โพสต์เมื่อ 09 January 2007 - 09:58 AM
ขอขยายความคุณชาร์ปสักเล็กน้อยนะครับ การฝันเป็นเรื่องของจิตนิวรณ์ ซึ่งจะเกิดเมื่อเราขาดสติในขณะหลับ เมื่อเราขาดสติ เราไม่สามารถที่จะไปบังคับไม่ให้จิตคิดฟุ้งซ่านไปในเรื่องอื่นได้ ดังนั้น เหตุการณ์ในความฝันจึงเป็นลักษณะคล้ายกับการเพ้อฝันอย่างขาดสติครับ ดังนั้น แม้เราจะปฏิบัติกิจใดที่เป็นอกุศลในความฝัน ไม่ถือว่าบาป และไม่ใช่การอนุโมทนาบาปด้วยครับ แต่ความฝันก็อาจจะเป็นการอนุโมทนาบาปได้อย่างที่คุณชาร์ปว่ามาเช่นกัน นั่นคือ เรามีจิตคิดหมายเอาชีวิตหรืออาฆาตแค้นคนอื่น จนเก็บเอามาเป็นความฝัน แล้วเมื่อตื่นขึ้นมา มีความรู้สึกยินดีที่ฝันเช่นนั้น "แม้ เมื่อคืนนี้เราฝันว่าได้ฆ่ามัน ถูกใจสะใจเราจริงๆ" นี่ถึงจะเป็นการอนุโมทนาบาปครับ
ขอยกตัวอย่างสักเรื่องนะครับ ในขอกำหนดพระวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ห้ามเรื่องการเสพเมถุนไว้และกำหนดโทษสูงสุดคือปาราชิก วันหนึ่งมีพระรูปนั้นฝันว่าได้ร่วมเสพเมถุนกับผู้หญิง เมื่อตื่นขึ้นมาจึงมีความคิดวิตกว่าตนเองจะต้องปาราชิกและมีบาปติดตัว จึงได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทูลถาม ว่าตนเองจะอาบัติไหม จะบาปไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การที่ฝันโดยที่ไม่มีจิตยินดียินร้ายในความฝัน ไม่ต้องอาบัติและไม่บาปแต่อย่างใดครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย