พูดถึงภาพอสุภะ ที่ชาวพุทธเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
ดอกไม้ของพระอริยะเจ้า นั้น
มนุษย์ส่วนมากไม่ชอบดู ไม่ชอบชมหรอกครับ
ถ้าให้เลือกชมภาพโสภา สวยๆงามๆ ของคน สัตว์ สิ่งของ กับ
ภาพที่ไม่โสภา น่ารังเกียจ น่ากลัว ของคน สัตว์ สิ่งของ
ผมว่า
มากกว่า 95 % ต้องเลือกดู-ชมภาพโสภา สวยๆงามๆ ของคน สัตว์ สิ่งของ ผมเองก็เลือกชมภาพที่โสภา เหมือนกันแหละครับสำหรับนักปฏิบัติธรรม สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน ที่
ฝึกชมภาพอสุภะ ผมคิดว่า ท่านก็ไม่ได้ชอบดูหรอกแต่ท่านดู
เพื่อพิจารณา ความไม่เที่ยงของสังขาร และรูปขันธ์จะได้สอนตนเองให้เข้าใจสภาพความเป็นจริงของร่างกายมนุษย์
ว่ามีความเสื่อม มีสิ่งปฏิกูล เน่าอยู่ข้างในร่างกาย
จะได้ติดเบรก ราคะ โทสะ โมหะ ในตนเองลงบ้างใจจะได้ปล่อยวาง สงบ สงัดจาก กามราคะ ละนิวรณ์ ใจจะได้หยุด นิ่ง ดิ่งเข้าสู่ภายในได้เร็วแต่สำหรับท่านที่ขวัญอ่อน พอเห็นภาพอสุภะแล้ว
มีทั้งติดเบรกในราคะได้ แต่ก็สะอิดสะเอียน ขวัญหนีดีฝ่อ
ใจยิ่งเตลิดเปิดเปิง ไม่หยุด ไม่นิ่ง และยิ่งฟุ้งซ่านเพราะภาพน่ากลัวมันติดในใจ
จริตแบบนี้ ก็อาจไม่เหมาะกับการ ชมดอกไม้พระอริยะเจ้า หรอกครับผมเอง ครั้งที่อบรมสมาธิแก้ว ณ หมู่บ้านปฏิบัติธรรม
สมาธิแก้วรุ่นนั้นได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ให้ไปชมการผ่าศพ ที่สถาบันนิติเวช
ในคณะมีทั้งพระอาจารย์ , อุบาสิกาที่เป็นบุคลากรใหม่ , สมาธิแก้วทั้งหญิง/ชาย
และเวลาเข้าชมเป็นเวลาช่วง 9 – 10 นาฬิกา
ครั้งนั้นพระเดชพระคุณให้ทำการบ้าน คือ
ทำรายงาน บรรยายขั้นตอนการผ่าศพ รายละเอียดต่างๆที่เราเห็น
บรรยายความรู้สึกที่ได้ชม + ข้อคิดที่ได้จากการชมและประโยชน์ในการสร้างบารมี
และให้วาดภาพ sketch ระบายสีสันให้เหมือนจริงส่งท่านด้วย
แค่ชมภาพหน้าห้องผ่าศพ มีภาพศพ ที่ยังไม่ได้พบญาติ ในสภาพต่างๆ
ทั้งสภาพมีเสื้อผ้า กับ สภาพขึ้นอืด ตัวพอง อวัยวะครบบ้าง ไม่ครบบ้าง
ผิวเหลือง เขียวคล้ำ จนถึงดำเกรียม เห็นหนอนชอนไช
พอได้เข้าไปชมจริงๆ
![ohmy.gif](style_emoticons/default/ohmy.gif)
โอ้โห มันไม่เหมือนที่เราจินตนาการไว้เลยครับ
มีห้องเก็บศพ สภาพใหม่ๆ เรียงเป็นสินค้าในห้างฯเลยครับ
และห้องที่ผ่าศพ ก็มีร่างไร้อาภรณ์ ทั้งหญิง/ชาย อยู่มากมาย รอคิวชำแหละ
อุบาสกเดินนำหน้า เพื่อเปิดทางให้พระอาจารย์เดินสะดวก ปิดท้ายขบวนด้วยอุบาสิกา
ซึ่งเธอก็คงยินดีอยู่แล้ว
เจ้าหน้าที่แต่ละท่าน รวมถึงนักนิติเวช( เรียกถูกไหมเนี่ย) ที่ผ่าศพ บันทึกข้อมูลที่พบ
ดูเฉยๆกับเรื่องแบบนี้ เหมือนกำลังทำงานอยู่ในโรงชำแหละซากสัตว์
เจ้าหน้าที่ท่านอื่นๆในห้อง ที่ไม่ไดเป็นคนผ่าศพก็ฟังเพลง ดนตรีสากลไป ส่ายหัวไป ฮัมเพลงไป
แถมยังดูด Lactasoy กล่องที่พระอาจารย์มอบให้ อย่างเอร็ดอร่อย
เทียบอารมณ์ของพี่ๆเจ้าหน้าที่กับของพวกเรา มันคนละ feel กันเลยครับ
![confused_smile.gif](style_emoticons/default/confused_smile.gif)
ลำพังการเห็นภาพอสุภะ ว่าแย่แล้ว แต่การได้กลิ่นศพ นี่สิครับ
ผมว่าการได้กลิ่นคาวศพ สร้างความรู้สึก แย่ๆมากกว่าการดู ทางสายตาอีกครับเนื่องจากมีการบ้านจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ผมจึงยืนใกล้เหตุการณ์ และตระเวนดูห้องอื่นๆตามสมควร
เพื่อเก็บข้อมูลไปเขียนรายงานให้มากหน่อย
ขอข้ามรายละเอียดการผ่าศพ และสิ่งแวดล้อมนะครับ
มีจังหวะหนึ่ง เจ้าหน้าที่เข็นรถ บรรทุกศพไปติด ศพที่วางกับพื้น
ผมจึงเดินไปช่วยหยิบแขนศพ ออกให้พ้นทางรถเข็น
แต่
มีเสียงที่ทำให้สะดุ้ง นิดๆ คือ
เสียงดังแบบนี้ครับ
อึย
อึย
อึย
ทำอะไรหน่ะผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะกำลังยกแขนศพให้พ้นทางรถเข็น
หันมาดูอีกที อ๋อ เพื่อน ทักผมว่า ทำอะไร
เพราะเพื่อนๆ ไม่กล้าจับศพหน่ะครับ
วันนั้นได้ดูผ่าสัก 2 ศพ คือ
1 ) ศพหญิงวัยกลางคน กินยาฆ่าแมลง ที่จำได้เพราะ กลิ่น คือ
ตอนผ่ากระเพาะอาหาร กลิ่นไบกอนเขียว ปะทะ ฆานะประสาท ฉุนกั่กเลยครับ2 ) พอจำได้ลางๆว่า เป็นศพชายวัยกลางคน ถูกยิง มีรอยกระสุน 11 นัด
ตอนผ่ากระเพาะอาหาร กลิ่นแอลกอฮอล์และกลิ่นอาหารแบบซุปเครื่องในวัว ยังคละคลุ้งอยู่เลย
คงตายในวงสุรามั้งครับ
น้องๆผู้หญิง เตรียมตัวมาดี มียาดม น้ำมันเหลืองมาทางจมูก
มีน้องท่านหนึ่ง สีหน้าไม่ดี เดินออกไปอีกห้องหนึ่ง
สักประเดี๋ยวกลับเข้ามาท่าทางแย่หนักกว่าเดิมอีก
ผมจึงถามว่า
ข้างนอกเป็นไงบ้างเธอปิดปาก ตอบอ้อมแอ้ม
พี่แดงไปดูเองดีกว่าค่ะอ่ะอย่างนี้ต้องพิสูจน์
โอ้โห เข้าใจแล้วครับว่าทำไมน้องท่านนั้น
จึงมีอาการสีหน้าแย่หนักกว่าอยู่ในห้องผ่าศพอีก
เพราะข้างนอกมีแต่ศพที่อืด ตัวพอง ผิวปริ ตาถลน
มีทั้งผิวเหลืองแก่ เขียวแก่ ดำแก่ และหมู่หนอนชอนไชยุ่บยั่บ
มีทั้งศพหญิง / ชาย และที่บวมเป่ง จนดูไม่ออกว่าเพศไหนกันแน่
อย่างที่บอก กลิ่นคาวศพที่เพิ่งตายไม่นาน ว่าโหดแล้ว
ศพที่อยู่นอกห้อง กลิ่นเน่าเหม็น ฉุนสุดโหดกว่ากันเยอะเลยผมยืนดูสักครู่ก็กลับเข้าไปข้างใน ชมการผ่าศพต่อ
หลังการขอบคุณเจ้าหน้าที่ ก็ได้เวลาสำคัญแล้วครับ
อาหารมื้อกลางวันอย่าว่าแต่ผู้หญิงที่ขวัญอ่อนเลยครับ
แม้ผู้ชายขวัญไม่อ่อน ขวัญยังไม่หนี ดียังไม่ฝ่อแบบผม
ยังไม่มีอารมณ์กินข้าวกลางวันเลยพอถึง food centre
ผมนั่งขยี้จมูกอยู่เรื่อยๆ เพราะไม่มียาดม น้ำมันเหลืองทาจมูก
จึงสูดดมกลิ่น สุดหลอน ไปเต็มๆจึงบอกเพื่อนไปว่า
ซื้ออะไรมาก็ได้โถ เพื่อนก็แสนดี ซื้อ ตือฮวน 1 ชามมาให้
ผมก็ตอบตามมารยาท ว่า
ขอบใจนะ เอ็งกินเองเถอะ เดี๋ยวพี่เดินไปซื้อเองกลับมาถึงวัด ตอนเย็นนั่งทำรายงาน
มีเพื่อนหลายท่าน มีทักษะการวาดภาพ และระบายสีสัน ได้เหมือนมาก
ยิ่งถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์ จะนึกกันได้ทันที ว่าภาพนี้แหละที่ยังติดตาใน ติดในใจ
ส่วนผมมีทักษะการวาดภาพน้อย ก็อาศัยสีสันและคำบรรยายข้อมูลแทน
คืนนั้น ทุกคนนอนคุยกันก่อนนอนน้อยกว่าเคย
ปกติผมหลับรวดเดียว แต่คืนนี้ ลุกมาเข้าห้องน้ำ
อย่างที่ทราบกันครับว่า
ยามดึกที่วัด ค่อนข้างเงียบ มีเสียงหริ่งหรีด บรรเลงตามปกติ
แต่คืนนี้ผมรู้สึกวังเวง และเพลงบรรเลงจากธรรมชาติฟังดูชอบกลแฮะ
ขากลับบ้านพัก โอ้โห เห็นเพื่อนๆ นอนเรียงกัน ก็เหมือนทุกคืนที่ผ่านมาแหละครับ
แต่คืนนี้ มันวังเวง ทำให้ผมรู้สึกไปเองว่า
เห็นเพื่อนนอนเรียงกันแล้ว นึกถึงศพใหม่ ๆ ในสถาบันนิติเวช
ใจเริ่มฟุ้งถึงเหตุการณ์ตอนกลางวัน ต้องนั่งสมาธิสักหน่อย
นั่งไปเดี๋ยวเดียว อดไม่ได้ที่จะลืมตามาดู เพื่อนนอน
โอ้ ใช่ เลย เหมือนกันเลยกับเมื่อตอนกลางวัน
จะปลุกใครมานั่งคุยเป็นเพื่อนก็ไม่กล้า งั้น นอนคลุมโปงดีกว่า
เฮ้อ กว่าจะผ่านคืนนั้นไปได้
ภายหลังผมมาคิดว่า
ทำไมตอนดูของจริง ใจเรานิ่ง แบบกำลังรักษาอารมณ์ที่ละเอียดจากสมาธิได้
แต่เมื่อคืน ไม่ได้ดูของจริง แต่กลับฟุ้งซ่านเกินเหตุ เป็นไปได้แฮะ
ตอนนั้นให้คำตอบกับตัวเองว่า
เพราะกลางวันเราตั้งใจดูเพื่อเก็บข้อมูลมาทำรายงาน + กำลังเข้มงวดเรื่องฝึกสมาธินอกรอบ
แม้เห็นศพอสุภะหรือศพสตรีไร้อาภรณ์ ก็งั้นๆ เฉย ๆ ไม่ยินดี หรือยินร้ายอะไร
ส่วนกลางคืน เพิ่งตื่น ไปเข้าห้องน้ำแล้วฟุ้งซ่าน เพราะ
บรรยากาศ ความเงียบ + จิตที่คุ้นการปรุงแต่ง + กำลังสมาธิเราอ่อน
ที่เล่ามานี้เพื่อเป็นข้อคิดว่าภาพอุสภะ แม้จะไม่โสภา ดูแล้วติดตาใน ก็ควรดูไว้บ้างนะครับโดยเฉพาะวัยหนุ่ม วัยสาว นานๆดูสักครั้ง ก็ยังดี
จะได้ไม่ประมาทในวัยหนุ่ม วัยสาวกันมากเกินไป ส่วนภาพสุภะ คน สัตว์ สิ่งของ ดูแล้วสบายใจก็สมควรครับ
แต่ถ้าเป็นภาพการสร้างบารมีของตนเองและหมู่คณะ ในวาระต่างๆ
แบบนี้ดีที่สุด ครับ เป็นการทบทวนบุญเก่า ยิ่งปลื้มในบุญที่ผ่านมา ก็ยิ่งทับทวีดวงบุญให้ใหญ่โตมากขึ้นและใจจะได้มีแต่ภาพการสร้างบุญกุศล ภาพดีๆ ภาพ dmc เป็นเพื่อนแท้ของเราในช่วงจิตสุดท้าย ก่อนถอดกาย นำเราไปสู่เป้าหมายสรวงสวรรค์ที่เราปรารถนาไว้