป็นใหญ่
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม.
ที่มา : เล่ม 29 พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย มหานิทเทส