เทวดา-นางฟ้า บนสวรรค์ คงหล่อ-สวย กว่ามนุษย์บนโลก หลายร้อนเท่า ด้วยแรงบุญกุศล
แบบนี้ถ้าเราไปเกิดบนนั้นจะทำอย่างไรไม่ให้หลงไหลความงดงามดี
เพราะเห็นว่า เทวดา-นางฟ้า ไปจุติบนสวรรค์ ก็วัยรุ่นงดงามเลย
ไม่มีเหี่ยว มีหนังยาน ให้เราพิจารณา มีแต่เกิด และตาย ไม่มีแก่ แถมมีอายุความหนุ่มสาว ยาวนานมากมาย
...................
เห็นผู้รู้บอกกันว่า ปัญหาใหญ่ของเทวดา-นางฟ้า ทะเลาะกันที่พบมาก คือเรื่อง กาม การแย่งเทวดา-นางฟ้า มาเป็นของตน
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: ธัมโม
สถิติเว็บบอร์ด
- กลุ่ม Members
- โพสต์ 17
- ดูโปรไฟล์ 4790
- อายุ ไม่เปิดเผย
- วันเกิด ไม่เปิดเผย
-
Gender
ไม่เปิดเผย
0
Neutral
เครื่องมือผู้ใช้งาน
กระทู้ที่ฉันเริ่ม
เจอเทวดา-นางฟ้า สวยๆ จะไม่ไหลทำงัยเหรอ
19 May 2009 - 09:36 PM
ผมเป็นเหตุให้เขาเลิกกัน บาปแค่ใหน
02 May 2009 - 04:34 PM
ผมเลิกกับแฟน แล้วแฟนผมไปคบคนไหม่ ผม ส่งข้อความไปง้อ ผสมกับข้อความแบบจีบเขาไหม่หลายครั้ง
ด้วยคำหวานๆ ทีนี้แฟนเขามาเห็นเข้า ว่าทำไมไม่ลบข้อความผมออก แต่ด้วยแฟนไม่ค่อยไส่ใจเรื่องพวกนี้ แต่แฟนเขาไม่เข้าใจ
จากนั้นเขาก็เริ่มทะเลาะกันแต่นั่นมา จนรุนแรง และเลิกกัน
แฟนไหม่เขาตามง้อแฟนเก่าผม แต่ไม่สำเร็จ จนขู่จะไปกระโดดตึก
ถ้าเขาไปทำจริง ผมบาปแค่ไหน เพราะเป็นต้นเหตุให้เขาเลิกกัน
ถ้าวันนั้นผมไม่ massage ไปหา เพราะเลิกกันแล้ว เขาคงไม่ทะเลาะกัน
และผมเข้าข่ายเล่นชู้กับแฟนคนอื่นหรือเปล่า
ด้วยคำหวานๆ ทีนี้แฟนเขามาเห็นเข้า ว่าทำไมไม่ลบข้อความผมออก แต่ด้วยแฟนไม่ค่อยไส่ใจเรื่องพวกนี้ แต่แฟนเขาไม่เข้าใจ
จากนั้นเขาก็เริ่มทะเลาะกันแต่นั่นมา จนรุนแรง และเลิกกัน
แฟนไหม่เขาตามง้อแฟนเก่าผม แต่ไม่สำเร็จ จนขู่จะไปกระโดดตึก
ถ้าเขาไปทำจริง ผมบาปแค่ไหน เพราะเป็นต้นเหตุให้เขาเลิกกัน
ถ้าวันนั้นผมไม่ massage ไปหา เพราะเลิกกันแล้ว เขาคงไม่ทะเลาะกัน
และผมเข้าข่ายเล่นชู้กับแฟนคนอื่นหรือเปล่า
ธรรมะจากหลวงพ่อชาผ่านไปถึง Oprah Winfrey
16 April 2009 - 01:42 PM
ดิชั้นเองชอบดูรายการของคุณ Oprah Winfrey อยู่แล้ว แต่ไม่ได้ดูมานานเพราะมัวแต่เลี้ยงลูกแล้วก็อดดู จนมีวันหนึ่งได้เข้าไปดูรายการโอปร้าที่เวป MSN ก็เลยได้เห็นว่าโอปร้าเปิดคลาสบนเวปไซท์ของเธอ สอนให้แฟนๆรายการของเธอฝึกเจริญสติป แต่เธอไม่ได้สอนเองนะคะ ผู้สอนคือ Eckhart Tolle นะคะ นี่คือเวปไซต์ new earth เกิดว่าท่านๆในนี้อยากลองดู
http://www.oprah.com...bcast_marketing
ที่น่าสนใจคือ มิสเตอร์ Eckhart นี่เป็นชาวพุทธค่ะ อ่านประวัติแล้ว เขาเป็นคริสต์มาก่อน มีช่วงหนึ่งของชีวิต เขาเคยเครียดมากจนเกือบฆ่าตัวตาย จนมาได้เจอศาสนาพุทธ เขาได้พยายามศึกษา แล้วหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลในการศึกษาศาสนาพุทธก็คือพระอาจารย์สุเมโธ (Sumedho) ศิษย์ของหลวงพ่อชา เขาได้ปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่เป็นเวลานาน จนในที่สุดได้เขียนหนังสือขึ้นมา แล้วหนังสือก็มาถูกใจโอปร้าห์เข้า จึงได้มีเป็นรายการพิเศษสำหรับการฝึกสติโดยเฉพาะ
โอปร้าห์ทำอย่างนี้ก็เสี่ยงมาก เพราะชาวคริสต์ในอเมริกาก็มีออกมาต่อว่าเธอว่าจะพยายามเปลี่ยนชาวคริสต์ เธอจึงได้อธิบายในเวปไซท์ของเธอว่า เรื่องการฝึกสตินี้ ไม่ใช่เรื่องของศาสนา แต่เป็นการพูดถึงการฝึกจิต (เธอเลี่ยงการใช้คำว่า religion แล้วใช้คำว่า spirituality แทน) แม้จะมีคนต่อต้านบ้าง แต่ก็มีชาวคริสต์จำนวนหนึ่งได้หันหน้ามาฝึกสติกันตามแบบพระพุทธเจ้าแล้ว ผู้ชมของเธอมีล้นหลามมากๆ นับล้าน ตอนนี้เธอก็ได้เปิดคลาสสอนสติมาได้นานแล้ว แฟนก็มากขึ้นๆค่ะ เห็นแบบนี้แล้วอดอนุโมทนาความตั้งใจดีของเธอไม่ได้
แต่ข้อเสียคือ เธอไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่านี่คือพุทธศาสนา เพราะคนดูจะต่อว่าเธอทันที ไม่สามารถเผยแผ่ไปได้หมดทุกคำสอนของพระพุทธองค์ หวังแต่ว่าใครที่ฝึกแล้วพบทางสว่างก็จะพยายามสืบค้นหาทางพระพุทธเจ้าให้เจอกันเองในภายหลัง
เลยนำเรื่องนี้มาฝากเพราะเห็นว่าน่าสนใจดีค่ะ
ธรรมะนำทางจากคุณ (ลำธารสว่าง)
http://www.oprah.com...bcast_marketing
ที่น่าสนใจคือ มิสเตอร์ Eckhart นี่เป็นชาวพุทธค่ะ อ่านประวัติแล้ว เขาเป็นคริสต์มาก่อน มีช่วงหนึ่งของชีวิต เขาเคยเครียดมากจนเกือบฆ่าตัวตาย จนมาได้เจอศาสนาพุทธ เขาได้พยายามศึกษา แล้วหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลในการศึกษาศาสนาพุทธก็คือพระอาจารย์สุเมโธ (Sumedho) ศิษย์ของหลวงพ่อชา เขาได้ปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่เป็นเวลานาน จนในที่สุดได้เขียนหนังสือขึ้นมา แล้วหนังสือก็มาถูกใจโอปร้าห์เข้า จึงได้มีเป็นรายการพิเศษสำหรับการฝึกสติโดยเฉพาะ
โอปร้าห์ทำอย่างนี้ก็เสี่ยงมาก เพราะชาวคริสต์ในอเมริกาก็มีออกมาต่อว่าเธอว่าจะพยายามเปลี่ยนชาวคริสต์ เธอจึงได้อธิบายในเวปไซท์ของเธอว่า เรื่องการฝึกสตินี้ ไม่ใช่เรื่องของศาสนา แต่เป็นการพูดถึงการฝึกจิต (เธอเลี่ยงการใช้คำว่า religion แล้วใช้คำว่า spirituality แทน) แม้จะมีคนต่อต้านบ้าง แต่ก็มีชาวคริสต์จำนวนหนึ่งได้หันหน้ามาฝึกสติกันตามแบบพระพุทธเจ้าแล้ว ผู้ชมของเธอมีล้นหลามมากๆ นับล้าน ตอนนี้เธอก็ได้เปิดคลาสสอนสติมาได้นานแล้ว แฟนก็มากขึ้นๆค่ะ เห็นแบบนี้แล้วอดอนุโมทนาความตั้งใจดีของเธอไม่ได้
แต่ข้อเสียคือ เธอไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่านี่คือพุทธศาสนา เพราะคนดูจะต่อว่าเธอทันที ไม่สามารถเผยแผ่ไปได้หมดทุกคำสอนของพระพุทธองค์ หวังแต่ว่าใครที่ฝึกแล้วพบทางสว่างก็จะพยายามสืบค้นหาทางพระพุทธเจ้าให้เจอกันเองในภายหลัง
เลยนำเรื่องนี้มาฝากเพราะเห็นว่าน่าสนใจดีค่ะ
ธรรมะนำทางจากคุณ (ลำธารสว่าง)
อยากไปสวรรค์ชั้น6 ต้องทำบุญอย่างไร
14 April 2009 - 12:35 PM
มีอายุยาวนานดี อยู่ชั้นสูงสุดด้วย ถ้าไปเกิดชั้นนี้ก็ลงมาดู มาอยู่ได้ทุกชั้นจิงไหมครับ แถมมีพวกคนศาสนาอื่นมาจุติด้วย แต่ศาสนาอื่นจะอยู่ฝ่ายมาร ใช่ไหมครับ ส่วนศาสนาพุทธอยู่ฝ่ายเทวดา
แล้วมีคนที่จะไปเกิดบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป อยู่ด้วยใช่ไหมครับ
แสดงว่าต้องมีการแสดงธรรม เข้มงวดเหมือนกัน เราก็สามารถบรรลุธรรมที่สวรรค์ชั้นนี้ได้เหมือนชั้นอื่นๆจิงไหมครับ
อยากไปดูสวรรค์ที่สวยที่สุดในทุกชั้นเป็นไง อยากเห็นกับตาจิงๆ
แล้วมีคนที่จะไปเกิดบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป อยู่ด้วยใช่ไหมครับ
แสดงว่าต้องมีการแสดงธรรม เข้มงวดเหมือนกัน เราก็สามารถบรรลุธรรมที่สวรรค์ชั้นนี้ได้เหมือนชั้นอื่นๆจิงไหมครับ
อยากไปดูสวรรค์ที่สวยที่สุดในทุกชั้นเป็นไง อยากเห็นกับตาจิงๆ
ความงามของความเงียบ
12 April 2009 - 12:09 PM
หากคุณเดินเท้าในเมืองหลวงของสยามประเทศ จากหัวถนนสีลมไปยังท้ายถนนในชั่วโมงเร่งด่วน คุณจะผ่านยามจำนวน 207 คน หนึ่งในสามของยามเหล่านี้ทำหน้าที่โบกรถเข้าออกอาคารสำนักงานต่างๆ ด้วยสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่านกหวีด ระดับเสียง 120 เดซิเบลที่กรีดร้องในระยะใกล้หู สูงพอทำให้ใจคุณสั่น แก้วหูสะเทือนถึงขั้นอันตราย พลานุภาพไม่แพ้พลังเสียงดูหลำแห่งทะเลใต้อย่างแน่นอน!
มิน่าเล่าถนนสายนี้จึงมีโรงพยาบาลและคลินิกหู(คอจมูก) คั่นทุกๆ หลายช่วงตึก!
สีลมเป็นเพียงหนึ่งในถนนใหญ่หลายสิบสายที่พลุกพล่านด้วยคน รถ และยามซึ่งนิยมใช้นกหวีดมากกว่าสัญญาณมือ ที่แปลกก็คือไม่ค่อยมีใครคิดว่านี่เป็นเรื่องแปลก ไม่เห็นใครบ่นอะไร แต่ละคนก้มหน้าก้มตาเดินไป ยามก็ตั้งหน้าตั้งตาเป่านกหวีด คนขับรถก็กดแตรไป
ความจริงที่หลายคนอาจไม่รู้หรือรู้แต่ลืมไปแล้วก็คือ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเกิน 85 เดซิเบลนานๆ เป็นอันตรายต่อหูมนุษย์ และเสียงนกหวีดกับเสียงแตรรถนั้นเกินระดับ 85 เดซิเบลไม่น้อย
นี่คือรายการเดซิเบลของเสียงต่างๆ :
เสียงคุยกันปกติ 50-60 เดซิเบล
นาฬิกาปลุก 70-80 เดซิเบล
เสียงตะโกน 90-100 เดซิเบล
เสียงแตรรถยนต์ 110 เดซิเบล
ฟ้าร้อง / ไนท์คลับ / ร็อค คอนเสิร์ต 120 เดซิเบล
ลูกโป่งแตก 150 เดซิเบล
ประทัด 120-140 เดซิเบล
เครื่องบินขึ้นฟ้า 150-180 เดซิเบล
คุณไม่ควรอยู่ในสภาวะเสียงที่ดัง 80-90 เดซิเบลนานกว่าแปดชั่วโมงต่อวัน การฟังเสียงดัง 115 เดซิเบลนานเพียงสิบห้านาทีต่อวัน สามารถทำลายเยื่อแก้วหูได้ เกิน 110 เดซิเบลขึ้นไปเป็นอันตรายต่อหู เกิน 180 เดซิเบลคือหูพัง
จำไว้ง่ายๆ คือ ทุกๆ 5 เดซิเบลที่เพิ่มขึ้น ให้ลดเวลาที่อยู่กับเสียงนั้นลงครึ่งหนึ่ง
หากคุณชอบฟังเพลงดนตรีในผับที่ระดับเสียง 100 เดซิเบล ก็ไม่ควรขลุกอยู่ในนั้นเกินสิบห้านาที มิเช่นนั้นวันหนึ่งคุณอาจตื่นขึ้นมาพบว่าโลกใบนี้เงียบผิดปกติ
วิถีชีวิตของเราเกี่ยวข้องกับเสียงดังจนมันกลายเป็นเรื่องปกติ นอกจากเสียงจอแจของจราจร เมื่อเข้าสำนักงานก็ได้ยินเสียงด่าของเจ้านาย (มักได้ยินชัดเจนจากทุกมุมสำนักงาน) เสียงเพลงในที่ทำงาน (คนไทยเรามักใจดีอยากให้เพื่อนทุกคนในสำนักงานได้ยินเพลงที่เราชอบด้วย) ฯลฯ
ทุกวันคนขายผักผลไม้แถวบ้านผมขับ 'ยานเวลา' มาขายไข่ไก่ ผักกาดขาว ส้ม ทุเรียน ลำไย เงาะ ถึงหน้าบ้าน
ยานเวลา นี้ย่อมาจากคำว่า 'หย่อนยานเรื่องเวลา' นั่นคือใช้เครื่องขยายเสียงประกาศขายไข่ไก่ ผักกาดขาว ผักคะน้า ฯลฯ กันสองเวลา คือตอนห้าทุ่มเมื่อหลายคนหลับไปแล้ว กับตีห้าก่อนไก่หลายตัวโก่งคอขัน!
แม้กระทั่งในสถานที่ที่ไม่ควรมีเสียงอย่างที่สุดเช่น สวนสาธารณะ ก็ยังเต็มไปด้วยมลพิษทางเสียง สวนสาธารณะในบ้านเรานิยมใช้เครื่องขยายเสียง ตั้งแต่การประกาศห้ามพาหมามาเดิน ไปจนถึงการใช้ไมโครโฟนร้องเพลงคาราโอเกะอย่างสุขสม
ในช่วงเทศกาลรื่นเริง เรามักเห็นการจัดปาร์ตี้ยามดึกดื่นพร้อมเสียงดนตรีดังจากท้ายซอยถึงต้นซอย
เมื่อขึ้นแท็กซี่ น้อยครั้งคุณจะพบคันที่ไม่เปิดวิทยุ
เราเป็นชาติที่หนวกหูที่สุดชาติหนึ่งในโลก!
มนุษย์เมืองหลวงเคยชินกับเสียงเหล่านี้จนมองไม่เห็นว่ามันไม่ปกติ
สุภาษิตโบราณว่า ถ้าทุกคนพูดพร้อมกัน ก็จะไม่มีใครได้ยิน
อาจจะจริง ถ้าเรายังไม่ยอมลดการใช้เสียงดังอย่างนี้ วันหนึ่งก็จะไม่มีใครได้ยินจริงๆ
การแก้ปัญหามลพิษเสียงก็เช่นเดียวกับการแก้ปัญหาจราจรและอีกหลายๆ ปัญหา นั่นคือแก้ที่คน ไม่ใช่ป้ายห้ามใช้เสียง แก้ด้วยหลักง่ายๆ : "เอาใจเขามาใส่ใจเรา"
อย่าทึกทักว่าคนอื่นชอบเพลงที่คุณชอบ อย่าสรุปว่าคนอื่นอยากฟังคุณร้องเพลง ถ้าไม่ชอบเสียงนกหวีดข้างหูคุณ คนอื่นก็ไม่ชอบ ถ้าไม่อยากให้ใครมาตะโกนตะคอกใส่ ก็ไม่ตะโกนตะคอกใส่คนอื่น
เงียบๆ ไว้บ้าง โลกจะสดใสขึ้นมาก
เดินเงียบๆ คิดเงียบๆ ทำงานเงียบๆ
เมื่อโลกเงียบลง คุณอาจจะได้ยินเสียงแมลงกระซิบกัน เสียงลมพัด เสียงใบไม้ไหว เสียงนกบอกรัก
ที่สำคัญที่สุด คุณจะได้ยินเสียงความคิดและเสียงหัวใจของคุณชัดขึ้น
มิน่าเล่าถนนสายนี้จึงมีโรงพยาบาลและคลินิกหู(คอจมูก) คั่นทุกๆ หลายช่วงตึก!
สีลมเป็นเพียงหนึ่งในถนนใหญ่หลายสิบสายที่พลุกพล่านด้วยคน รถ และยามซึ่งนิยมใช้นกหวีดมากกว่าสัญญาณมือ ที่แปลกก็คือไม่ค่อยมีใครคิดว่านี่เป็นเรื่องแปลก ไม่เห็นใครบ่นอะไร แต่ละคนก้มหน้าก้มตาเดินไป ยามก็ตั้งหน้าตั้งตาเป่านกหวีด คนขับรถก็กดแตรไป
ความจริงที่หลายคนอาจไม่รู้หรือรู้แต่ลืมไปแล้วก็คือ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเกิน 85 เดซิเบลนานๆ เป็นอันตรายต่อหูมนุษย์ และเสียงนกหวีดกับเสียงแตรรถนั้นเกินระดับ 85 เดซิเบลไม่น้อย
นี่คือรายการเดซิเบลของเสียงต่างๆ :
เสียงคุยกันปกติ 50-60 เดซิเบล
นาฬิกาปลุก 70-80 เดซิเบล
เสียงตะโกน 90-100 เดซิเบล
เสียงแตรรถยนต์ 110 เดซิเบล
ฟ้าร้อง / ไนท์คลับ / ร็อค คอนเสิร์ต 120 เดซิเบล
ลูกโป่งแตก 150 เดซิเบล
ประทัด 120-140 เดซิเบล
เครื่องบินขึ้นฟ้า 150-180 เดซิเบล
คุณไม่ควรอยู่ในสภาวะเสียงที่ดัง 80-90 เดซิเบลนานกว่าแปดชั่วโมงต่อวัน การฟังเสียงดัง 115 เดซิเบลนานเพียงสิบห้านาทีต่อวัน สามารถทำลายเยื่อแก้วหูได้ เกิน 110 เดซิเบลขึ้นไปเป็นอันตรายต่อหู เกิน 180 เดซิเบลคือหูพัง
จำไว้ง่ายๆ คือ ทุกๆ 5 เดซิเบลที่เพิ่มขึ้น ให้ลดเวลาที่อยู่กับเสียงนั้นลงครึ่งหนึ่ง
หากคุณชอบฟังเพลงดนตรีในผับที่ระดับเสียง 100 เดซิเบล ก็ไม่ควรขลุกอยู่ในนั้นเกินสิบห้านาที มิเช่นนั้นวันหนึ่งคุณอาจตื่นขึ้นมาพบว่าโลกใบนี้เงียบผิดปกติ
วิถีชีวิตของเราเกี่ยวข้องกับเสียงดังจนมันกลายเป็นเรื่องปกติ นอกจากเสียงจอแจของจราจร เมื่อเข้าสำนักงานก็ได้ยินเสียงด่าของเจ้านาย (มักได้ยินชัดเจนจากทุกมุมสำนักงาน) เสียงเพลงในที่ทำงาน (คนไทยเรามักใจดีอยากให้เพื่อนทุกคนในสำนักงานได้ยินเพลงที่เราชอบด้วย) ฯลฯ
ทุกวันคนขายผักผลไม้แถวบ้านผมขับ 'ยานเวลา' มาขายไข่ไก่ ผักกาดขาว ส้ม ทุเรียน ลำไย เงาะ ถึงหน้าบ้าน
ยานเวลา นี้ย่อมาจากคำว่า 'หย่อนยานเรื่องเวลา' นั่นคือใช้เครื่องขยายเสียงประกาศขายไข่ไก่ ผักกาดขาว ผักคะน้า ฯลฯ กันสองเวลา คือตอนห้าทุ่มเมื่อหลายคนหลับไปแล้ว กับตีห้าก่อนไก่หลายตัวโก่งคอขัน!
แม้กระทั่งในสถานที่ที่ไม่ควรมีเสียงอย่างที่สุดเช่น สวนสาธารณะ ก็ยังเต็มไปด้วยมลพิษทางเสียง สวนสาธารณะในบ้านเรานิยมใช้เครื่องขยายเสียง ตั้งแต่การประกาศห้ามพาหมามาเดิน ไปจนถึงการใช้ไมโครโฟนร้องเพลงคาราโอเกะอย่างสุขสม
ในช่วงเทศกาลรื่นเริง เรามักเห็นการจัดปาร์ตี้ยามดึกดื่นพร้อมเสียงดนตรีดังจากท้ายซอยถึงต้นซอย
เมื่อขึ้นแท็กซี่ น้อยครั้งคุณจะพบคันที่ไม่เปิดวิทยุ
เราเป็นชาติที่หนวกหูที่สุดชาติหนึ่งในโลก!
มนุษย์เมืองหลวงเคยชินกับเสียงเหล่านี้จนมองไม่เห็นว่ามันไม่ปกติ
สุภาษิตโบราณว่า ถ้าทุกคนพูดพร้อมกัน ก็จะไม่มีใครได้ยิน
อาจจะจริง ถ้าเรายังไม่ยอมลดการใช้เสียงดังอย่างนี้ วันหนึ่งก็จะไม่มีใครได้ยินจริงๆ
การแก้ปัญหามลพิษเสียงก็เช่นเดียวกับการแก้ปัญหาจราจรและอีกหลายๆ ปัญหา นั่นคือแก้ที่คน ไม่ใช่ป้ายห้ามใช้เสียง แก้ด้วยหลักง่ายๆ : "เอาใจเขามาใส่ใจเรา"
อย่าทึกทักว่าคนอื่นชอบเพลงที่คุณชอบ อย่าสรุปว่าคนอื่นอยากฟังคุณร้องเพลง ถ้าไม่ชอบเสียงนกหวีดข้างหูคุณ คนอื่นก็ไม่ชอบ ถ้าไม่อยากให้ใครมาตะโกนตะคอกใส่ ก็ไม่ตะโกนตะคอกใส่คนอื่น
เงียบๆ ไว้บ้าง โลกจะสดใสขึ้นมาก
เดินเงียบๆ คิดเงียบๆ ทำงานเงียบๆ
เมื่อโลกเงียบลง คุณอาจจะได้ยินเสียงแมลงกระซิบกัน เสียงลมพัด เสียงใบไม้ไหว เสียงนกบอกรัก
ที่สำคัญที่สุด คุณจะได้ยินเสียงความคิดและเสียงหัวใจของคุณชัดขึ้น
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: ธัมโม
- Privacy Policy
- เงื่อนไข ข้อตกลง และกฏระเบียบของเว็บไซต์ DMC ·