ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ทางแห่งความดี ตอน พึงละความโกรธ ๑


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 04 December 2006 - 12:42 PM

โดย อ. วศิน อินทสระ

พระพุทธภาษิต
โกธํ ชเห วิปฺปชเหยฺย มานํ
สํโยชนํ สพฺพมติกฺกเมยฺย
ตํ นามรูปสฺมิมสชฺชมานํ
อกิญฺจนํ นานุปตนฺติ ทุกฺขา


คำแปล
บุคคลพึงละความโกรธ สละความถือตัว
ล่วงสังโยชน์ทั้งปวงเสีย ทุกข์ทั้งหลายย่อมไม่ตกถึง
บุคคลเช่นนั้น
ผู้ไม่ข้องในนามรูป ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล


อธิบายความ
๑. พึงละความโกรธ
ความโกรธเป็นอย่างไร รู้จักกันดีอยู่แล้ว ที่ทรงสอนให้ละความโกรธ ก็เพราะความโกรธมีโทษมาก
มีโทษตั้งแต่ตัวผู้โกรธเองและผู้ถูกโกรธ
ที่มีโทษแก่ตัวเองนั้น เช่น
เมื่อความโกรธเกิดขึ้น ทำให้น้ำย่อยอาหารไม่ออกมาตามปกติ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ มือสั่น ปากสั่น

ขาดการควบคุมตน บางคนควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ผลที่ออกมาคือ
การด่า การทุบตี หรือประหารผู้อื่น เมื่อกระทำลงไปเช่นนั้นแล้ว
พอหายโกรธก็เสียใจ แต่ทำคืนไม่ได้เสียแล้ว อาจต้องถูกจองจำทำโทษเป็นเวลานานปี
เสียชื่อเสียงเกียรติยศ เสียอนาคตอันควรจะรุ่งโรจน์

ความโกรธทำให้สติปัญญามืดมน ความโกรธเหมือนเมฆหมอกมาบังแสงสว่างคือดวงปัญญา
สมดังที่พระศาสดาตรัสไว้ว่า

"อนฺธตมํ ตทา โหติ ยํ โกโธ สหเต นรํ เมื่อใดความโกรธครอบงำบุคคลแล้ว เมื่อนั้นเขาย่อมมืดมน"

ดังนี้ เมื่อมืดมนก็เหมือนคนเดินในที่มืดไม่รู้ทางควรเว้นหรือควรเดิน ตกหลุมบ่อ และถูกขวากหนามได้ง่ายเป็นอันตรายแก่ตนเอง นี่คือส่วนที่เป็นโทษแก่ตนเอง

ส่วนที่เป็นโทษแก่ผู้อื่นนั้น คือ
เมื่อผู้โกรธไปด่าว่าเขาอย่างเจ็บแสบ หรือไปประหารเขา
ย่อมทำให้เขาโกรธเคือง ก่อความทุกข์ให้แก่เขา หากเขาต้องตายไปเพราะการประหารนั้น ลูกเมียของเขาก็เดือดร้อนประมาณมิได้ เรียกว่าก่อทุกข์ให้คนจำนวนมาก

มารดาบิดาของเขาก็พลอยเดือดร้อนด้วย ยิ่งรายที่ต้องเลี้ยงพ่อแม่ลูกเมียเพียงตัวคนเดียวแล้ว
พ่อแม่ลูกเมียของเขาจะได้ใครเลี้ยง
ลองคิดดูเถิดว่าคนเหล่านั้นจะลำบากสักปานใด

แม้มารดาบิดาของผู้โกรธเอง ก็ย่อมจะถึงทุกข์โทมนัสหาน้อยไม่ เมื่อรู้ว่าลูกของตน
ต้องได้รับโทษทัณฑ์ ต้องติดคุกตะราง ไปลำบากยากแค้น

ความโกรธเป็นของไม่ดี ก่อทุกข์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นมากมายฉะนี้
ท่านจึงสอนให้ละเสีย ทรงแสดงอานิสงส์ว่า

ผู้ละความโกรธได้แล้วย่อมนอนเป็นสุขและไม่ต้องเศร้าโศก

ส่วนวิธีละความโกรธนั้น ท่านแสดงไว้มากในคัมภีร์วิสุทธิมรรค จะขอยกมากล่าวพอได้ใจ ความดังนี้

วิธีละความโกรธตามนัยวิสุทธิมรรค

(๑) ท่านสอนให้พิจารณาให้เห็นโทษของความโกรธและเห็นคุณของขันติและเมตตาก่อน เพราะบุคคลจะไม่สามารถละสิ่งที่ตนยังไม่เห็นโทษได้

(๒) ให้แผ่เมตตาไปในตนและคนอื่นว่า ขอให้ตนมีความสุขและสรรพสัตว์ทั่วโลกจงมีความสุข
ที่แผ่เมตตาให้ตนนั้น เพื่อให้ตนเป็นพยานว่า ตนรักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นสัตว์อื่นก็ฉันนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น

(๓) เพื่อบรรเทาความแค้นเคือง พึงแผ่เมตตาไปยังบุคคลผู้เป็นศัตรูคู่เวรบ่อยๆ จนใจของผู้แผ่อ่อนโยนลง

(๔) ถ้ายังไม่หาย พึงระลึกถึงพระพุทธโอวาทในกกจูปมสูตรบ่อยๆ ข้อความแห่งกกจูปโมวาทนั้นว่า

"ภิกษุทั้งหลาย หากโจรใจ####มพึงเอาเลื่อยมาเลื่อยเธอให้ขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ถ้าผู้ใดยังคิดประทุษร้ายโจรนั้นอยู่ ผู้นั้นยังหาชื่อว่าทำตามโอวาทเราไม่
"อนึ่ง ผู้ใดโกรธตอบ ผู้นั้นเลวกว่าผู้โกรธก่อน ผู้ไม่โกรธตอบ ชื่อว่าเป็นผู้ชนะสงครามที่ชนะได้โดยยาก ผู้ที่รู้ว่าคนอื่นโกรธตัวแล้ว แต่ส่วนตนเป็นผู้มีสติสงบเสงี่ยมอยู่ ชื่อว่าประพฤติตนเป็นประโยชน์แก่คนทั้งสองฝ่าย คือทั้งแก่ตนและแก่ผู้อื่น"


(๕) ทรงเปรียบคนขี้โกรธเหมือนฟืนเผาผี ที่ไฟติดทั้งสองข้าง ตรงกลางเปื้อนคูถ
จะจับข้างทั้งสองก็ร้อน จะจับตรงกลางก็เหม็น

(๖) ถ้ายังไม่หายโกรธ ก็พึงระลึกถึงความดีของเขาบ้าง คือโดยปกติคนๆหนึ่งย่อมมีอะไรดีอยู่บ้าง
แม้ไม่มากสักอย่างหนึ่ง พึงระลึกถึงส่วนดีอันนั้นของเขาแล้วบรรเทาความโกรธเสีย

(๗) ถ้ายังไม่หายโกรธก็พึงโอวาทตนบ่อยๆ
(ถ้าเป็นพระ) ก็พึงโอวาทว่า สู้อุตส่าห์ละโลกียสุขทั้งปวงซึ่งเป็นสิ่งที่ละได้โดยยากมาแล้ว ไฉนจึงยอมตนให้ตกอยู่ในอำนาจของความโกรธเล่า ฯลฯ คนเป็นเวรกันทำทุกข์ให้ท่านที่กาย เหตุไฉนจึงลงโทษตนเองที่ใจเล่า
ความโกรธทำให้ใจของท่านเป็นทุกข์มิใช่หรือ?
(ในข้อ ๗ นี้มีความละเอียดน่าสนใจมาก ยกมาเล็กน้อยพอเป็นตัวอย่าง)

(๘) ถ้ายังไม่หายโกรธ ท่านสอนให้พิจารณาถึง กัมมัสสกตา คือความที่สัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นของของตน ใครทำกรรมเช่นใดไว้ ย่อมได้รับผลแห่งกรรมเช่นนั้นเอง คือจักปรากฎด้วยกรรมของตนเอง เราเป็นผู้โกรธก็จักต้องได้รับผลแห่งความโกรธนี้เอง ฯลฯ

(๙) ถ้ายังไม่หายโกรธ ก็พึงอนุสรณ์ถึงพระจริยาของพระศาสดาที่เคยทรงลำบากมา เคยทรงทุกข์ทรมานเพราะการกระทำของผู้อื่นมากมายหลายชาติหลายประการ แต่หาได้ทรงผูกโกรธหรือผูกเวรต่อผู้ใดไม่ เช่น
สมัยที่ทรงเป็นช้างรักษาศีล ทรงยอมให้พรานตัดงาถึง ๓ ครั้ง แต่หาได้มีใจประทุษร้ายในพรานนั้นไม่
ในข้อนี้ ท่านประมวลมาซึ่งจริยาของพระศาสดามากหลายในอดีต
เช่น
- สีลวชาดก เรื่องขันติวาทีดาบส
- จูฬธรรมปาลชาดก
- ฉัททันตชาดก
- เรื่องมหากบี่ (ลิงใหญ่)
- เรื่องภูริทัตตชาดก
- เรื่องจัมเปยยกนาคราช
- เรื่องสังขปาลนาคราช เป็นต้น

(๑๐) ถ้ายังไม่หายโกรธ ท่านสอนให้พิจารณาถึงความยาวของสังสารวัฏ ในสังสารวัฏอันยาวนานนี้ คนที่ไม่เคยเป็นมารดา บิดาบุตรธิดา พี่ชาย พี่หญิง
น้องชาย น้องหญิงและญาติสายโลหิตมิตรสหายเป็นไม่มี

เขาเป็นศัตรูคู่เวรกับเราในชาตินี้ แต่ชาติก่อนๆ เขาอาจเคยเป็นมารดาบิดาเป็นต้น ผู้มีอุปการะช่วยเหลือเกื้อกูลเรา บางทีอาจเคยยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเหลือเราก็ได้

(๑๑) ถ้ายังไม่หายโกรธ ก็พึงระลึกถึงอานิสงส์ของเมตตาที่พระทศพลทรงแสดงไว้ ๑๑ ประการ
มีหลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข เป็นต้น

(๑๒) ถ้ายังไม่หายโกรธอีก ท่านสอนให้แยกธาตุ คือ พิจารณาว่าสิ่งทั้งปวงเป็นเพียงธาตุ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเราเขา
มันเพียงสักแต่ว่าธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะโกรธอะไรเล่า

(๑๓) ถ้ายังไม่หายโกรธ ท่านสอนให้เผื่อแผ่แบ่งปัน คือ ให้ของแก่ผู้ที่เราโกรธ หรือรับของที่เขาให้ หากทำได้ดังนี้ ความโกรธเกลียด
ย่อมระงับไปอย่างแน่นอน

ท่านแสดงอานุภาพของทานไว้ว่า

"ทานเป็นเครื่องฝึกคนที่ยังไม่ได้รับการฝึก ยังประโยชน์ทุกอย่างให้สำเร็จ ทายกย่อมบันเทิงด้วยการให้ ฝ่ายปฏิคาหกย่อมนอบน้อมถนอมน้ำใจด้วยปิยวาจา"

ท่านจะเห็นว่า วิธีการของพระพุทธศาสนาในเรื่องนี้ทันสมัยเพียงใด
ข้าพเจ้าได้เคยอ่านตำราจิตวิทยาเกี่ยวกับผลร้ายของความโกรธและอุบายเอาชนะความโกรธมาหลายบทหลายสำนวน เห็นว่ามิได้เกินคำแนะนำที่ทางพระพุทธศาสนาได้ให้ไว้นี้เลย

พระธรรมนั้นเป็น สวากขาตธรรมจริงๆ

ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#2 somch

somch
  • Members
  • 249 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 December 2006 - 06:15 PM

-ขออนุโมทนาสาธุครับ
ได้ความรู้มากขึ้นเยอะเลย
ขอบคุณที่นำธรรมะดีมาให้

สาธุ

#3 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 29 March 2007 - 03:00 PM

ขอกราบอนุโมทนาบุญกับคุณแดงดีด้วยครับ สาธุ