ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

นั่งสมาธิจนบ้า


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 8 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ThDk

ThDk
  • Members
  • 259 โพสต์
  • Location:Struer, Denmark
  • Interests:จุดมุ่งหมายของการประพฤติพรรหมจรรย์ เพื่อสำรอกราคะ... เพื่อละสังโยชน์... เพื่อถอนอานุสัย.. เพื่อรู้รอบสังสารวัฎอันยืดยาว... เพื่อความสิ้นอาสวะ... เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผลคือ วิชชาและวิมมุติ... เพื่อญาณทัศนะ... เพื่อปรินิพพาน อันปราศจากอุปทาน.

โพสต์เมื่อ 27 January 2007 - 03:17 AM

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มี ห้าเกลอนัดแนะกันว่า ให้แต่ละคนแยกย้าย ไปเรียนสมาธิในสำนักต่างๆ ได้ผลอย่างไรให้มาเล่าสู่กันฟัง.

หนึ่งเดือนผ่านไป พวกเขามาเจอกันและเล่าประสบการณ์ให้กันและกันฟัง.

คนแรกบอกว่า " ข้าไปเรียนมา แล้วข้าสามารถทำ
คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกาย ไปตลอดพรหมโลกก็ได้."

คนที่สองบอกว่า " ของข้าเหนือกว่า ข้าสามารถได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกล และใกล้ด้วยทิพยโสตธาตุอันบริสุทธิ์ล่วงโสต ของมนุษย์. "

คนที่สามบอกว่า " ของข้าเหนือกว่า ข้าสามารถระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง."

คนที่สี่บอกว่า " ของข้าเหนือกว่า ข้าสามารถ เห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุ ของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม "

คนที่ห้าเดินก้มหน้าก้มตา และบ่นพึมพรำว่า " ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรเหลือ "

เพื่อนสี่คนแรกกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า " มันนั่งสมาธิจนเป็นบ้าไปแล้ว น่าเวทนานะ "

แล้วคุณล่ะค่ะ ว่าใครบ้าแท้จริง


โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชรา ไม่ยั่งยืน

โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่

โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง

โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา.

- สละโลกได้ ก็พ้นทุกข์ได้


#2 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 27 January 2007 - 09:06 AM

อืม ธรรมะของคุณ ThDk ทำให้ฉุกคิด มองย้อน ดึงตัว ใจ กลับมา อืม กราบอนุโมทนาบุญกับคุณ ThDk ด้วยครับ สาธุ

#3 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 27 January 2007 - 01:44 PM

ความจริง คำว่า "ไม่มีอะไรเหลือ" นี่มันมองได้สองกรณีน่ะครับ ว่าเขาแจ้งโลกจริง หรือ เขาเพี้ยนไปแล้วจริงๆ ตรงนี้ต้องทดสอบเขาดูมากกว่านี้ 4 คนแรกก็ถือว่า ด่วนสรุปเกินไป ควรจะสนทนากับเขาให้มากกว่านี้เสียก่อน
เพราะ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ความเป็นบัณฑิต พึงรู้ได้ด้วยการสนทนา" เช่นเดียวกัน ตัวผมก็เห็นเพิ่มเติมจากที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า "ความเป็นคนบ้า ก็พึงรู้ได้ด้วยการสนทนาเช่นกัน"
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#4 ThDk

ThDk
  • Members
  • 259 โพสต์
  • Location:Struer, Denmark
  • Interests:จุดมุ่งหมายของการประพฤติพรรหมจรรย์ เพื่อสำรอกราคะ... เพื่อละสังโยชน์... เพื่อถอนอานุสัย.. เพื่อรู้รอบสังสารวัฎอันยืดยาว... เพื่อความสิ้นอาสวะ... เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผลคือ วิชชาและวิมมุติ... เพื่อญาณทัศนะ... เพื่อปรินิพพาน อันปราศจากอุปทาน.

โพสต์เมื่อ 27 January 2007 - 03:20 PM

อธิบาย คำพูดของคนที่ 5 ที่ว่า "ไม่มีอะไรเหลือ"

อาสวักขยญาณ

ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้ อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อม หลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่า หลุดพ้นแล้ว. รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนสระน้ำบนยอดเขาใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บน ขอบสระนั้น จะพึงเห็นหอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและ ก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง กำลังว่ายอยู่บ้าง หยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำ เขาจะพึงคิดอย่างนี้ว่า สระน้ำนี้ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว หอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง เหล่านี้กำลังว่ายอยู่บ้าง กำลังหยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำนั้น ดังนี้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น แล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิต ไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้ อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติ สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็น ประจักษ์ข้อก่อนๆ ดูกรมหาบพิตร ก็สามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้ออื่น ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่า
สามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อนี้ ย่อมไม่มี.

โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชรา ไม่ยั่งยืน

โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่

โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง

โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา.

- สละโลกได้ ก็พ้นทุกข์ได้


#5 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 27 January 2007 - 03:39 PM

สาธุ นี่แหละครับ เมื่อสนทนาให้กระจ่างชัด ย่อมได้ข้อมูลมากกว่า แค่คำว่า "ไม่มีอะไรเหลือ" อย่างนี้ แหละครับ เหตุที่สันนิษฐานเช่นนี้ เพราะแถวบ้านเดิมผม เคยมีเหตุน่ะครับ คือ เคยมีหนุ่มเปลือยกายท่อนบน ไว้ผมหนวดยาวรุ่งเรือง มายืนอยู่แถวๆ ถนนใกล้ๆ หมู่บ้าน แล้วเขาก็พร่ำบอกผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาว่า "ข้ารู้ข้าเห็นสัจธรรม ทุกอย่างล้วนว่างเปล่าไม่จีรัง อีกไม่นานโลกจะแตก สิ่งต่างๆ ล้วนไม่มี" เป็นต้น
ผลก็คือ แถวบ้าน โทรศัพท์ให้ตำรวจ มาจับตัวไปรักษาน่ะครับ

ดังนั้น ข้อมูลที่ละเอียดเพิ่มเติม มากขึ้นกว่า เพียงคำว่า "ไม่มีอะไรเหลือ" จึงเป็นสิ่งสำคัญน่ะครับ ช่วยตรวจเช็คข้อมูลให้มากขึ้น
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#6 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 30 January 2007 - 02:43 PM

อ๋อ...อย่างนี้นี้เอง
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#7 Dhamma Bot

Dhamma Bot
  • Members
  • 477 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 01 February 2007 - 08:59 PM

ผู้ที่จะกล่าวว่า "ไม่เหลืออะไรเลย" อย่างน้อยต้องเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าครับ เพราะแม้พระอนาคามี ก็ยังเหลือกิเลสอยู่ ส่วนสี่ท่านแรกในเนื้อเรื่องที่คุยว่าทำโน่นทำนี่ได้คงจะได้อภิญญา 1 ใน 5 ประการกระมังครับ แต่ผมคิดว่าผู้ที่ได้อภิญญา 5 ก็ยังมีสภาวะจิตที่สะอาดระดับหนึ่งนะครับ แม้จะยังไม่เป็นพระอรหันต์ ถือว่ายังเป็นบุคคลผู้ควรบูชาได้ จากบทความนี้ผมคิดว่าคุณสร้างภาพพจน์ให้ผู้ได้อภิญญา 5 ดูจะมีความโอ้อวดอยู่มาก แต่ความจริงแล้วผู้ได้อภิญญา 5 เป็นจำนวนมาก ท่านก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนะครับ คงเป็นเพราะว่าผู้นำเสนอคงอยากให้เห็นว่าอภิญญา 5 ยังมีกิเลสหนากว่า ในความเป็นจริงของการปฏิบัติ ถ้าผู้ทรงอภิญญา 5 มีจิตหยาบกระด้างโอ้อวดเช่นนี้ อภิญญาก็คงจะเสื่อมหมดแล้วล่ะครับ ถ้าผมเลือกได้สำหรับระยะเวลาแห่งชีวิตที่มีจำกัด ก็ขอเป็นผู้ทรงฌานก็ยังดีครับ เพราะมีฌานแล้วยังพอกล้อมแกล้มข่มกิเลสได้ อย่างน้อยตายไปก็สุคติภูมิ คือผมกิเลสหนาน่ะครับ เกรงว่าถ้าตัวเองเรียนปริยัติรู้มากแล้ว จะยกตนข่มผู้อื่น แทนที่จะข่มกิเลสภายในตัว

#8 huy072

huy072
  • Members
  • 168 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:เชียงใหม่

โพสต์เมื่อ 03 February 2007 - 07:43 PM

เค้าอาจจะบอกว่าไม่เหลือ มันแปลได้หลายความหมาย
อาจจะหมายถึงแล้วแต่ตายทุกคนทำนองนี้ปล่าวคะ

#9 ธนกร สงขลา

ธนกร สงขลา
  • Members
  • 192 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 February 2007 - 11:29 AM

คำถามน่าสนใจมากครับ แต่... ผมตอบไม่ได้ครับ ไม่มีปัญญาพอ