ไปที่เนื้อหา


ting074

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 14 Feb 2007
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Mar 30 2008 04:00 PM
-----

โพสต์ที่ฉันโพสต์

ในกระทู้: ขอคำปรึกษา ค่ะ ปรับตัวอย่างไร

22 September 2007 - 06:19 PM

ที่เขาไม่ยิ้ม เขาอาจรู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้หงุดหงิดหรืออารมณ์เสียอะไร เราคิดว่า คนทุกคนก็ต้องมีทั้งช่วงเวลาที่ตลกสนุกสนาน เฉย ๆ ตั้งใจ หรือจริงจังกับบางสิ่งบางอย่าง หน้าตาคงเปลี่ยนไปตามช่วงอารมณ์นั้น ๆ หากต้องทำหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาก็เมื่อย ๆ หน้าอยู่นะ ที่คุณเห็นว่าเขาหน้าบึ้งน่ะ เขาอาจแค่รู้สึกเฉย ๆ อยู่นะ เป็นหน้าเฉยของเขาน่ะ

และที่ว่าถามก็ไม่ตอบ ในขณะนั้น เขาอาจกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับอะไรสักอย่างอยู่ ทำให้ไม่ได้ยินที่คุณถามน่ะ เราก็เป็นเหมือนกันนะ มีอยู่หนหนึ่ง กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ ใจจดจ่ออยู่กับเรื่องราวในหนังสือ พี่มายืนถามอะไรสักอย่างอยู่ข้าง ๆ ห่างแค่ 1-2 ฟุตเท่านั้น แต่เราไม่ได้ยิน พี่เรียกชื่ออยู่ 3-4 ครั้ง เราไม่หัน เพราะไม่ได้ยิน พี่เราโกรธเป็นสัปดาห์ ๆ หาว่าเรียกตั้งนานไม่ยอมขานรับ เราบอกไม่ได้ยินจริง ๆ พี่ก็ไม่เชื่อ บอกว่าห่างแค่ฟุตเดียว จะไม่ได้ยินได้ยังไง (ก็คนมันไม่ได้ยินจริง ๆ นี่นา ไม่ได้แกล้งสักหน่อย)

คุณบอกว่าคุณเบื่อ คุณกลุ้มใจ ที่เขาเป็นอย่างนี้ คุณขอคำแนะนำว่าจะปรับตัวอย่างไร

-> คนแต่ละคนก็มีนิสัยแตกต่างกันไป อย่าไปเบื่อหรือกลุ้มว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น กรณีเพื่อนร่วมงาน ถ้าเขายังรับผิดชอบการงานดีอยู่ ไม่ได้นินทาว่าร้าย หรือทำให้คนอื่นเดือนร้อน เขาจะเฉย มันก็เรื่องของเขา (ก็ตัวเขา หน้าเขานี่ เขาจะทำยังไงก็ได้) คุณจะไปเบื่อ ไปกลุ้มใจทำไมกัน เหนื่อยใจเปล่า ๆ แทนที่จะเอาเวลาไปสนใจเรื่องของเขา หันมาสนใจตนเอง สนใจการงาน สนใจพ่อแม่ของเราดีกว่า


ในกระทู้: ใครมีเทคนิคแก้อาการเหล่านี้บ้างครับ

21 August 2007 - 12:25 AM

อาการที่ว่ามาก็เคยเป็นมาหมดแล้วนะคะ ช่วงอบรมธรรมทายาทหญิง
แรก ๆ ก็อยากเข้าถึงธรรมเหมือนคนอื่น ๆ

พอนั่ง ๆ ไป ลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง
ความต้องการลดลง เอาล่ะ ขอแค่ใจโล่ง โปร่ง เบา สบายก็พอแล้ว

นั่ง ๆ ไป อาการหนักกว่าเดิม แค่หลับตาก็เริ่มตึง เครียด
อารมณ์ตอนนั้น ไม่คิด ไม่ฝันถึงเรื่องการเข้าถึงธรรมอะไรแล้ว แค่ให้หายตึง หายเครียดเป็นพอ จะฟุ้ง จะง่วงโงกเงก จะหลับก็ไม่ว่า (ตอนนั้น พระอาจารย์ถามประสบการณ์คนอื่น ๆ หลายคนบ่นที่ตนเองนั่งฟุ้ง นั่งหลับ เราแอบนึกในใจ ขอเรานั่งฟุ้ง นั่งหลับบ้างได้มั๊ย จะดีใจมากเลย)

หลัง ๆ ไม่รู้เป็นไง นั่ง ๆ ไปหายใจไม่ออก ทรมานมาก ต้องลุกออกไปเดินเรื่อยเปื่อยนอกห้อง ลืมเรื่องที่เรามาปฏิบัติธรรมสักพัก แล้วจึงกลับมานั่งใหม่
พอเป็นถึงขั้นนี้ เริ่มปลง ความต้องการแทบเป็นศูนย์ ไม่กล้าคาดหวังอะไรอีกแล้ว แค่นั่งเอาบุญก็พอแล้ว

จบการอบรมธรรมทายาทหญิงออกมาทั้งอย่างนั้น คือ เวลานั่งสมาธิ ก็ยังติดตึง ติดเครียด

หลังจากนั้นเป็นปี ได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่สวนเพชรแก้ว พอหลับตาก็เริ่มจะตึง คิดในใจ ไม่ไหวแล้ว ถ้ามันจะต้องตึงต้องเครียดอย่างนี้ เราไม่นั่งสมาธิก็ได้ ไม่ได้ลุกออกไปนอกห้องนะคะ แต่ไม่สนใจจะนั่งสมาธิอีกแล้ว พระอาจารย์นำนั่งบอกให้หลับตา ก็ไม่หลับตา ก็นั่งมองวิวเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ๆ เบื่อ ๆ ก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยบ้าง -> แปลกดี วิธีนี้กลับได้ผล นั่งอย่างนี้ไปสักพักกลับรู้สึกใจนิ่งใจรวม พอรู้สึกตัวก็ทำอย่างเดิมอีก พอรู้วิธีอย่างนี้ ดีใจมาก ดีใจที่ตัดสินใจไปปฏิบัติธรรมในครั้งนั้น

ถัดจากนั้น เรานั่งสมาธิ ส่วนใหญ่ จะนั่งฟุ้ง กับนั่งหลับซะมาก แต่ก็มีใจสบายเป็นช่วง ๆ บางคนอาจคิดว่านั่งฟุ้งนั่งหลับแบบนี้ไม่เห็นจะดีตรงไหน แต่สำหรับเรา ได้เท่านี้ เราก็รู้สึกพึงพอใจมากแล้วล่ะ

(บางคนอ่านแล้วอาจคิดว่า แล้วทำไมตอนอบรมธรรมทายาทหญิง ไม่เคยนั่งลืมตาเรื่อยเปื่อยเลยหรือ -> เราคงจะบื้อเองแหละ ก็เวลานั่งสมาธิ มาถึง พระอาจารย์ก็บอกให้หลับตา เราก็คิดว่านั่งสมาธิก็ต้องหลับตา ถ้าไม่หลับตาจะเป็นการนั่งสมาธิหรือ มาคิดดูตอนนี้แล้วก็ตลกดี ทำไมถึงซื่อบื้อได้อย่างนั้น)

นอกจากนี้ หลังจากผ่านมาหลายปี จากการสนทนากับพี่กัลยาณมิตรที่สนิทกันและจากการสังเกตุตนเอง เราก็พบว่าการย้ำคิดหรือย้ำพูดถึงอาการที่ไม่ดีต่าง ๆ (ลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง บีบหัวตา กดลูกนัยตา เกร็ง กดประสาท อยาก ..) ส่งผลให้เรามีอาการอย่างนั้นได้ เช่น เราแก้อาการตึงได้หลายปีแล้ว ปกติไม่เป็นแล้ว แต่พออยู่ ๆ มาคิดถึงว่าเราเคยตึงอย่างนู้นอย่างนี้ ยิ่งพูดกับคนอื่น ๆ เรื่องอาการตึง อาการเกร็ง กดลูกนัยตา พอมานั่งสมาธิ ใจมันจะนึกถึงอาการตึง แล้วจะเป็นอีก ต้องผ่อนคลายอีกหลายวัน

เพราะงั้น ถ้าถามเราว่ามีเทคนิคแก้อาการเหล่านี้อย่างไร ขอแนะนำว่า ตอนนั่งสมาธิอยู่ ถ้าหลับตาแล้วตึง ก็ลืมตา มองอะไรเรื่อยเปื่อยไปก่อน (ช่วงแรก นั่งสมาธิ 30 นาที อาจนั่งลืมตาเรื่อยเปื่อย 20 นาทีก็ได้) เหมือนมานั่งเฉย ๆ ไม่ได้มานั่งสมาธิ และอีกอย่างที่สำคัญมากคือ อย่าพยายามคิดถึงหรือพูดถึงอาการไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ เดี๋ยวนั่งสมาธิ ใจมันจะเป็นไปตามนั้น

ปล. ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์และวิธีแก้ไขที่เราใช้ ซึ่งอาการเดียวกัน แต่ละคนอาจแก้ไม่เหมือนกันก็ได้

ในกระทู้: บัญชีบุญ...

03 June 2007 - 07:34 PM

ดีค่ะ

ส่วนตัว ตนเองก็ทำอยู่ค่ะ โดยจะแยกบันทึกเป็น 2 เล่ม

เล่มแรก บัญทึก ทานบารมี โดยเฉพาะ โดยจะบันทึกว่า วันที่.. ทำบุญ (ทำทาน) อะไรไปบ้าง จำนวนเท่าไหร่ อย่างไร (โอนเงินหรือทำเองที่วัด)

เล่มที่สอง บันทึก บัญชีบุญอื่น ๆ ทั้งหมด เช่น เวลามาวัด ได้มาร่วมทำบุญ ร่วมประกอบพิธีอะไรบ้าง รู้สึกอย่างไร ก็บันทึกในนี้ เวลาอยู่บ้าน นั่งสมาธิมีผลการปฏิบัติธรรมอย่างไร ก็บันทึกในนี้ หรือถ้าได้รับบุญพิเศษอะไรบ้าง ก็บันทึกในนี้ค่ะ

ก็จะเห็นความเป็นไปที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ของตนเองว่า เดือนนี้ไปวัดกี่ครั้ง ทำบุญไปเท่าไหร่ นั่งสมาธิเป็นอย่างไร จิตใจเป็นอย่างไรน่ะค่ะ