ไปที่เนื้อหา


ไก่ฟ้าคราม

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 21 Nov 2007
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Mar 24 2009 07:37 PM
-----

กระทู้ที่ฉันเริ่ม

เรื่องจริง ~ คำถาม ที่พระยายมราช จะถามคนตาย ~

08 February 2009 - 02:35 PM

:-ผู้ที่พระยายมราชจะไม่ถามเมื่อตายจากโลกนี้แล้ว ได้แก่-:

- ผู้ที่ทำบาปโดยส่วนเดียว เพราะผู้นั้น จะลงนรกทันที เช่น พระเทวฑัต ลงเอวจีมหานรกโดยไม่ต้องรอให้ใครถาม หรือนายจุนทะ ผู้ฆ่าสุกร เป็นต้น

- ผู้ที่ทำบุญมาก เพราะผู้นั้น จะไม่ต้องลงนรก เมื่อจุติแล้ว จะปฏิสนธิในสวรรค์ทันที

แต่สำหรับผู้ที่ทำบุญบ้าง ทำบาปบ้าง คละกันไป เมื่อจุติแล้วเกิดพลาดพลั้ง ปฏิสนธิในนรกโลก ผู้นั้นจะถูกพระยายมราชในนรกถาม เพื่อให้ระลึกถึงบุญของตนได้ เรียกว่า เป็นการช่วยของพระยายมราชหากผู้นั้น ระลึกได้ ก็จะจุติจากความเป็นสัตว์ในนรก แล้วเกิดใหม่ทันที

แต่หากผู้นั้น ระลึกไม่ได้ พระยายมราชก็จะทรงสังเวชใจ และสั่งให้นายนิรยบาบาลจัดการกับเขาผู้นั้น

พระพุทธเจ้าทรงแสดงคำถามของพระยายมราชไว้ในพระสุตตันตปิฎก

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
ทูตสูตร


[๔๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวทูต ๓ จำพวกนี้ ๓ จำพวกเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ประพฤติทุจริตทางกายประพฤติทุจริตทางวาจา ประพฤติทุจริตทางใจ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เขาย่อมถูกนายนิรยบาลฉุดแขนไปแสดงต่อพระยายมว่า


"ขอเดชะ ชายผู้นี้เป็นคนไม่เกื้อกูลแก่มารดา ไม่เกื้อกูลแก่บิดา ไม่เกื้อกูลแก่สมณะ ไม่เกื้อกูลแก่พราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในสกุล ขอพระองค์จงลงอาชญาแก่ชายผู้นี้เถิด"

เขาย่อมถูกพระยายมสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่หนึ่งว่า


"ดูกรพ่อ ท่านไม่ได้พบเทวทูตที่หนึ่งซึ่งปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ เขาได้ตอบว่า ไม่พบ พระเจ้าข้า พระยายมจึงได้ถามเขาต่อไปว่า ดูกรพ่อ สตรีหรือบุรุษมีอายุได้ ๘๐ ปี ๙๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปีก็ดี อันเป็นคนชรา มีโครงคดเหมือนกลอน หลังโกง ถือไม้เท้า เดินงกๆ เงิ่นๆ ผ่านความเป็นหนุ่มสาวแล้ว ฟันหักผมหงอก ศีรษะล้าน หนังเ่ยว ตัวตกกระ ท่านไม่ได้พบในพวกมนุษย์บ้างหรือ"

ชายนั้นได้ตอบว่า

"ได้พบ พระเจ้าข้า"

พระยายมจึงถามต่อไปว่า

"ดูกรพ่อ ท่านซึ่งเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้คิดเห็นเช่นนี้บ้างหรือว่า แม้เราก็จักต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ผิฉะนั้น เราจักทำความดีทาง กาย วาจาใจ"

ชายนั้นตอบว่า

"ไม่อาจที่จะคิดเห็นได้เช่นนั้น เพราะมัวประมาทเสีย"
พระยายมได้พูดกะเขาเช่นนี้ว่า


"ดูกรพ่อ ท่านไม่ทำความดีทาง กาย วาจา ใจ เพราะมัวประมาทเสีย ดีละพ่อ ท่านจักถูกทำจนสาสมกับที่ท่านประมาท ก็กรรมชั่วนี้นั้นมารดามิได้ทำให้ บิดามิได้ทำให้ พี่ชายน้องชายมิได้ทำให้ พี่สาวน้องสาวมิได้ทำให้ มิตรอำมาตย์มิได้ทำให้ ญาติสาโลหิตมิได้ทำให้ เทพยดามิได้ทำให้ สมณพราหมณ์มิได้ทำให้ ท่านทำของท่านเอง ท่านนั่นแหละจักเสวยวิบากของกรรมชั่วนั้นเอง"

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่หนึ่งกะผู้นั้นแล้ว จึงสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่สองต่อไปว่า

"ดูกรพ่อ ท่านไม่ได้พบเทวทูตที่สองซึ่งปรากฏในหมู่มนุษย์บ้างหรือ"

เขาได้ตอบว่า

"ไม่พบพระเจ้าข้า" พระยายมจึงได้ถามต่อไปว่า "ดูกรพ่อ สตรีหรือบุรุษที่ป่วย ได้ทุกข์เป็นไข้หนัก นอนจมอยู่ในมูตรคูถของตน อันคนอื่นต้องช่วยพยุงลุก ช่วยป้อนอาหาร ท่านไม่ได้พบในพวกมนุษย์บ้างดอกหรือ" ชายนั้นได้ตอบว่า "ได้พบพระเจ้าข้า"

พระยายมจึงถามต่อไปว่า

"ดูกรพ่อ ท่านนั้นซึ่งเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดเห็นเช่นนี้บ้างหรือว่า แม้ตัวเราก็จักต้องป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ ผิฉะนั้น เราจักทำความดีทางกาย วาจา ใจ"
เขาตอบว่า "ไม่อาจที่จะคิดเห็นได้เช่นนั้น เพราะมัวประมาทเสีย"


พระยายมได้พูดกะเขาเช่นนี้ว่า


"ดูกรพ่อ ท่านไม่ทำความดีทางกาย วาจา ใจ เพราะมัวประมาทเสียดีละพ่อ ท่านจักถูกทำจนสาสมกับที่ท่านประมาท ก็บาปกรรมนี้นั้น มารดามิได้ทำให้ บิดามิได้ทำให้ พี่ชายน้องชายมิได้ทำให้ พี่สาวน้องสาวมิได้ทำให้ มิตรอำมาตย์มิได้ทำให้ ญาติสาโลหิตมิได้ทำให้ เทพยดามิได้ทำให้ สมณพราหมณ์มิได้ทำให้ ท่านทำของท่านเอง ท่านนั่นแหละจักเสวยวิบากกรรมชั่วนั้นเอง"



ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่สองกะบุคคลนั้นแล้ว จึงสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่สามต่อไปว่า

"ดูกรพ่อ ท่านไม่ได้พบเทวทูตที่สามซึ่งปรากฏในพวกมนุษย์บ้างหรือ" เขาตอบว่า "ไม่พบ พระเจ้าข้า"

พระยายมจึงถามต่อไปว่า

"ดูกรพ่อ สตรีหรือบุรุษที่ตายได้วันหนึ่ง สองวัน หรือสามวันก็ดี ขึ้นพองเป็นสีเขียว ชุ่มด้วยน้ำเหลือง ท่านไม่ได้พบในพวกมนุษย์บ้างหรือ" ชายนั้นได้ตอบว่า "ได้พบ พระเจ้าข้า"
พระยายมจึงถามต่อไปว่า

"ดูกรพ่อ ท่านนั้นซึ่งเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดเห็นเช่นนี้บ้างหรือว่า แม้เราก็จะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ผิฉะนั้น เราจักทำความดีทางกาย วาจา ใจ" เขาตอบว่า


"ไม่อาจที่จะคิดเห็นได้เช่นนั้น เพราะมัวประมาทเสีย"

พระยายมได้พูดกะเขาเช่นนี้ว่า

"ดูกรพ่อ ท่านไม่ทำความดีทางกาย วาจา ใจ เพราะมัวประมาทเสีย ดีละพ่อ ท่านจักถูกทำจนสาสมกับที่ท่านประมาท อันบาปกรรมนี้นั้น มารดามิได้ทำให้ บิดามิได้ทำให้ พี่ชายน้องชายมิได้ทำให้ พี่สาวน้องสาวมิได้ทำให้ มิตรอำมาตย์มิได้ทำให้ ญาติสาโลหิตมิได้ทำให้ เทพยดามิได้ทำให้ สมณพราหมณ์มิได้ทำให้ ท่านทำของท่านเอง ท่านนั่นแหละจักเสวยวิบากกรรมชั่วนั้นเอง"


ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่สามกะบุคคลนั้นดังนี้แล้ว ก็นิ่งเสีย


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้นั้นถูกนายนิรยบาลทั้งหลายทำกรรมกรณ์ อันมีเครื่องผูก ๕ อย่าง คือ เอาตาปูเหล็กแดงตอกที่มือ ที่เท้าที่ท่ามกลางอก เขาได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ดร้อน แต่ก็ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นเขาถูกนายนิรยบาลทั้งหลายเอาผึ่งถาก เขาได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ดร้อนแต่ก็ยังไม่ตายตราบเท่าที่กรรมนั้นยังไม่สิ้น


เขาถูกนายนิรยบาลจับเอาเท้าขึ้นเอาหัวลงแล้วเอามีดเฉือน เขาถูกนายนิรยบาลยกขึ้นใส่ในรถ แล้วพาแล่นไปมาบนภูมิภาคอันไฟติดแดงลุกโชน ... เขาถูกนายนิรยบาลไล่ต้อนให้ขึ้นบนภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่ซึ่งไฟติดแดงลุกโชนบ้าง ไล่ต้อนให้ลงจากภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่ ซึ่งไฟติดแดงลุกโชนบ้าง เขาถูกนายนิรยบาลทั้งหลายจับเอาเท้าขึ้นเอาหัวลง แล้วโยนลงในหม้อเหล็กแดงไฟติดลุกโชน


เขาถูกไฟไหม้เดือดเป็นฟองน้ำอยู่ในหม้อเหล็กแดงนั้นเมื่อเขาถูกไฟไหม้เดือดเป็นฟองน้ำอยู่ในหม้อเหล็กแดงนั้น ลอยขึ้นข้างบนครั้งหนึ่งบ้าง จมลงภายใต้ครั้งหนึ่งบ้าง ไปตามขวางครั้งหนึ่งบ้าง เขาได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ดร้อนอยู่ในหม้อเหล็กแดงนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้น





ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มหานรกนั้น


มี ๔ มุม ๔ ประตู จัดแบ่งออกเป็นห้องๆ มีกำแพงเหล็ก
ล้อมรอบ ครอบด้วยฝาเหล็กแดง มีพื้นแล้วด้วยเหล็ก
ไฟลุกโชนประกอบด้วยเปลว แผ่ไปไกลร้อยโยชน์โดยรอบ
ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว พระยายมได้มีความคิดว่า ดูกรท่านผู้เจริญ ได้ทราบว่าผู้ใดกระทำบาปกรรมไว้ในโลก ผู้นั้นต้องถูกนายนิรยบาลทำกรรมกรณ์ต่างๆ เห็นปานนี้ โอหนอ เราพึงได้ความเป็นมนุษย์ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพึงเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ขอให้เราได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอให้พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นพึงทรงแสดงธรรม และขอให้เราพึงรู้ทั่วถึงธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เรามิได้ฟังข้อความนั้นต่อสมณะหรือพราหมณ์อื่น แล้วจึงกล่าวอย่างนี้ แต่ว่าเราได้รู้มาเอง เห็นมาเอง ทราบมาเอง จึงได้กล่าวดังนั้น ฯ


มาณพเหล่าใดอันเทวทูตทั้งหลายตักเตือนแล้ว ยังมัวเมา
ประมาท มาณพเหล่านั้น เป็นคนเข้าถึงหมู่ที่เลวทราม
ย่อมเศร้าโศกตลอดกาลนาน ส่วนสัตบุรุษผู้สงบระงับในโลก
นี้ อันเทวทูตตักเตือนแล้ว ย่อมไม่มัวเมาประมาทในอริย
ธรรมในกาลไหนๆ เห็นภัยในความถือมั่น อันเป็นแดนเกิด
แห่งชาติและมรณะ ย่อมหลุดพ้นในธรรมเป็นที่สิ้นชาติและ
มรณะ เพราะไม่ถือมั่น สัตบุรุษเหล่านั้นเป็นผู้ถึงความเกษม
มีความสุข ดับสนิทในปัจจุบัน ล่วงพ้นเวรและภัยทั้งปวง
ข้ามพ้นทุกข์ทั้งสิ้น ฯ

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
ทูตสูตร

........................

แก้ไข innerspot

การทำบุญ เหมือนข้าว 1เมล็ด

30 January 2009 - 03:31 PM



"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ความตระหนี่ลาภเป็นความโง่เขลา เหมือนชาวนาที่ตระหนี่ไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนา เขาเก็บพันธุ์ข้าวเปลือกไว้จนเน่าและเสีย ไม่สามารถจะปลูกได้อีก ข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ด ย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใด ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้นย่อมมีผลมากผลไพศาล การรวบรวมทรัพย์ไว้โดยมิได้ใช้สอยให้เป็นประโยชน์ ทรัพย์นั้นจะมีคุณแก่ตนอย่างไร เหมือนผู้มีเครื่องประดับอันวิจิตรตระการตาแต่หาได้ประดับไม่ เครื่องประดับนั้นจะมีประโยชน์อะไร รังแต่จะก่อความหนักใจในการเก็บรักษา"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นกชื่อมาหะกะ ชอบเที่ยวไปตามซอกเขาและที่ต่างๆ มาจับต้นเลียบที่มีผลสุกแล้วว่า ของกู ของกู ในขณะที่มันร้องอยู่นั่นเอง หมู่นกเหล่าอื่นที่บินมากินผลเลียบตามต้องการแล้วจากไป นกมาหะกะ ก็ยังคงร้องว่า ของกู ของกู อยู่นั่นเอง ข้อนี้ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้น รวบรวมสะสมทรัพย์ไว้มากมาย แต่ไม่สงเคราะห์ญาติตามที่ควร ทั้งมิได้ใช้สอยเองให้ผาสุข มัวเฝ้ารักษาและภูมิใจว่าของเรามี ของเรามี ดังนี้ เมื่อเขาประพฤติอยู่เช่นนี้ ทรัพย์สมบัติย่อมเสียหายไป ทรุดโทรมไปด้วยเหตุต่างๆ มากหลาย เขาก็คงคร่ำครวญอยู่อย่างเดิมนั่นเอง และต้องเสียใจในของที่เสียไปแล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ฉลาดหาทรัพย์ได้แล้วพึงสงเคราะห์คนที่ควรสงเคราะห์มีญาติ เป็นต้น"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ทรัพย์ของคนไม่ดีนั้น ไม่สู้อำนวยประโยชน์แก่ใคร เหมือนสระโบกขรณีอันตั้งอยู่ในที่ไม่มีมนุษย์ แม้จะใสสะอาดจืดสนิทเย็นดี มีท่าลงสะดวกน่ารื่นรมย์ แต่มหาชนก็หาได้ดื่ม อาบหรือใช้สอยตามต้องการไม่ น้ำนั้นมีอยู่อย่างไร้ประโยชน์ ทรัพย์ของคนตระหนี่ก็ฉันนั้น ไม่อำนวยประโยชน์สุขแก่ใครๆ เลย รวมทั้งตัวเขาเองด้วย ส่วนคนดีเมื่อมีทรัพย์แล้วย่อมบำรุงมารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ให้เป็นสุข บำรุงสมณะพราหมณาจารย์ให้เป็นสุข เปรียบเหมือนสระโบกขรณีอันอยู่ไม่ไกลจากบ้านหรือนิคม มีท่าลงเรียบร้อยสะอาดเยือกเย็น น่ารื่นรมย์ มหาชน ย่อมได้อาศัยนำไปอาบ ดื่ม และใช้สอยตามต้องการ โภคทรัพย์ของคนดี ย่อมเป็นดังนี้ หาอยู่โดยเปล่าประโยชน์ไม่"

อ่านเพิ่มเติม http://www.dharma-ga.../bd-misc-04.htm


อานิสงส์การบวช ทำให้มารดาพ้นจากนรก

26 January 2009 - 04:56 PM

อานิสงส์บวช
http://84000.org/anisong/08.html

...บวชนี้ย่อมมีผลานิสงส์อย่างมากมาย องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสเทนาอานิสงส์แห่งการบรรพชาอุปสมบทไว้โดยอเนกประการว่า ทาสสฺส อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลใดมีศรัทธาบรรพชาทาสกรรมกรให้เป็นสามเณร หรือสามเณร มีอานิสงส์ ๔ กัล์ป บวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณี มีอานิสงส์๘ กัล์ป และถ้าอุปสมบทจะได้รับอานิสงส์ ๑๖ กัล์ป หากอุปสมบทได้อานิสงส์ ๓๒ กัล์ป ถ้าอุปสมบทตนเองในพระพุทธศาสนา ด้วยศรัทธาเลื่อมใสจะได้อานิสงส์ถึง ๖๔ กัล์ป บุคคลใดได้บรรพชาบุตรตนก็ดี บุตรของผู้อื่นก็ดี ก็จะไม่ไปสู่อบายภูมิแล้ว

พระองค์ตรัสอีกว่าดูกรอานนท์ดังจะเห็นได้จากหญิงผู้หนึ่ง เขามีบุตรอยู่คนเดียว บุตรชายเขาขอไปบวชมารดาก็ไม่ให้บวชบุตรชายจึงหนีไปบวช อยู่มาวันหนึ่งมารดาของสามเณรนั้นออกจากบ้านไปแต่เช้า เพื่อจักแสวงหาฟืน มารดาสามเณรครั้นหาฟืนได้พอสมควรแล้วก็กลับบ้าน พอมาถึงระหว่างทางได้พักอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ แล้วลงนอนพักผ่อนก็หลับไป ได้นิมิตรฝันไปว่ามีพระยายมราชมาถามว่า ดูกรผู้หญิง เธอได้กระทำบุญหรือว่าไม่ได้กระทำเลย มารดาของสามเณรนั้นตอบว่าข้าแต่เจ้า ดิฉันไม่ได้กระทำบุญอย่างไรเลย พระยายมราชทราบแล้ว ก็จับเอาผู้หญิงนั้นไปใส่นรกทันที ได้และเห็นไฟนรกลุกโพรงก็ถามพระยายมราชว่า อันไฟแดงนั้นเป็นอย่างไร พระยายมราชว่า อันไฟแดงนั้นเป็นไฟนรก ผู้หญิงจึงบอกว่าเหมือนกับผ้าจีวรของลูกชายของข้าพเจ้าอันได้บวชเป็นสามเณรนั้นแล พระยายมราชจึงกล่าวว่าดูกรผู้หญิง ลูกชายของเธอยังได้บวชหรือนางก็ตอบว่าลูกชายยังได้บวชเป็นสามเณรอยู่พระยายมราชได้ยินคำของนางดังนั้นแล้ว จึงนำนางมาคืนไว้เดิมเสีย เหตุอันนี้ก็เพราะบุญของลูกชายตนได้บวชเป็นสามเณร ในพุทธศาสนาไปกั้นไว้ในนรกได้ ครั้นนางตื่นขึ้นมาก็ตกใจกลัวรีบกลับบ้าน ตั้งแต่นั้นนางก็เลื่อมใสในพุทธศาสนา เฝ้าปฏิบัติสามเณรลูกชายของตน มิได้ขาดจนนางได้ตายไปตามอายุขัยก็ไปบังเกิดในสวรรค์ดั้งนี้ เป็นต้น-------------------------------------------------------------------------------

ทำไมภิกษุณี ห้ามฉันท์ กระเทียม ครับ

21 January 2009 - 09:29 PM

ในพระธรรมวินัย ของ พระภิกษุณี เขาว่าห้ามฉันท์กระเทียม

แล้วของที่ โยม เอามาไส่ ก็มักมีกระเทียมลงไปปน ด้วย โดยเฉพาะในเมืองไทย

แบบนี้ฉันท์ไปไม่ผิดพระธรรมวินัย เหรอ

จิตรกรรมฝาผนังพระพุทธเจ้าฉบับ INTER

19 May 2008 - 01:53 PM

http://www.youtube.c...feature=related