ไปที่เนื้อหา


usr21591

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 12 Jan 2008
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด May 29 2008 11:18 AM
-----

กระทู้ที่ฉันเริ่ม

เรื่องเล่าจากในวัง

27 February 2008 - 04:14 PM

เรื่อง เล่าจากในวัง....แล้วคุณจะรัก "ในหลวง"
==================================
ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง อยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริง เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อพระเทพทรงเสด็จไป เยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ ได้ ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนใน ตลาดสด และถามความเป็น อยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา ซึ่งพระองค์ทรง ตรัสถามว่า "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ" แม่ค้าตอบว่า "ที่ สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท และที่เสด็จไปเสด็จมา กิโลละ 80 บาทจ๊ะ" เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพาลที่ ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
--------------------------------------------------------- -
เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์
ของฟ้าหญิงองค์ เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับ ฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสาย ด้วย ก็มี เสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์ นางสนองพระโอฐก็ งง...งง ว่าคนที่แบงค์ ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า
แต่ พอฟ้าหญิงรับ โทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่ เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ... ขนลุก เลย ( ทรงตัสกับในหลวงท่านอยู่นั่น เอง)
---------- --------------------------- -----------------------
อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้าน ของราษฎรผู้หนึ่ง ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการ กราบบังคมทูล ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่า ฉงน
เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชา ศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า " ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผ ลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระ พุทธเจ้าข้า.." มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ ตัว. พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า " มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้ เดียว" เรื่องนี้ ดร.สุเมธ
เล่าว่าเป ็นที่ต้องสะกด กลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง

------------------------------------------------------- ---
เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลาย รุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่น เรื่องขออนุญาต นำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า " ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่ มิกกี้เมาส์"
---------- --------------------------------------------------
เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับ ในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้ง แผ่นดิน และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ได้เข้าเฝ้า ทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงาน ว่า "ขอเดชะ ฝ่าละอองธ ุลีพระบาท ปก เกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลย เดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต
กราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลย เดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ" เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้ม พระสรวล
อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า " เออ ดี เราชื่อเดียว กัน..."
ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้า ต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย
เพราะผู้รายงาน ตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
---------------------------------------------------------
มีอยู่ครั้ง หนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตร
ให้กับนักศึกษา ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวน พระโอสถ
แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูล ว่า " ถวายพระเพลิงพระเจ้า ข้า" ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับ อธิการบดีว่า " เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้ หรอก"
---------- ---------------------------------------------
เคยมีเรื่องเล่าให้ฟัง ว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเเพื่อเยี่ยม เยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท ่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า " ขอเดชะ ขอพระ หนึ่งองค์"
ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมด แล้ว"
---------- ------------------------------------------
วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตาม ปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมาก มาย พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระ บาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลง กราบแทบพระบาทแล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของ ในหลวง แล้วก็พูดว่า ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอ ในหลวง แล้วก็พูดว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่าง นี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรง เฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอ พระราชหฤหัย หรือไม่ แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบ ว่ากับหญิงชร าคนนั้น ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า " เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อน กว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิถึงจะ ถูก"
---------- ----------------------------------------
ครั้งหนึ่ง หลายๆ ปีมา แล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับ พระฉวีมีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชา ศัพท์ ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง...อ้า-ทร งพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะ ค่ะ" พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัส ว่า " ฉันไม่ใช่ผู้หญิง นี่จะท้องได้ยังไง"
แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกาย จริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้าพูดภาษา อังกฤษกันเถอะ
---------- -----------------------------
เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟัง ว่า มีอยู่ปีนึงที่ ในหลวงทรงเสด็จ
พระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อ บัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาด ตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหน แล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับ อธิการไปว่า " เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไป แล้ว" และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ... ทำให้บัณฑิตคน หนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป พอในหลวงทรงพระราชทาน ปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรม ราโชวาท ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับ พระราชทานอีกครั้ง เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็น ที่ ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอ ประชุม

********
ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ใส่ร้ายคนดี ได้รับโทษทันตา

26 February 2008 - 05:58 PM

ใส่ร้ายคนดี ได้รับโทษทันตา
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี พระโกกาลิกริษยาพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ได้ทูลพระพุทธเจ้า ให้ร้ายพระมหาเถระทั้งสอง พระพุทธเจ้าทรงตรัสห้ามถึง 3 ครั้ง ก็ไม่ฟัง ได้รับอกุศลกรรมสนองทันตากล่าวคือ ได้เกิดฝีหัวใหญ่ขึ้นทั่วตัว ฝีแตก น้ำเหลืองไหล ได้รับทุกข์เวทนาแสนสาหัส จนขาดใจตาย ไปเกิดในนรกอเวจี เขตปทุมนรก ได้รับทุกขเวทนาเหลือประมาณ
พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงโทษ แห่งการใส่ร้าย(ป้ายสี) ผู้ทำความดี เพื่อเป็นเครื่องสังวรของชาวพุทธ ไว้ดังนี้
- คนพาลเมื่อพูดคำชั่วร้ายออกไป ย่อมได้ชื่อว่า ฆ่าตัวเองด้วยอาวุธ
- ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกตำหนิ หรือติ ผู้ที่ควรได้รับการสรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่า สะสมความชั่วด้วยปาก เขาย่อมไม่ได้รับความสุข
- ความพินาศแห่งทรัพย์สินเพราะการพนันก็ดี พินาศด้วยสิ่งของทั้งหมดก็ดี พินาศพร้อมด้วยตนเองก็ดี ยังนับว่ามีโทษเพียงเล็กน้อย ส่วนบุคคลใด ทำจิตคิดร้ายในท่านผู้ทำความดีทั้งหลาย มีโทษยิ่งใหญ่กว่ามาก
- ผู้พูดจาด้วยจิตอันลามก ชอบติเตียนพระอริยเจ้า บุคคลนั้นย่อมเข้าถึงนรก

โกกาลิกสูตร 15 / 209

คุณธรรมที่ทำให้คนเป็นท้าวสักกะจอมเทพ

25 February 2008 - 12:59 PM

คุณธรรมที่ทำให้คนเป็นพระอินทร์
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายถึงคุณธรรมที่ทำให้คนเป็นท้าวสักกะจอมเทพ เรียกว่า "วัตรบท" มี 7 ข้อคือ
1. เลี้ยงดูมารดาบิดาตลอดชีวิต
2. อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต
3. พูดจาอ่อนหวานตลอดชีวิต
4. ไม่พูดจาส่อเสียดตลอดชีวิต
5. ยินดีในการบริจาคทานตลอดชีวิต
6. พูดคำสัตย์ตลอดชีวิต
7. ไม่โกรธตลอดชีวิต ถ้าเกิดความโกรธก็ระงับโดยเร็ว
"ภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะจอมเทพ เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้รักษาวัตรบท 7 ประการนี้บริบูรณ์จึงได้เป็นท้าวสักกะ"
ปฐมเทวสูตร 15/315

บ้านที่ภิกษุไม่ควรไป

25 February 2008 - 12:50 PM

บ้านที่ภิกษุไม่ควรไป

พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงบ้านที่ภิกษุไม่ควรไป หรือเมื่อเข้าไปแล้ว ก็ไม่ควรนั่ง มี 7 ประเภทคือ
1. ต้อนรับด้วยความไม่เต็มใจ
2. ไหว้ต้อนรับด้วยความไม่เต็มใจ
3. จัดที่นั่งให้ด้วยความไม่เต็มใจ
4. ซ่อนของที่มีอยู่
5. เมื่อมีของมากให้น้อย
6. เมื่อมีของดีแต่ให้ของเลว
7. ให้ทานโดยความไม่เคารพ

บ้านที่ประกอบด้วยลักษณะ 7 ประการนี้ ภิกษุที่ยังไม่เคยไป ไม่ควรไป หรือไปแล้วก็ไม่ควรนั่ง
ถ้าตรงข้ามจาก 7 ข้อนี้ ภิกษุที่ไม่เคยไป ก็ควรไป หรือไปแล้วก็ควรนั่ง

กุลสูตร 23 / 10

การให้ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก

25 February 2008 - 12:45 PM

การให้ทานที่เลื่อนชั้นทางจิต
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ฝั่งสระโบกขรณีคัดครา เมืองจัมปา พระสารีบุตรได้พาพวกอุบาสกชาวนครจัมปาเข้าเฝ้า และทูลถามปัญหา ถึงผลของทานที่มีผลมาก และมีอานิสงส์มาก พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบ และทรงแสดงผลของทานตามลำดับ ดังนี้
1. คนบางคนในโลกนี้ มีความหวังแล้วให้ทาน มีจิตผูกพันในทาน มุ่งการสั่งสมทาน ด้วยคิดว่า เราตายไปจะได้รับผลของทานนี้ เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้น จาตุมหาราชเมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก
2. คนบางคนในโลกนี้ ไม่มีความหวังแล้วให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลของทาน ไม่มุ่งการสั่งสมทาน ไม่คิดว่า ตายแล้วจะได้รับผลของทานนี้ แล้วจึงให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นของดี เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก
3. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทาน้ด้วยคิดว่า ทานเป็นของดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แล้วจึงให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก
4. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทำมา แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหาอาหารกิน พวกนักบวชเหล่านี้ไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่ท่านผู้ไม่หุงหา ดูเป็นการไม่สมควร แล้วจึงให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นดุสิต เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก
5. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ แต่นักบวชเหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จึงให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราจะเป็นผู้บริจาคทาน เหมือนฤาษีต่าง ๆ ในอดีตแล้วจึงให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นนิมานรดี เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก
6. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ให้ทานด้วยคิดว่า เราจะเป็นผู้บริจาคทาน เหมือนฤาษีต่าง ๆ ในอดีต แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจ และโสมนัส แล้วจึงให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมตวสวัสดี เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก
7. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราได้ให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส แต่ให้ทานเพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต คือเพื่อเลื่อนชั้นทางจิต แล้วจึงให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นพรหม เมื่อสิ้นกรรมแล้ว ก็ไม่ต้องกลับมาสู่โลกนี้อีกแล้ว
นี้แลเป็นเหตุและปัจจัยที่คนบางคนในโลกนี้ ให้ทานแล้วจึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ทานสูตร 23 / 59