..เหตุใด ผู้ที่ปฏิบัติธรรม อุปนิสัย เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทาญาณ จึงมีความมั่นใจ ใน “ พระนิพพานเป็นเมืองแก้ว “ ดังนี้
.......๑) ด้วยมูลเหตุที่ว่าทุกๆท่านที่ปฏิบัติธรรม อุปนิสัย เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทาญาณ ย่อมรู้ได้ด้วยทิพยจักขุญาณ และญาณแปด เป็นพื้นฐาน ได้ทำกำลังใจให้ว่างจากกิเลส จนทรงตัวของการละสังโยชน์ ๑๐ ตั้งแต่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ย่อมมีความรู้ความเข้าใจว่า “ดินแดนพระนิพพานเป็นเมืองแก้ว “ เพราะปัจจัตตังด้วยตนเองตามพระพุทธเจ้า
.......ก็ปัจจัตตังนี้เองนี้ไงครับ....ที่พระพุทธเจ้ามิอาจจะมาอธิบายให้มนุษย์ในโลกนี้ ให้เห็นตามได้ จึงละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า
.......” .ผู้ใดปฏิบัติธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต “ แค่เห็นคถาคตนี้ก็ต้องให้ผู้นั้นปฏิบัติเองแล้วครับ มันอธิบายยากจริงๆ
เมื่อ ท่านผู้ที่ปฏิบัติธรรม อุปนิสัย เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทาญาณ จึงให้ท่านที่สนใจในด้านนี้ ปัจจัตตัง
.......๒) ก็ด้วย ปัจจัตตัง นี้เองพระพุทธเจ้าจึงไม่มีบันทึกกันให้ยุ่งยาก คือผู้ใดใคร่รู้ต้องทำให้ได้และไปดูเอง
.......๓)ท่านผู้ที่ปฏิบัติธรรม อุปนิสัย เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทาญาณ เมื่อเข้าสู้อารมณ์ของอรหันต์ ย่อมรู้อยู่ว่าจะเข้าสู่พระนิพพานนั้น ต้องละกิเลสของความเป็นมนุษย์ “ให้สูญสิ้นจาก ใจ “( ตันหาและ อุปทานขันธ์ )
.......๔)ท่านผู้ที่ปฏิบัติธรรม อุปนิสัย เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทาญาณ เมื่อละกิเลสของความเป็นมนุษย์ ให้สูญสิ้นจาก ใจ ( ตันหาและ อุปทานขันธ์ ) “จึงรู้สุขแห่งไม่เกิดการปรุงแต่งเพื่อตนและบุคคลอื่น “
......๕) เมื่อละสังขาร ของความเป็นมนุษย์แล้ว ย่อมไปตามที่ตนเอง “ปัจจัตตัง “ ตามพระพุทธเจ้า
......๖) หากท่านผู้ใดยังมีความหลงตนเอง ในการเป็น “เถรใบลาน” ไม่ได้ปฏิบัติให้ถึงแก่นความดีนั้น ย่อมไม่ถึงคุณธรรมอันพิเศษ เหนือธรรมอื่นใดคือ “ปัจจัตตัง “ นี้เอง
......๗) ย่อมทำตนดัง มือไม่พายเอาเท้าลาน้ำ...ย่อมทำตนดั่งจระเข้ขวางครอง ย่อมมี มิฉาทิฎฐิ ที่ละเอียดอ่อน ยากแก่คำสั่งและคำสอนของพระพุทธเจ้า
....ในพุทธประวัติก็มีอยู่แล้ว...ทำไมไม่ดูเป็นตัวอย่าง
.....๘) นักปฏิบัติธรรม กลุ่ม “ ฤทธิ์ทางใจ “ ที่มีพื้นฐานที่เนื่องด้วย อุปนิสัย เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทาญาณ ย่อม “ปัจจัตตัง “ ตามครูอาจารย์ และตามพระพุทธเจ้าเป็นเกณฑ์
.......ย่อมมีความเพียรที่รู้ ได้ด้วยทิพยจักขุญาณ และญาณแปด เป็นพื้นฐาน ได้ทำกำลังใจให้ว่างจากกิเลส จนทรงตัวของการละสังโยชน์ ๑๐ ตั้งแต่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ย่อมมีความรู้ความเข้าใจว่า “ดินแดนพระนิพพานเมืองแก้ว ด้วย“ปัจจัตตัง”
.....๙) เมื่อ เข้าใจว่า “ดินแดนพระนิพพานเมืองแก้ว ด้วย“ปัจจัตตัง “มีจริง....ก็เพียงตั้งตนอธิษฐาน ว่า “ ขอไปสู่พระนิพพาน “ ทรงอารมณ์จิตใน “ นิพพิทาญาณ “
.......หากผู้ใดยังมีความฟุ้งซ่านในพระนิพพาน ด้วยอารมณ์จิตของการเป็น มนุษย์ เช่น ยังมีความทะยานอยากใน ตัณหาและ อุปทานขันธ์ ที่จะเข้าพระนิพพาน อย่าง คนไทยที่อยากไปเมืองนอก อย่างนี้ก็ไม่ได้ไป พระนิพพานเมืองแก้วเช่นกัน เพราะถือว่า เป็น “ อุปกิเลสกินในฝ่ายกุศล “
......๑๐) เพราะผู้ที่จะไปพระนิพพานได้นั้น ต้องละ ธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ไว้ที่โลกมนุษย์นี้
...ด้วยเหตุว่า พระธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระพุทธเจ้าให้ข้อธรรม ไว้สอนมนุษย์ ให้มีคุณธรรมของพระอรหันต์
.....๑๒)เมื่อเป็นพระอรหันต์ทิ้งสังขารไว้ที่โลกมนุษย์แล้ว ย่อมไปอุบัติขึ้นที่เมืองพระนิพพานนั้นเอง
“””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
อ้างอิง
http://www.konmeungb...on.asp?GID=2930
สายนี้เขาก็ฝึกค่อนค่างตรงนะครับ
![รูปภาพ](/forum/uploads/photo-thumb-1914.jpg?_r=1178091870)
“ พระนิพพานเป็นเมืองแก้ว”
เริ่มโดย nut33, Feb 28 2007 10:39 AM
มี 4 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#2
โพสต์เมื่อ 28 February 2007 - 03:57 PM
![unsure.gif](style_emoticons/default/unsure.gif)
#3
โพสต์เมื่อ 01 March 2007 - 05:59 PM
หน้าที่ของปุถุชน คนกิเลสยังมาก ปัญญายังหยาบ ก็คงต้องมีหน้าที่ทำกิเลสให้เบาบางลงมากที่สุด ทำปัญญาให้ละเอียดแจ่มใส และอฐิษฐานให้คิดเห็นพูดทำให้ถูกต้องร่องรอย ตรงตามความเป็นจริง
#4
โพสต์เมื่อ 02 March 2007 - 02:26 PM
อย่างที่หลวงปู่ปานบอก ถ้าคิดว่านิพพานสูญก็สูญจากนิพพาน ถ้าคิดว่านิพพานไม่สูญก็ไม่สูญจากนิพพาน
#5
โพสต์เมื่อ 03 March 2007 - 07:08 AM
Very very clear, Thank you very much. Anumothana sathu with k. Bau.
Whitelotus
Whitelotus