ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ไม่นึกไม่ถึง โดยหลอกอีกแล้ว


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 7 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ThDk

ThDk
  • Members
  • 259 โพสต์
  • Location:Struer, Denmark
  • Interests:จุดมุ่งหมายของการประพฤติพรรหมจรรย์ เพื่อสำรอกราคะ... เพื่อละสังโยชน์... เพื่อถอนอานุสัย.. เพื่อรู้รอบสังสารวัฎอันยืดยาว... เพื่อความสิ้นอาสวะ... เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผลคือ วิชชาและวิมมุติ... เพื่อญาณทัศนะ... เพื่อปรินิพพาน อันปราศจากอุปทาน.

โพสต์เมื่อ 26 January 2007 - 05:26 PM

ปริศนานี้สำหรับผู้มีสติ เป็นอยู่ในปัจจุบัน

อะไรเอ่ย
1. โดนหลอกอีกแล้ว คิดว่าหนีพ้นแล้วนะ ยังมาเจอกันอีก
(อยากโง่เอง จะโทษใครล่ะ)

อะไรเอ่ย
2. หนีแทบตาย ก็ไม่พ้น
พอหยุดดู ก็หายไป

อะไรเอ่ย
3. ไหนๆก็หนีไม่พ้น อยู่ก็อยู่ว่ะ
แต่ต่่างคนต่างอยู่นะพวก

อะไรเอ่ย
4. แกก็ทำหน้าที่ของแก
ฉันก็ทำหน้าที่ของฉัน

หมดเวลาแกก็ไปของแก ฉันก็อยู่ของฉัน ก็เท่านั้นแหละ.

โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชรา ไม่ยั่งยืน

โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่

โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง

โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา.

- สละโลกได้ ก็พ้นทุกข์ได้


#2 72

72
  • Members
  • 37 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 January 2007 - 07:25 PM

ไปถามมโหสถบัณฑิตดีกว่าครับ cool.gif

#3 สาธุโยคีิิ

สาธุโยคีิิ
  • Members
  • 58 โพสต์
  • Interests:ธรรมกาย

โพสต์เมื่อ 26 January 2007 - 08:37 PM

?????
การไม่กระทำบาปทั้วปวง
การยังบุญกุศลให้ถึงพร้อม
การยังจิตใจให้ผ่องแผ้ว
กรรม ๓ อย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฯ

#4 บุญโต

บุญโต
  • Members
  • 2192 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • Interests:ปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 27 January 2007 - 12:00 AM

อุเบกขา – วางเฉย ไม่ต้องยึดไม่ต้องถือ

ความคิดมันคิดแล้วก็ผ่านไป คิดมาแล้วก็ผ่านไป
ต้องอยู่ในปัจจุบัน ไม่ไปอยู่ในอดีต ไม่ไปอยู่ในอนาคต ต้องอยู่กับปัจจุบัน
และปัจจุบันก็ไม่อยู่ด้วยโมหะ แต่อยู่ด้วยสติปัญญา

กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด เกิดขึ้นที่จิตที่ใจ
กิเลสพันห้าที่เกิดในอดีต 500 เกิดในอนาคต 500 เกิดในปัจจุบัน 500
ก็เป็น 1,500 ...เพราะไม่เคยเห็นจิตใจนั่นเอง

ตัณหา108 เกิดในอดีต 36 เกิดในอนาคต 36 เกิดขึ้นในปัจจุบัน 36 ก็เป็นตัณหา 108
เพราะอยู่ด้วยโทสะ โมหะ โลภะ

ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันด้วยปัญญา ปัญญารอบรู้
กิเลสเกิดขึ้นไม่ได้ พระพุทธเจ้าสอนให้แก้ที่ปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบันด้วยสติปัญญา

!!! unsure.gif dont_tell_anyone_smile.gif

#5 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 27 January 2007 - 09:57 AM

กราบอนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ และคำตอบของพี่บุญโตครับ สาธุ

#6 ThDk

ThDk
  • Members
  • 259 โพสต์
  • Location:Struer, Denmark
  • Interests:จุดมุ่งหมายของการประพฤติพรรหมจรรย์ เพื่อสำรอกราคะ... เพื่อละสังโยชน์... เพื่อถอนอานุสัย.. เพื่อรู้รอบสังสารวัฎอันยืดยาว... เพื่อความสิ้นอาสวะ... เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผลคือ วิชชาและวิมมุติ... เพื่อญาณทัศนะ... เพื่อปรินิพพาน อันปราศจากอุปทาน.

โพสต์เมื่อ 27 January 2007 - 03:13 PM

เฉลย ตามความเห็นของข้าพเจ้า

( ใครจะใส่คำตอบอย่างไรก็ได้ค่ะ เพราะ ถูก ของใครก็ของคนนั้น ไม่ใช่ว่าถ้าคำตอบไม่ตรงกับที่ดิฉันเฉลยแล้วจะเป็น ผิด, ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ )

1. สังสารวัฎ ( เรามาเจอกันบ่อยๆ เพราะเรายังไม่พ้นจากสังสารวัฎ เมื่อไหร่ที่เราพ้นได้เราก็ไม่ต้องมาเจอกันในกองทุกข์นี้ เพราะ ทุกข์ เราจึงต้องรักกัน สามัคคีกัน ช่วยกัน และอดทนซึ่งกันและกัน )

2. ความทุกข์ ( เราอยากจะพ้นทุกข์แต่เราก็รู้สึกว่า มันไม่พ้นเสียที แต่พอเรา * หยุดดูที่จิต โดยปราศจากการปรุงแต่ง * เราก็จะเห็นว่าทุกข์มันเกิดและมันก็ดับไป ไม่มีทุกข์ไหนที่เกิดแล้วไม่ดับ )

3. ทุกข์ ( สภาพธรรม ที่มันไม่สามารถคงที่อยู่อย่างนั้น มันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา ซึ่งเราเห็นได้ที่ กายและจิต ที่มันเกิดและดับ พอเรามีความรู้สึกตัวเกิดขึ้น ก็เท่ากับต่างคนต่างอยู่ คือกายและจิต ก็อยู่ของเขา และเราก็อยู่ของเราโดยไม่เข้าไปปรุงแต่งด้วยอุปทานในขันธ์ทั้ง 5 นั้น )

4. กายและจิต เขาทำหน้าที่ของเขา เราก็ทำหน้าที่ของเรา หน้าที่ของเรา คือ พิจารณาในขันธ์ 5 คือ รูป (กาย) เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (จิต) เห็นความเกิดขึ้นและดับไป, เห็นบ่อยๆเข้าเราก็จะรู้ว่า ขันธ์ ทั้ง 5 นี้มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และมันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา, เมื่อเราเห็นความจริงของ ไตรลักษณ์ บ่อยๆ เราก็จะคลายความยึดมั่น เมื่อเราคลายความยึดมั่นบ่อยๆ เราก็จะเหมือนงูที่กำลังลอกคราบ คือเห้นว่าหนังกำลังลอกออก หนังนี้ไม่ใช่เรา เราไม่ได้เป็นหนังนั้น. งูนั้นก็จะเห็นตัวจริงของตน. ถ้าท่านเข้าใจท่านก็จะเห็นตัวผู้รู้ คืองู และอวิชชา คือ หนังงู.

จิตดับการปรุงแต่งก่อน เมื่อไม่มีการปรุงแต่ง ก็ไม่มีอวิชชา
เมื่อไม่มีอวิชชา วิชชาก็เกิด และเป็นอยู่อย่าง ผู้รู้ เพราะอวิชชาดับไป
กายดับแตกสลาย เมื่อมีเหตุและปัจจัย ให้เป็นอย่างนั้น
สังสารวัฎก็เป้นอันจบสิ้น.

ถ้าพูดเป็นรูปธรรมให้เห็นคือ เราจุดไฟและปล่อยให้มันดับเอง ให้มันเผาไหม้จนหมดเชื้อ แล้วก็ดับไป เมื่อหมดเชื้อแล้วก็ไม่้สามารถมีไฟได้อีก
เชื้อ คือ กิเลส ตัณหา และอุปทาน. เมื่อหมดแล้วก็จบกิจในพระพุทธศาสนา.
การเจริญ สติปัฏฐาน4 บ่อยๆจะทำให้ กิเลส ตัณหา และอุปทาน ค่อยๆคลายลงและดับสิ้นในที่สุด.

ขอความเจริญในธรรมบังเกิดแก่ผู้ปฎิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.





โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชรา ไม่ยั่งยืน

โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่

โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง

โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา.

- สละโลกได้ ก็พ้นทุกข์ได้


#7 huy072

huy072
  • Members
  • 168 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:เชียงใหม่

โพสต์เมื่อ 27 January 2007 - 06:25 PM

โอ้โหกะจะเข้าชมสักหน่อย
เจอะปัญหาที่ไคตอบแล้ว สาธุๆๆ

#8 wir

wir
  • Members
  • 290 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 January 2007 - 01:09 PM

คำตอบน่าทึ่งมาก