ไปที่เนื้อหา


usr35467

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 21 Jul 2010
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Aug 19 2010 02:21 PM
-----

โพสต์ที่ฉันโพสต์

ในกระทู้: พระโสดาบัน?

22 July 2010 - 07:18 PM

อ๋อ ขอบคุณมากครับ

ในกระทู้: ไม่อยากขี้อิจฉา

22 July 2010 - 07:03 PM

ครับใช่ครับ เมื่อเราอิจฉาเรากูรู้ว่าอ่อนี่ไงตัวอิจฉามันเกิดขึ้นแล้ว เกิดบ่อยๆ เราก็เห็นได้บ่อย รู้ไปเรื่อยๆ เห็นไปเรื่อยๆ จิตใจมันจะคลายครับ เมื่อใดที่จะเกิดอาการอิจฉาขึ้นมา เมื่อจิตมันจำสภาวะเเห่งอาการอิจฉาได้แล้ว มันจะมีสติอัตโนมัติตัดดวามอิจฉาไม่ให้เกิดได้เลยนะครับ หากปัญญาแกร่งกล้าพอครับ ถ้าอาหากมีอาการทางกายขยับ อาการทางอารมณ์เกิดขึ้นก็ดูได้ทุกอาการนะครับ ดูแบบเล่นๆนะครับไม่ต้แงไปจริงจังอะไรแต่ให้ทำสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้แหละครับ คุณจะ รู้ ตื่น และเบิกบานได้เลย เพียงไม่นานนะครับ หากมีกำลังจากสมถะสมาธิจากการปฏิบัติแล้ว จะไปไวมากอิอิ

ในกระทู้: ทำบุญแล้ว ทำไมชีวิตตกต่ำ

21 July 2010 - 03:08 PM

สวัสดีครับท่านผู้เจริญ ในการทำบุญที่บริสุทธิ์ใจที่จะให้โดยมิหวังผลตอบแทนมักมีผลดีที่เกิดขึ้นกับตนเองอยู่แล้ว ลองพิจารณาดูนะครับ ท่านทำบุญเพราะอะไร ท่านทำบุญโดยความศรัทรามากน้อยเพียงใด ท่านต้องการผลบุญอย่างไร นี่แหละครับ ลองพิจารณาดูเถิดครับเมื่อท่านบอกว่าท่านทุกข์ ทุกคนที่ท่านเห็นเข้าก็ทุกข์ เข้าอาจไม่ทุกกาย แต่เขาก็ทุกข์ใจ เรื่องชีวิตที่ไม่สมดั่งหวังก็ทำให้ทุกข์ เรื่องการเงินฝืดเคือง มันก็ทำให้ทุกข์ เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องลูกหลานไมเป็นดั่งใจนี่ก็ทำให้ทุกข์ วันนี้แม้ว่าเราตื่นนอนลืมตามาเราก็เห็นทุกข์แล้ว วันนี้หากท่านมีสติเพียงพอ หากเงินฝืดเคือง ควรแก้ปัญหาที่ตนเองก่อนนะครับ เรื่องการทำบุญแล้วหวังผลบุญจะไม่บริสุทธิ์ จงอย่าทำตนให้เดือดร้อนจากความศรัทรา แต่จงศรัทราปัญญาผู้แก้ปัญหาชีวิต เรียนรู้ในสัจธรรมในชีวิตของท่าน เห็นถึงความจริงของชีวิตโดยใช้สติรู้สิ่งที่กำลังเกิด สิ่งที่เกิดอยู่ เพียงเท่านี้ท่านจะรู้ว่าทางออกคืออะไร...............ศิษย์สติปัฏฐานสี่

ในกระทู้: พระโสดาบัน?

21 July 2010 - 02:50 PM

สวัสดีครับผู้เจริญในพระศาสนาทุกท่าน ทุกท่านที่ปฏิบัติพึงเจริญถึงมรรคผลนิพพานได้หากแต่ได้ปฏิบัติตามหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากแต่เดินมาถูกทาง ไม่เกิน7วันก็เห็นผล นานที่สุดก็7ปี หรือปฏิบัติอย่างถูกต้องทำสม่ำเสมอ3วันเห็นผลก็มี ผู้ที่พึ่งปฏิบัติถูกต้อง จะเป็นผู้ที่มีความรู้ตัว ตื่น เบิกบาน ทุกข์น้อยลง มีสติมากขึ้น เป็นสติที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หากพิจารณาเห็นการเกิดดับของ กาย เวทนา จิต และธรรมอยู่เป็นนิตย์ เมื่อใดที่คิดเกิด เราก็รู้ว่าอ๋อนี่เราคิดแล้ว เมื่อใดที่เวทนาเกิดเราก็รู้ว่าอ๋อนี่เวทนาเกิดแล้ว เมื่อใดที่อารมณ์เกิด เราก็รู้ว่าอ๋อนี่ คืออารมณ์เกิดขึ้นแล้ว เมื่อท่านเห็นสภาวะที่เกิดขึ้นอยู่ภายในกาย ในจิตของท่านอยู่เป็นนิตย์จนจิตจำสภาวะต่างๆของอารมณ์ได้แม่น จิตใจเราจะคลายออกจากการยึดมั้่นถือมันในร่างกายอันมีแต่ปฏิกูลอันเน่าเหม็น จึงมิยึดถือมันกายอีกต่อไป จึงคลายความทุกข์ที่เกิดมาจากกายได้ หากแต่ปฎิบัติสืบเนื่องต่อไปโดยไม่หยุดหย่อน เมื่อเห็นสภาวะต่างๆของอารมณ์บ่อยๆเข้า ท่านจะรู้ว่า ท่านทุกข์ใจเพราะความคิด คิดโดยที่ไม่รู้ตัวก็ดี หรือรู้ตัวก็ดี ทำให้ทุกข์ใจอยู่ตลอด หากท่านเห็นความทุกข์ใจในเรื่องต่างๆของท่านอยู่เสมอๆซ้ำๆ เห็นโกรดซ้ำๆ เห็นอิจฉาซ้ำๆ เห็นความไม่พอใจหรือสภาวะทางอารมณ์อื่นๆซ้ำๆ จนเกิดเป็นสติอันเป็นอัตโมมัติ เมื่อใดที่โกรดกำลังจะเกิดขึ้นสติท่านจะรู้ทันในทันที หากเห็นสภาวะทางอารมณ์บ่อยๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จิตท่านก็จะคลายความยึดมันถือมันในตัวตนลง ในการรักตัวรักใจลง ปัญญาอันที่ได้ต่อจากนั้นคือ ท่านจะรู้ว่า ร่างกายนั้นเป็นกองทุกข์ล้วนๆ แม้จิตก็เป็นทุกข์ล้วนๆมิเป็นสิ่งที่ีน่าชื่นชมแต่อย่างใดเลย จะเรียกว่าเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันจากกิเลสโดยการเห็นทุกข์จากกิเลสจนชินก็่ว่าได้ เมื่อเรามีภูมิคุ้มกันที่แก่กล้าแล้ว ท่านผู้เจริญทุกทานพึงสัมผัสความสุขอันเกิดจากปีติสุข จากการไม่ยึดมันถือมั่นในสิ่งใด เกิดการคลาย เกิดการปล่อยวาง และเป็นสุขได้แม้ขณะตื่น ท่านผู้เจริญทั้งหลาย การปฏิบัติในทางของพุทธศาสนา หากปฏิบัติถูกต้อง ท่านจะมีความรู้ตัว ตื่น และเบิกบานใจไม่เศร้าหมอง และเห็นผลไม่จำกัดกาล ไม่เนินช้า......จากศิษย์ สติปัฏฐานสี่