ไปที่เนื้อหา


อ๊อฟครับ

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 11 Oct 2010
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด May 09 2012 09:05 AM
-----

กระทู้ที่ฉันเริ่ม

ข้อคิดดีๆจากหัวโขมย

12 November 2010 - 08:52 AM

"อย่าหนีนะ ไอ้ เด็กขี้ขโมย"

เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า

"อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"

"ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ"

ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม' เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่ มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว
เสียงเอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบ ไล่เลี่ยกับฉันซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ แม่จึงเดินเข้าไปถาม

"พี่หนอม มีไรหรอคะ"

"ก็ X เด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย"

พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้

"ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ"

แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่

"เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอน ยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ"

ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า
"อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันละ"

ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด
แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่

"ใจดีกับเด็กขี้โขมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"

แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่าง จากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า

"ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ"

เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

"แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง..."

แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า

"ทีหลังอย่าโขมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไป ฝากคุณแม่ซิ คนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย"

แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป

หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

"ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ"

แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า

"ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง"

"แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่"

ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า

"แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆ กับลูก จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"


ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า

"แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า"

"ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร"

"แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่"

"ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"

แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า

"จำไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ อย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้"

แล้วแม่ก็พูดต่อว่า

"ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"

หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆ กันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ

หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้า เพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่

ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักมากเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ
หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ
เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด

หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่ามีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง

หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่ และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายา ระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท

ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ทางโรง พยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้ ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฎว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น

ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัด และเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่ โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

'ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้

ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท

ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง

ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า

นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร

ทุกข์จิงหรือ?

11 November 2010 - 10:21 PM

เธอรู้มั้ย ... ในช่วงเวลาที่เธออิ่ม
ช่วงเวลาที่เธออยู่อย่างสุขสบาย มีความสุขหัวเราะร่าเริง
มันเป็นช่วงเวลาเดียวกัน ของคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่หิวโหย
ทนทุกข์ ทรมาน กับชีวิตที่พวกเขาเลือกเกิดไม่ได้

คงไม่มีใครอยากเกิดมาพร้อมกับความยากจน
วันนี้ฉันได้รับรู้....ได้สัมผัส กับชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่ง
และก่อนหน้าที่ฉันจะได้พบพวกเขา ฉันรู้สึกว่าตัวเองลำบาก
ว่าทำไมฉันถึงไม่เกิดมาบนท่ามกลางความสุขสบายบ้าง ..

แต่พอวันนี้ฉันได้พบพวกเขา
ได้พบกับผู้คนหนึ่งอีกกลุ่มหนึ่ง
ที่ขาดแคลนทุกๆ อย่าง แม้กระทั่งการศึกษา
ทำให้ฉันเริ่มรู้แล้วว่า.....สิ่งที่ฉันได้พบเจอ
ได้เผชิญอยู่นั้นมันช่างน้อยนิด
กับสิ่งที่พวกเขานั้นกำลังเผชิญอยู่.....

เงิน 10 บาท ของฉัน กับ เงิน 10 บาท ของเค้า
มันช่างมีค่าแตกต่างกัน เงิน 10 บาทสำหรับฉัน
มันแทบจะซื้ออะไรไม่ได้เลยในสมัยนี้ แต่สำหรับเค้าเงิน 10 บาท
มันก็มีค่ามากพอกับการซื้อหากับข้าวมาเลี้ยงคนในครอบครัว
สิ่งที่ฉันเปรียบเทียบมันไม่ได้ดูเวอร์ไปเลย สำหรับเหตุการณ์นี้

พวกเขาสอนให้ฉันรู้ว่า ถึงแม้ว่าเค้าจะยากจนลำบาก มากแค่ไหน
แต่พวกเค้าก็ไม่เคยท้อถ่อยกับปัญหา ถึงแม้ว่าเค้าจะไม่มีทางรู้เลยก็ตามว่า
อนาคตของวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง แต่เค้าก็ยังพร้อมที่จะยังชีพอยู่ต่อไปเพื่อวันพรุ่งนี้

ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า ....
เวลาที่ฉันรู้สึกว่าฉันทุกข์ ... แต่ก็ยังมีคนที่ทุกข์กว่า
เวลาที่ฉันรู้สึกว่าฉันลำบาก ... แต่ก็ยังมีคนที่ลำบากกว่า

มันก็ไม่ต่างอะไรกันเลย ถ้าตอนนี้มีใครสักคนที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองทุกข์
กับปัญหา....ที่หาทางออกไม่ได้ ไม่ว่าปัญหามันจะเกิดมากจากสาเหตุอะไรก็ตาม
ฉันอยากให้เธอรับรู้ไว้ ว่า ยังมีคนอีกเป็นร้อยเป็นพัน ที่กำลังเผชิญกับปัญหา
แต่พวกเขาก็ยังผ่านพ้นมันมาได้ แล้วทำไม เราจะผ่านมันไปบ้างไม่ได้ละ จริงไหม?

เพียงแค่สุนัขตัวหนึ่ง

11 November 2010 - 08:52 PM

กลางดึกในคืนที่อากาศแจ่มใส เมื่อเห็นว่าภรรยาและลูกสาวนอนหลับสนิทแล้ว วิทยาชายวัยกลางคนก็ย่องลงมาจากบ้าน เขาตรงไปที่หลังบ้านไขกุญแจเปิดกรง แล้วก็อุ้มร่างของหมาตัวหนึ่งเดินไปยังสนานหญ้าหน้าบ้าน จากนั้นก็วางมันลงอย่างช้าๆ หมาตัวนั้นส่งเสียงครางในลำคอเมื่อเห็นเจ้านายของมันนั่งลงข้างๆ


“นอนอยู่นั่นแหละแกไม่ต้องลุกขึ้น จริงสิบางทีแกอาจจะไม่มีแรงลุกขึ้นมาแล้วก็ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ขณะที่จ้องมองหมาร่างกายผ่ายผอมจนเห็นกระดูก นอนอ้าปากหายใจอย่างลำบาก


“แกอยู่กับฉันมากี่ปีแล้ว สิบกว่าปีแล้วมั้ง ใช่หรือเปล่า” เขาพูดกับหมาซึ่งนอนนิ่งอยู่ มันเหมือนจะเข้าใจคำพูดของเขา แต่มันพูดไม่ได้


“รู้ไหม แกมันไม่มีดีสักอย่าง เป็นหมากระจอก หมาข้างถนนที่ฉันเก็บมาเลี้ยง แกเข้าใจไหม แกมันไม่ดีสักอย่าง” เขาพูดเสียงดังขึ้น


“แกเป็นหมาแน่หรือเปล่าวะ แมวก็ยังกลัว ฟ้าร้องก็วิ่งหางจุกก้นเข้าบ้าน ชอบขุดต้นไม้ข้างรั้วจนกระจุยกระจาย ห้ามก็ไม่ฟัง แกมันเป็นหมาหรือหนูกันแน่” เขาด่ามันเสียงดังขึ้นกว่าเดิม จ้องมองมันซึ่งแม้จะถูกเขาดุด่า มันก็จ้องมองตอบด้วยสายตาที่ไม่เปลี่ยนแปลง สายตาเดิมซึ่งไม่เคยเปลี่ยนนับแต่มันมาอาศัยอยู่กับเขา


“แต่จะว่าไปแกก็มีดีอยู่หน่อยหนึ่ง” เขาหลบตามันเงยหน้ามองดาวบนฟ้า พูดลดเสียงลง


“ไม่ต้องห่วง ฉันยังจำเรื่องเมื่อห้าปีก่อนได้ ตอนนั้นมีหมาพันธุ์ร๊อตไวเล่อร์หลุดเข้ามาในบ้าน แกก็เห่าไล่มัน เห็นไหมฉันยังจำข้อดีแกได้” เขาหัวเราะกับหมาที่นอนอยู่ มันพยายามส่งเสียงครางในลำคอคล้ายกับจะตอบกลับเขา


“แล้วไงต่อเหรอ ก็ไอ้หมาตัวนั้นมันไม่ยอมออกจากบ้านใช่ไหม แกก็เข้าไปกัดกับมัน แผลนี่สินะ” เขาเอามือลูบรอยทางยาวที่พาดอยู่ข้างลำตัวผอมมัน รอยนี้ลึกเข้าไปในเนื้อ ดังนั้นเมื่อหายแล้วจึงไม่มีขนขึ้นมาอีก


“หรือแกเป็นหมาบ้าวะ แกแพ้มันอยู่แล้วยังดันทุรังกัดกับมันไม่ยอมเลิก ทำไมแกไม่หนีเข้าบ้าน ทำไมแกยังไม่ยอมถอย โดนมันกัดตั้งหลายแผลก็ยังกัดสู้กับมันอีก ถ้าตอนนั้นฉันไม่กลับมาบ้านทันไล่หมาตัวนั้น แกก็ตายไปแล้วรู้หรือเปล่า” วิทยาพูดเสียงเบาลง


“แล้วสองสามวันนี่แกจะหาทางออกจากบ้านทำไม รู้ไหมแกไม่สบาย ทำไมไม่นอนอยู่ดีๆ แกจะออกไปเที่ยวเหรอ ทำไมไม่รอให้หายก่อนค่อยไป อยากไปทะเลไหม ถ้าแกหายดีฉันจะพาไปเที่ยวนะ ไปไหมไปไล่ปูที่ชายหาด ฉันจะวิ่งเป็นเพื่อนแก” เขาพูดเสียงเบาลงจนจะกลายเป็นเสียงกระซิบ


“ฉันรู้ว่าแกชอบกินหมูสะเต๊ะ พรุ่งนี้ฉันจะซื้อให้กินนะ แต่แกต้องสัญญาว่าจะไม่พยายามออกไปข้างนอกอีก” เขาขยับเข้าไปใกล้มัน จนเมื่อเข้าใกล้จนชิด มันจึงผงกหัวขึ้นมาเลียขาเขา


“ฉันตามใจแกทุกอย่างแล้วนะ แกชอบนอนบนหญ้าฉันก็หามมานอนแล้ว แกต้องสัญญานะ ว่าจะไม่หนีออกจากบ้านไป เข้าใจไหม” เขาพูดเสียงสั่น


“ฉันขอโทษที่ว่าแกเป็นหมาไม่ดี ฉันขอโทษนะ ฉันผิดไปแล้ว แกโกรธฉันไหม” น้ำเสียงเขาเปลี่ยนไปเป็นตะกุตะกัก และสูดหายใจลึกๆ เพื่อจะพูดต่อ


“แกเป็นหมาดีที่สุด แกอย่าทิ้งฉันไปนะ อย่าทิ้งกันไปนะ ” ที่สุดเขาก็หลั่งน้ำตาออกมา แล้วก็เอนตัวลงนอนข้างหมาแก่ซึ่งหายใจรวยรินบนพื้นหญ้า เมื่อเห็นเจ้านายมันนอนลงข้างๆ มันก็เลียหน้าเขา เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของเจ้านายที่มันรักเหนืออื่นใด


เจ้านายกอดมันและร้องสะอื้นจนหลับไป พอเห็นว่าเจ้านายมันหลับลงแล้วมันก็เขย่งตัวค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า และออกเดินไปที่ประตูหน้าบ้าน ท่ามกลางหมู่ดาวเต็มท้องฟ้า หมาใกล้ตายตัวหนึ่งอาศัยลมหายใจช่วงสุดท้ายในชีวิตของมัน พาร่างผ่ายผอมเดินไปเรื่อยๆ จนลับหายไปจากแสงไฟหน้าบ้าน


ตลอดกาล แกหลับให้สบายเถอะเพื่อนรัก แกดีที่สุดสำหรับฉันแล้ว


บางครั้งเราคิดว่ามันไม่เข้าใจคำพูดของเรา
บางครั้งเราคิดว่ามันไม่เข้าใจความรู้สึกของเรา
เพราะหลายครั้งเราไม่เคยมองลึกเข้าไปในตาของมัน
ดวงตานั้นไม่เคยเปลี่ยน ดวงตานั้นบอกว่ารักเรา
ช่วงชีวิตของเรายาวนานเมื่อเทียบกับมัน
แต่จะไม่มีประโยชน์อันใดเลย มีชีวิตร้อยปีแล้วจะเป็นอย่างไร
ถ้าชั่วชีวิตนี้เราไม่เข้าใจความรักอย่างแท้จริงอย่างมัน สู้มีชีวิตเพียงสิบกว่าปีดีกว่า

ความรักของแม่ (แมว) ยาวหน่อยนะแต่ซึ้งคับ

11 November 2010 - 05:33 PM

ผมทำงานเป็นพนักงานดับเพลิงในนิวยอร์ก บางครั้งอาชีพนี้ก็ทำให้หดหู่เพราะคราใดที่บ้านถูกไฟเผาผลาญ คุณจะหัวใจแหลกสลายไปด้วย พนักงานดับเพลิงเจอแต่เรื่องน่าสะพรึงกลัว และบางครั้งก็ต้องเจอความตายแต่วันที่ผมเจอเจ้าแมว “สการ์เล็ต” เป็นอีกเรื่องหนึ่งและมันเป็นเรื่องของชีวิตและความรัก วันนั้นเป็นวันศุกร์เรารุดออกไปดับเพลิง ตามที่ได้รับแจ้งตั้งแต่เช้าตรู่ว่ามีไฟไหม้ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง

ระหว่างที่เตรียมอุปกรณ์อยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแมวร้อง แต่ผมหยุดมือไม่ได้ต้องดับไฟก่อนแล้วจึงจะหาแมวได้ ไฟไหม้ครั้งนี้ลุกลามใหญ่โตมาก เราจึงมีหน่วยงานอื่นๆ มาช่วยสนับสนุนด้วยทั้งฝ่ายตะขอเกี่ยวและบันได

เราได้รับแจ้งว่าทุกคนในอาคารนี้ออกมาได้โดยปลอดภัยแล้ว ผมเองก็หวังเช่นนั้นเพราะที่ปั๊มมีแต่เปลวไฟเต็มไปหมดใครขืนเข้าไปกู้ภัยคง จะไม่รอดแน่ กว่าจะดับไปได้ก็กินเวลานานมาก และต้องใช้กำลังคนมากมาย ถึงตอนนี้มีเวลามองหาแล้วว่าเสียงแมวมาจากไหน ควันไฟยังพวยพุ่งออกมาจากตัวปั๊มเต็มไปหมด ผมมองอะไรไม่ค่อยเห็น ได้แต่เดินตามเสียงแมวร้องไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณบาทวิถี ห่างจากหน้าปั๊มราวๆ 5 ฟุตเห็นจะได้ ก็เห็นลูกแมวตัวเล็กๆ ท่าทางอกสั่นขวัญแขวนสามตัวกอดกันกลมส่งเสียงร้องกันระงมอยู่

พอมองไปรอบๆ ผมก็เจออีกสองตัวอยู่บนถนนตัวหนึ่ง ส่วนอีกตัวหนึ่งอยู่อีกฝั่งถนนหนึ่ง แมวพวกนี้คงจะติดอยู่ในอาคารเป็นแน่เพราะขนมันถูกไฟลนเสียจนโก๋รน

ผมตะโกนขอลังสักใบ และมีนักมุงหามาให้ใบหนึ่ง ผมจับลูกแมวทั้งห้าตัวใส่ในลังและอุ้มลงไปพักไว้ หน้าระเบียงบ้านหลังหนึ่งแถวนั้น ผมมองหาแม่แมว สังหรณ์ว่าแม่แมวคงจะเข้าไปในปั๊มที่กำลังไฟไหม้ และทยอยคาบลูกออกมาไม่หมด เอ๊...แล้วแม่แมวไปอยู่เสียที่ไหน

ตำรวจคนหนึ่งชี้บอกผมว่าเห็นแม่แมวเข้าไปที่ร้านตรงที่ผมเจอลูกแมวสองตัวสุด ท้าย แม่แมวอยู่ที่นั่นจริงๆ มันนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด แผลไฟไหม้ดูสาหัส ตาเป็นแผลพองจนลืมไม่ขึ้น อุ้งเท้าดำเพราะถูกไฟลน ขนถูกไฟลามเสียจนเห็นหนัง บางแห่งจะเห็นเนื้อแดงเหวอะหวะ ตัวอ่อนปวกเปียกจนเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้

ผมเดินไปหามันช้าๆ ค่อยๆ พูดกับมันเบาๆ มันคงเป็นแมวป่า ผมไม่อยากให้มันตกใจ เมื่อผมอุ้มมันขึ้นมา แม่แมวร้องอย่างเจ็บปวดกลิ่นขนและเนื้อหนังของมันส่งกลิ่นเหม็นไหม้ มันไม่กระดุกกระดิกแต่พยายามจะลืมตามองดูผม แต่ลืมไม่ขึ้น ดูมันเหนื่อยอ่อนเต็มประดา ได้แต่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนผม ผมตื้นตันน้ำตาคลอหน่วย เมื่อรู้สึกว่าแม่แมวไม่กลัวผม ไว้ใจผม ผมตั้งใจจะช่วยชีวิตแม่แมวผู้กล้าหาญและลูกทั้งห้าตัวของมัน ชีวิตของพวกมันขึ้นอยู่กับผม

ผมค่อยๆ วางแม่แมวลงในลังรวมกับลูกๆ ของมัน แม่แมวตาบอดยังอุตส่าห์ใช้จมูกแตะลูกแมวแต่ละตัวจนทั่ว เพื่อให้แน่ใจว่าทุกตัวปลอดภัย มันคงเบาใจที่ลูกของมันอยู่ครบทุกตัวแม้ตัวมันเองจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม แมวทั้งหมดต้องได้รับการรักษาโดยด่วน ผมนึกถึงบ้านสงเคราะห์สัตว์แห่งหนึ่งชื่อ สันติบาตรสัตว์นอร์ชอร์ ผมเคยนำสุนัขที่ถูกไฟไหม้อาการสาหัสไปให้ที่นั่นรักษาแผลเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน องค์การนี้ช่วยได้แน่ ผมโทรศัพท์ไปแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่ากำลังพาแม่แมวและลูกแมวที่ถูกไฟลวกอาการ สาหัสไปให้รักษา ผมไม่มีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้า ยังสวมชุดดับเพลิงที่มีกลิ่นคราบควันไฟอยู่เต็มแล้วบึ่งรถบรรทุกของผมไปโดย เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อไปถึงก็เห็นสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่สองชุดเตรียมตัวรับแมวอยู่แล้วที่ ลานจอนรถ พวกเขารีบนำแมวทั้งหมดเข้าไปในห้องพยาบาล ทีมหนึ่งรักษาแม่แมวอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง และอีกทีมหนึ่งดูแลลูกแมวอยู่บนโต๊ะอีกตัวหนึ่ง ผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นกำลังจากการดับไฟ และพยายามไม่เข้าไปเกะกะในห้องพยาบาล

ผมไม่ค่อยหวังเท่าใดว่าแมวเหล่านี้จะรอดชีวิต แต่ถึงอย่างไรก็ทิ้งมันไม่ลงจริงๆ หลังจากรออยู่ครู่ใหญ่สัตวแพทย์ก็บอกผมว่า เขาต้องเฝ้าอาการแม่แมวและลูกของมันทั้งคืน และไม่มั่นใจว่าตัวแม่จะรอดหรือเปล่า วันรุ่งขึ้นผมกลับไปอีก รอแล้วรอเล่า กำลังจะเลิกล้มความหวัง สัตวแพทย์ก็เดินเข้ามาบอกข่าวดีกับผมว่า ลูกแมวรอดแล้ว “แล้วแม่แมวล่ะ” ผมกลัวคำตอบเหลือเกิน “ยังบอกไม่ได้ครับ ต้องรอดูก่อน” ผมไปที่นั่นทุกวันเพื่อฟังอาการ แต่ละวันก็ได้ยินแต่คำตอบซ้ำๆ ว่า “ต้องรอดูก่อน” ประมาณหนึ่งสัปดาห์ให้หลังผมไปที่สถานสงเคราะห์อีกครั้งด้วยความหดหู่ใจ


นึกในใจว่าถ้าแม่แมวไม่ตาย ป่านนี้ก็รู้แล้วละว่าจะมีอาการร่อแร่อย่างนี้ไปอีกนานเท่าใด ทันทีที่ผมเดินเข้าไป สัตว์แพทย์ก็ยิ้มรับและยกนิ้วให้สัญญาณผมว่า แม่แมวไม่เพียงแต่รอดพ้นจากขีดอันตรายเท่านั้น อีกหน่อยมันจะมองเห็นได้อีกด้วย เอาละในเมื่อแม่แมวไม่ตายอุตส่าห์รอดมาได้ก็ต้องตั้งชื่อกันเสียหน่อย เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตั้งชื่อว่า “สการ์เล็ต” แปลว่าแดงก่ำเพราะผิวที่แดงเถือกของมัน ผมสะเทือนใจที่ได้เห็นแม่แมวเจอหน้าลูกๆ อีกครั้ง เพราะรู้ดีว่ามันต้องกัดฟันต่อสู้ขนาดไหนกว่าจะรอดมาได้

แล้วทายซิว่าสิ่งแรกที่แม่แมวทำคืออะไร

มันนับลูกอีกครั้งโดยเอาจมูกแตะลูกทีละตัวๆ เพื่อให้มั่นใจว่าลูกๆ อยู่กันปลอดภัยโดยครบถ้วน มันยอมเสี่ยงภัยเพื่อลูก ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่ถึงห้าครั้งและได้ผลด้วยลูกๆ ของมันรอดชีวิตทั้งหมด

อาชีพอย่างผมนี่มีโอกาสได้เห็นวีรกรรมที่กล้าหาญอยู่ทุกวัน แต่ที่แม่แมวพิสูจน์ให้เห็นในวันนั้นเป็นสุดยอดวีรกรรม เป็นวีรกรรมที่มาจากความรักของแม่โดยแท้! มีหลายๆ สายตาที่ได้มองต่อกันเป็นทอดๆ ดังนี้ สายตา(แม้ว่าจะเกือบบอด) และจมูกของแม่แมวที่พยายามมองและสัมผัสไปยังลูกๆ

นักดับเพลิงมองไปยังแม่แมวกับลูกๆ และพยายามช่วยเหลือจนสำเร็จ



สายตาและความคิดอ่านของท่าน...
ความรักมีอยู่ในโลกใบนี้เสมอ
สิ่งต่างๆ ยังคงกำเนิดมาจากความรักทั้งสิ้น
แม้โลกนี้ที่เป็นไปอยู่นี้จะไม่สวยงามอย่างที่คิด
แต่โลกก็อยู่ได้ด้วยคนที่มีน้ำใจเมตตา
ทำให้โลกใบนี้ยังคงเป็นโลกอยู่เสมอ...

ปล.รักแม่ให้มากๆนะครับ



ตำนาน ป่า คำชะโนด ต่อภาค2

11 November 2010 - 05:09 PM

เดิมทีคนท้องถิ่นจะเรียกที่นี่ว่า "วังนาคินทร์คำชะโนด" ที่มาก็คือมีบ่อน้ำอยู่กลางดงชะโนด เป็นบ่อน้ำขนาดเล็กๆ แต่กลับมีน้ำซึมออกมาตามธรรมชาติตลอดเวลา ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าบ่อน้ำประทานมาให้โดยพญานาคที่อาศัยอยู่ในบริเวณผืนป่า สำหรับบ่อน้ำในป่าคำชะโนด ว่ากันว่าเป็นบ่อน้ำที่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ชาวบ้านเชื่อกันอย่างนั้น มีหลายคนเคยลองอธิษฐานตรงหน้าบ่อน้ำก็ได้ตามประสงค์ บางคนเจ็บป่วยไปดื่มหรืออาบโรคร้ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง สร้างความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก แต่นั่นไม่ใช่ทุกคน อยู่ที่ความเชื่อมีมากน้อยแค่ไหน หลายคนไม่เชื่อแถมยังลบหลู่ ตักน้ำจากบ่อแล้วนำมาล้างเท้าแทนที่จะหายป่วยไข้กลับทุกข์ทรมานซ้ำหนักกว่าเดิม

เช่นเดียวกับใครที่อยากจะเข้าไปสัมผัสป่าลี้ลับคำชะโนดก็ต้องสำรวมและปฏิบัติตามข้อห้ามอื่นๆ เป็นต้นว่า ห้ามใส่รองเท้าทั่วทั้งบริเวณป่า หมวก แว่นตา ร่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ห้ามเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้คือการดูถูกดูหมิ่นต่อผู้ปกปักรักษาผืนดิน

"แต่ก่อนห้ามใส่เสื้อสีแดงด้วย ไม่ได้เลยนะ ใครใส่เข้ามานี่เป็นเรื่อง อยู่ไม่ได้นานหรอก ต้องรีบออกไป ไม่รู้เพราะอะไร เหมือนท่านไม่ชอบ แต่พอหลวงปู่ (หลวงตาคำ สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศรีสุทโธ วัดละแวกป่าคำชะโนด) ได้ทำพิธีขอยกเว้นตอนหลังก็ใส่ได้" ทองหล่อ ตลิ่งชัน กำนันตำบลวังทอง กล่าว

ความเชื่อเรื่องพญานาคของคนที่นี่นั้นอาจไม่แตกต่างจากชาวหนองคายที่เชื่อว่าพญานาคมีจริง บั้งไฟพญานาคเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของเจ้าแห่งเมืองบาดาล ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ธรรมดาเหมือนเมื่อครั้งถูกนำเสนอผ่านหนัง รวมถึงสื่อทีวีบางช่องเมื่อหลายปีก่อนโน้น ชาวบ้านละแวกป่าคำชะโนดก็คล้ายกัน พวกเขาสร้างทางเดินที่เชื่อมจากโลกภายนอกกับผืนป่าอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไว้ด้วยรูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร นอนเลื้อยยาวไปจนสุดทางเดินราว 300 เมตร เพื่อสะท้อนถึงพลังอำนาจและบารมีของพญานาคราช

กระทั่งในวันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านก็มีความเชื่อว่าเป็นวันที่พญานาคจะขึ้นมาหายใจ ดวงไฟสีแดงที่ผุดกลางบ่อน้ำแล้วลอยขึ้นท้องฟ้า (คล้ายๆ กับบั้งไฟพญานาคผุดกลางลำน้ำโขงที่ จ.หนองคาย) นั่นละคือ ลมหายใจพญานาค โดยชาวบ้านเชื่อว่าใครเห็นจะเป็นบุญของชีวิตเลยทีเดียว

ป่าคำชะโนด... ยังมีเรื่องเล่าอีกนับไม่ถ้วน ทั้งที่สร้างความรู้สึกชวนขนหัวลุก และตื่นเต้นเสียวสันหลัง เชื่อหรือไม่เชื่อนั้นแล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคล หรือคุณจะลองไปพิสูจน์...?