ไปที่เนื้อหา


usr37400

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 17 Oct 2010
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Sep 03 2013 10:46 AM
-----

โพสต์ที่ฉันโพสต์

ในกระทู้: ถามเรื่องสิ่งที่มาขัดขวางความสำเร็จครับ

30 August 2013 - 03:46 PM

       -กรรมปัจจุบันอันใกล้ ให้ผลทันตาเห็นครับ ทำงานดี ทำงานรอบคอบทุกๆด้าน ระมัดระวังความบกพร่องกับคนสัตว์สิ่่งของทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ย่อมได้รับผลกรรมหรือผลของการกระทำราบรื่นทันใจ...

       -ไม่ก่อหนี้เพิ่ม พิจารณาจ่ายเฉพาะเรื่องที่จำเป็นจริงๆ ไปก่อน เพราะปัจจุบันเรื่องทรัพย์มักเป็นปัญหาในชีวิต พร้อมที่จะอยู่ง่าย ไม่ตามแฟชั่น ใช้ของโดยดูที่คุณค่าแท้ เช่น นาฬิกา ใช้ดูเวลา ราคาไม่ถึงร้อยก็มี เป็นต้น..

       -หลายปัญหาเกิดขึ้นเพราะกดดันตัวเองเกินกำลัง เกิดสติปัญญาที่ตัวมี ในเมื่อยังไม่สำเร็จเป้าหมายใหญ่ ก็ให้พลิกวิธีการเป็นตั้งเป้าหมายเล็กๆ สั้นๆ ใช้เวลาไม่นานไปเรื่อยๆ ก่อน หมายความว่า เมื่อบุญในตัวยังไม่ส่งผลมากพอ ก็ให้ตั้งเป้าหมายชีวิตให้เหมาะกับกำลังบุญที่ตัวเองมี หากตั้งเป้าเกินกำลังบุญแล้วตัวเองทนแรงกดดันได้ ก็ว่าไปอีกอย่าง (เหมือนที่หลวงพ่อสอนลูกพระลูกเณรให้คิดว่า เราจะบวชไปวันต่อวัน แทนที่จะสอนให้ตั้งเป้าว่า เราจะบวชจนตลอดชีวิต) ไม่อย่างนั้นใจก็จะขุ่นมัวเสียบุญไปโดยใช่เหตุ 

       -ลดความอยากหรือลดความหวัง ลงมาบ้าง ก็จะทำให้ความกดดันลดลงตามไปด้วย

       -สำคัญที่สุด ต้องไม่ให้ขาดเลยคือ ทำทาน รักษาศีล๕, ๘ นั่งสมาธิทุกวันแล้วอธิษฐานจิตตามทุกครั้งที่ทำบุญดังกล่าว ครับ

        หากทำได้จริงๆ ตามนี้ ผมว่า จะทำให้ผ่านพ้นทุกวิกฤตของชีวิตไปได้ครับ


ในกระทู้: ผมอยากทราบว่าบอร์ดนี้ มีเจ้าหน้าที่วัดไหมครับ อยากสอบถามอะไรซักอย่างคือ......

30 August 2013 - 02:37 PM

         บางครั้ง การสื่อความ "ตั้งใจ" หรือ "เจตนา" ก็จำเป็นต้องเลือกใช้คำให้เหมาะสม...  ผู้ที่มีศรัทธาและมี "เจตนา" ที่ดี แม้จะใช้คำพูดที่ยังไม่เหมาะ ก็ควรได้รับคำแนะนำจากกัลยาณมิตรท่านอื่น...  ขออนุโมทนาบุญกับการเอาใจใส่แนะนำเรื่องการใช้คำที่เหมาะสมในกระทู้นี้นะครับ... ในเมื่อหมู่คณะคิดจะเป็น "ผู้นำ" ในการฟื้นฟูศีลธรรมอันดีงาม ก็ต้องยินดีปรีดาที่ได้ทำหน้าที่อย่างนี้กับผู้มาใหม่ทุกคนด้วยใจใสๆ... สาธุ สาธุ สาธุ กับทุกท่านครับ


ในกระทู้: ขอความช่วยเหลือดด่วนค่ะ...อยู่ในสถานะการวิกฤต

30 August 2013 - 01:51 PM

Re: คุณทัพพีในหม้อ

หลวงพ่อทัตตะเคยให้ความรู้ไว้เป็นหลักการว่า คนเราคบกันด้วยธาตุ  อายตนเดียวกัน ไปด้วยกันได้ อายตนะต่างกันก็เดินกันคนละทาง....

      จากหลักการดังกล่าว ทำให้เราเข้าใจโลก แม้ในสำนวนไทย ยังมีคำว่า ฝนตกขี้หมูไหลฯ ความชั่วหรือบาปก็มีแรงดึงดูดให้สิ่งไม่ดีไปรวมกัน ส่วนความดีงาม บุญ ก็ดึงดูดสิ่งดีๆ ไปรวมกัน คนไม่ดีคอเหล้าคอพนัน ก็ไปรวมกัน คนเข้าวัดปฏิบัติธรรม ก็ไปเจอกันทีวัด...  แม้วิญญาณที่ว่า... ก็ไม่ต่างกันครับ..จิตใจดี จิตใจงดงามย่อมอยู่ใกล้พระ ใกล้สิ่งที่เป็นมงคลได้  ส่วนวิญญาณที่มีรังสีความไม่ดี มีจิตใจหยาบช้า ก็ไม่สามารถเข้าใกล้พระหรือสิ่งที่มีพลังที่เป็นมงคลได้

       จึงเป็นที่มาว่า ทำไม ผี (หรือวิญญาณที่เราเข้าใจ) บางท่านจึงใกล้พระ จับพระ กราบพระได้ ในขณะที่บางตนไม่สามารถเข้าใกล้ได้... ก็เพราะธาตุละเอียดต่างกันดังหลักการบรรทัดแรกนั่นแหละครับผม..


ในกระทู้: ขอความช่วยเหลือดด่วนค่ะ...อยู่ในสถานะการวิกฤต

30 August 2013 - 11:44 AM

      พี่หัดฝันแนะนำสั้นสุด แต่ครอบคลุมที่สุดครับ หากเราถูกเบียดเบียนด้วยโอปปาติกะ(เข้าใจง่ายๆว่าวิญญาณ ก็พอได้ครับ) วิธีการไม่ให้เขาเข้ามายุ่ง เข้ามาใกล้ เข้ามาสิง เข้ามาดลจิตดลใจ เราต้องทำตัวเองให้ใส ทำใจให้ใส ทำใจให้เป็นพระแก้วใส หรือหากยังทำด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่ต่อเนื่องตลอดเวลา ก็ต้องอาศัยบารมีธรรมครูบาอาจารย์ เช่น อาราธนาพระหลวงปู่สด มาห้อยคอ แล้วหมั่นนึกถึงท่าน นึกถึงพระนั้นไว้กลางกายบ่อยๆ ตลอดเวลา 

      เหตุที่แนะนำอย่างนี้เพราะว่า วิญญาณที่ไม่ดี วิญญาณที่มีจิตเป็นอกุศล จะมีพลังที่ตรงข้ามกับจิตที่เป็นกุศล ความมืด ย่อมถูกทำลายด้วยความสว่าง ฉันใด ใจที่มีพลังอกุศล(ของวิญญาณ) ย่อมไม่อาจเข้าใกล้ใจที่เป็นกุศล(ของเรา หรือวัตถุมงคลที่มีอานุภาพธรรมกายซ้อนอยู่)ได้ฉันนั้น

      ทีนี้ขึ้นอยู่กับความเพียรของเราที่พยายามสร้างความใสให้เกิดในตัวเราให้ได้ตลอดเวลา หรือว่า ความเพียรของวิญญาณที่พยายามติดตามมารบกวนเรา ใครจะมากกว่ากัน..  ทุกครั้งที่ทำบุญกุศล ให้ตั้งใจแผ่ส่วนบุญให้เขา(วิญญาณนั้น) ไปทำบุญก็ให้ถือโอกาสนึกชวนเขาไปทำด้่วย (ชวนง่ายกว่ามนุษย์เพราะเขาเถียงโต้ตอบเราไม่ได้) จากศัตรูก็จะค่อยๆคลาย และกลับกลายมาเป็นมิตรในที่สุดครับบ...  

      ผมเคยเจอเหตุการณ์นี้กับคนที่ใกล้ตัวผมที่สุดมาแล้ว... วิญญาณนั้นมาเข้าสิงคนใกล้ตัว กลางวันแสกๆครับ ผมกับเขาพูดคุยกันสดๆ เขาจะเข้าๆ ออกๆ วนเวียนอยู่นาน จากเริ่มแรกเหมือนเขาคุยไม่รู้เรื่อง ผ่านไปราวๆ ครึ่งเดือนเขาเริ่มพูดโต้ตอบ กับเรารู้เรื่อง ตอนที่แย่ที่สุดเคยอุ้มไปหาพระ ปรากกฏว่าพระท่านใช้คาถาเอาไม้ตีให้ออกไปจากร่าง เขาก็ออกไปครับ แต่พอกลับบ้าน เขาก็เข้ามาอีก ในที่สุดด้วยความเพียร ด้วยบารมีหลวงปู่ คุณยาย ด้วยการหมั่นพูดคุยสอนธรรมะให้กับวิญญาณที่มาเข้าสิง และการแผ่ส่วนบุญให้เขาทุกวัน ไปวัดพระธรรมกายก็ชวนเขาไปด้วย ในขณะหลวงพ่อนำนั่งสมาธิ  เขาก็อยู่นอกสภาธรรมกายสากล  พอกลับบ้านเขาก็ตามกลับด้วย...(ช่วงแรกที่เขาเข้าสิงใหม่ๆ ผมเคยลองเอาเหรียญห้อยคอหลวงปู่ปราบมารของที่วัดพระธรรมกาย ไปแตะที่แขน เขาสะดุ้งร้อง บอกว่าร้อน แล้วก็ออกจากร่างไปเลยครับ )  สุดท้าย วิบากกรรมเบาบาง(ใช้เวลาราว ๓ เดือน) ก่อนจากกัน เขามาเข้าฝันมาบอกว่า จะไปแล้ว ขอบคุณที่ผ่านมา ...ทุกอย่าง ที่ทำให้เขาหลุดพ้นจากการถูกบังคับจากนายของเขา(เป็นหมอไสยเวทคนนึงครับ)....  ขอให้เจ้าของกระทู้เข้มแข็งนะครับ ต้องเข้มแข็งและอดทนครับ 


ในกระทู้: วัตถุนิยม (MATERIALISM)

22 August 2013 - 11:26 AM

อืม...  ดีจังเลยครับ ถ้าหาที่ update ได้ยิ่งกว่านี้จะยิ่งดีมากๆเลยครับ... เปิดหูเปิดตาชาวพุทธ ความจริงแล้วก็น่าแปลกนะครับ ผมเคยคิดว่าแม้มนุษย์ไม่รู้เรื่องเลยเกี่ยวกับคุณสมบัติพิเศษ(ที่เรียกว่า อภิญญา 6) ที่มีอยู่ในตัวเองแต่ยังทำไม่ได้ ยังเข้าไม่ถึง แต่พวกเขาก็จะพยายามคิดประดิษฐ์สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ทางด้านวัตถุออกมาเป็นเครื่องช่วยอำนวยความสะดวก โดยมีแนวโน้มไปในทางเดียวกับการมีอภิญญาเกือบทั้งหมด...ดังเช่น

     ๑.อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ได้ เหาะ-เครื่องบิน, ดำดิน-เจาะอุโมงค์รถไฟใต้ดิน, ล่องหน-ยังทำไม่สำเร็จ

     ๒.หูทิพย์ -โทรศัพท์

     ๓.รู้ใจ รู้ความคิด -ยังไม่สำเร็จ

     ๔.ระลึกชาติ (ย้อนอดีต)- เครื่องบันทึกเสียงบันทึกภาพเคลื่อนไหว

     ๕.ตาทิพย์ - ทีวี, เทคโนโลยี 3G, 4G แบบ realtime, หรือgoogle street view 

     ๖.อาสวักขยญาณ -ยังไม่มี

แม้ว่าจะยังมีข้อจำกัดอีกมากมายสำหรับการพัฒนาด้านวัตถุเพื่อเดินตามแนวทางอภิญญา๖ แต่ก็น่าสงสัยว่า แท้จริงแล้วอาจเป็นไปได้ว่า หลายๆอย่างที่มนุษย์รังสรรค์ขึ้นมา อาจถูกผลักดันหรือถูกกระตุ้นมาจากดวงปัญญาภายใน หรือจากกายละเอียดภายในที่เรียกร้องมาตลอด ในเมื่อหนทางที่ถูกต้องแท้จริงถูกปิดบัง ก็เลยปะทุผลงานออกมาทางวัตถุแทน

      อย่างไรก็ตามได้ข้อคิดอีกประการหนึ่งว่า... แม้มนุษย์จะได้โอกาสชิมลองหรือสัมผัสกับเทคโนโลยีคล้ายๆ กับมีอภิญญาเล็กๆ ก็ไม่สามารถ "ลดกิเลส" ให้น้อยลงไปได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่า แม้ผู้ได้บางอภิญญา ดังเช่นพระเทวทัต สามารถแปลงร่างเป็นงู ได้ ก็ยังมีกิเลสท่วมหัวใจ คิดปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าได้...  ประเด็นสำคัญของการมีอภิญญาข้อ ๑-๕ ก็คือ เรามีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือ เป็นอุปกรณ์ในการส่งเสริมให้งานสร้างบุญบารมีให้ดีขึ้นง่ายขึ้นสมบูรณ์ขึ้น ลดระยะเวลาทำความเข้าใจธรรมะของพระพุทธองค์ได้มากขึ้น นั่นเอง...

     แหะๆ.....  คนละเรื่องเลยครับกับหัวข้อ....   ขออภัยนะครับ... แชร์ความคิดครับผม...