ชาดก 500 ชาติ

กาลัณฑุกชาดก-ชาดกว่าด้วยมารยาทส่อสกุล

ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งได้ปล่อยให้เพื่อนภิกษุของตนกวาดลานวัดโดยที่ตนเองขอตัวจากไปไม่อยากที่จะช่วยเหลือ

ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งได้ปล่อยให้เพื่อนภิกษุของตนกวาดลานวัดโดยที่ตนเองขอตัวจากไปไม่อยากที่จะช่วยเหลือ  
      
      ในพุทธกาลสมัยหนึ่ง พระเชตวันมหาวิหารอารามอันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหล่าภิกษุสาวกมากมายล้วนตั้งใจปฏิบัติธรรม
อย่างสงบสุขเรื่อยมา 
เช้านี้อากาศสดชื่นเหมือนเช่นเคย เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมยิ่งนัก ” “ นั่นนะสิ เอาไว้กวาดลานตรงนี้เสร็จเราเข้าไปศึกษาธรรมกันต่อ
ยังมีอีกหลายข้อเลยที่เราสงสัยใคร่รู้นะท่าน
 
เสร็จจากภารกิจภิกษุบางกลุ่มก็มานั่งศึกษาธรรมะกันด้วยความใฝ่รู้
 
เสร็จจากภารกิจภิกษุบางกลุ่มก็มานั่งศึกษาธรรมะกันด้วยความใฝ่รู้
       
        “ อืม ดีเหมือนกัน งั้นเรารีบเร่งมือกันเถอะ ” “ อ้าวๆ จะมัวคุยกันไปถึงไหนละเนี่ย รีบ  เก็บกวาดได้ไหม ข้าเบื่อทำงานสกปรกอย่างนี้จริง  เชิญพวกท่านคุยไป
ทำไปก็แล้วกันนะ
 ” “ อ้าว ” 
ภิกษุทั้งหลายเมื่อปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเรียบร้อยก็ได้เวลาที่จะศึกษาพระธรรมคำสอนตามความสนใจใคร่รู้ของแต่ละรูป และคอย
ช่วยเหลืออธิบายขยายธรรมให้แก่กันเป็นอันดี

 
ภิกษุหนุ่มขี้โอ่ชอบพูดจาถากถางผู้อื่นโดยไม่มีความเกรงใจ
 
ภิกษุหนุ่มขี้โอ่ชอบพูดจาถากถางผู้อื่นโดยไม่มีความเกรงใจ
      
        “ ท่านพอจะเข้าใจถ่องแท้ในจุดนี้บ้างไหม ” “ อ่อ ได้สิ เดี๋ยวเราจะอธิบายให้ท่านทราบนะ ” “ ปัดโธ่เอ๋ย ง่าย  แค่นี้พวกท่านยังไม่เข้าใจกันอีกหรือนี่
เชอะ เหมาะแล้วที่ต้องมากวาดลานอย่างนี้ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ” “ อ้าว ” ภิกษุขี้โอ่รูปนี้มักพูดจายกตนข่มท่าน คอยถากถางภิกษุรูปอื่น  อย่างไม่ให้ความเคารพ
เกรงใจ


ภิกษุทั้งหลายต่างพากันมาฉันภัตตาหารเพลที่โรงครัว
 
ภิกษุทั้งหลายต่างพากันมาฉันภัตตาหารเพลที่โรงครัว
 
       ซ้ำร้ายยังปฏิบัติตนไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อน คิดอยู่เพียงอย่างเดียวว่า ตนไม่คู่ควรที่จะมาอยู่รวมกับภิกษุเหล่านี้ (...เชอะระดับเราไม่น่ามาเกลือกลั้ว
รวมกับภิกษุรูปอื่น
 ๆ อย่างนี้เลยมันคนละชั้นกันเห็น เดี๋ยวหนีไปตั้งสำนักใหม่แล้วจะหนาว อีโธ่แม้ในยามฉันเพลภิกษุทั้งหลายก็พร้อมใจกันมาที่โรงครัว
เพื่อรับภัตตาหาร


ภิกษุหนุ่มขี้โอ่ไม่พอใจในภัตตาหารที่มีแต่ประเภทผักในแต่ละมื้อ
 
 ภิกษุหนุ่มขี้โอ่ไม่พอใจในภัตตาหารที่มีแต่ประเภทผักในแต่ละมื้อ        
        โดยอาหารที่นำมานั้นก็มาจากที่มีชาวบ้านนำมาถวายบ้าง หรือเป็นพืชผักที่ภิกษุปลูกเองบ้าง และเหมือนเช่นทุกครั้งภิกษุขี้โอ่ก็ยังคงแสดงกิริยาโอ้อวด
พูดจาไม่เกรงใจใครเหมือนเช่นเคย
 “ เอาล่ะ ฉันเสร็จแล้วเราว่าจะไปถามพระอาจารย์ถึงข้อธรรมะที่เราสงสัย ท่านจะไปด้วยกันไหม ” “ ได้สิ เออนิท่าน ดูนี่สิ
ผักที่พวกเราปลูกกันเอง

 
"เหล่าภิกษุทั้งหลายต่างพากันพูดถึงภิกษุหนุ่มขี้โอ่ซึ่งได้แสดงกิริยามารยาทที่ไม่เหมาะสมในหลายสถานการณ์" src="/images/Jataka/Kalanduka-07.jpg" style="margin: 0px; width: 817px; height: 613px;" title="เหล่าภิกษุทั้งหลายต่างพากันพูดถึงภิกษุหนุ่มขี้โอ่ซึ่งได้แสดงกิริยามารยาทที่ไม่เหมาะสมในหลายสถานการณ์" />

 
 เรื่องราวของภิกษุหนุ่มขี้โอ่ได้ล่วงรู้ไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
งั้นก็เชิญท่านเข้าไปพูดกับเขาแล้วกัน พวกเราจะเป็นกำลังใจให้อยู่ห่าง  นะ " “ อ้าว อย่าเกี่ยงกันเลย ของอย่างนี้ไม่มีใครอยากไปพูดหรอกคงต้องให้
เจ้าตัว
รู้ตัวด้วยตนเองละกระมัง ” “ เฮ้อ เหนื่อยใจ ” เหตุการณ์นี้ได้ล่วงรู้ไปถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ทรงตรัสเรียกภิกษุขี้โอ่นั้นก่อนจะเรียกภิกษุขี้โอ่
รูปนั้นเข้าพบ
 
เศรษฐีแห่งเมืองพาราณสีผู้มีจิตใจเมตตา
 
เศรษฐีแห่งเมืองพาราณสีผู้มีจิตใจเมตตา
        

        และตรัสสอนให้ภิกษุรูปนี้เปลี่ยนแปลงความประพฤติของตนเองซะ “ ดูก่อนภิกษุ เหตุไฉนเล่าท่านจึงได้มักพูดจาโอ้อวด ถากถางผู้อื่นอยู่เยี่ยงนี้เล่า ” “ เอ่อ
ข้าพระองค์ก็เพียงแต่เห็นว่า ข้าน่าจะได้อยู่ ได้ฉันในสิ่งที่ดีกว่านี้เท่านั้น มิได้มีเจตนาจะว่าร้ายใครเยี่ยงไรเลยขอรับ ” “ ภิกษุเอ๋ยการกระทำเยี่ยงนี้นับว่าไม่สมควร
ต่อการครองเพศสมณะยิ่งนัก

 
ชาวเมืองต่างพากันพูดถึงการไปรับอาหารที่ท่านเศรษฐีนำมาแจกจ่าย
 
ชาวเมืองต่างพากันพูดถึงการไปรับอาหารที่ท่านเศรษฐีนำมาแจกจ่าย
       

       มิเพียงแต่ในชาตินี้เท่านั้นหรอกนะที่ท่านประพฤติตนเยี่ยงนี้ แม้ในชาติปางก่อนท่านเองก็เคยประพฤติตนเยี่ยงนี้จนได้รับความเดือนร้อนมาแล้วเหมือนกัน ”
จากนั้นพระพุทธองค์จึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณย้อนไปในอดีตชาติตรัสเล่ากาลัณฑุกชาดกเป็นแง่คิดให้กับภิกษุขี้โอ่รูปนี้และเหล่าภิกษุทั้งหลาย
ได้ฟัง

 
บุตรของท่านเศรษฐีและลูกของทาสในเรือนได้คลอดในวันเดียวกัน
 
บุตรของท่านเศรษฐีและลูกของทาสในเรือนได้คลอดในวันเดียวกัน
        

        เพื่อระลึกถึงโทษแห่งการยกตนข่มท่านคอยถากถางคนอื่นไว้ดังนี้ ย้อนไปเมื่อครั้งอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ อยู่พระนครพาราณสี ปกครอง
แผ่นดินพาราณสีอย่าสงบสุขร่มเย็น
 “ แหม วันนี้ปลาช่างสดจริง  เลยนะ วันนี้ซื้อปลาไปทำกับข้าวกินกันดีกว่า ” “ โอ้ย จะซื้อไปทำไม ไปที่บ้านท่านเศรษฐีสิ


ลูกชายของทาสเศรษฐีได้ตามลูกเศรษฐีมาเรียนหนังสือด้วยทุกครั้ง    

ลูกชายของทาสเศรษฐีได้ตามลูกเศรษฐีมาเรียนหนังสือด้วยทุกครั้ง 
        

       วันนี้ท่านนำอาหารมาแจกชาวบ้านอีกแล้วนะ ” “ อ้าวเล่นมาพูดกันต่อหน้าแผงข้าแบบนี้ ขายไม่ออกกันพอดี โอ้ย ” ท่านเศรษฐีผู้ใจบุญนั้นแท้จริงคือพระโพธิสัตว์
ที่เสวยพระชาติมาบำเพ็ญคุณงามความดี
 สะสมบารมีนั่นเอง และในภพชาตินี้มหาเศรษฐีโพธิสัตว์ผู้มั่งมีอุดมไปด้วยข้าทาสบริวารและทรัพย์สมบัติเป็นจำนวนมาก
มักนำอาหารมาแจกจ่ายเป็นทานให้แก่ชาวบ้าน จนเป็นที่เลื่องลือกันทั่วเมือง

 
ลูกทาสในเรือนเศรษฐีได้ปลอมแปลงหนังสือเพื่อจะนำติดตัวไปในการเดินทาง
 
ลูกทาสในเรือนเศรษฐีได้ปลอมแปลงหนังสือเพื่อจะนำติดตัวไปในการเดินทาง

        “ ไปกันเถอะพวกเราไปรับทานจากท่านเศรษฐีกันดีกว่า ” “ นี่ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ นี่ชื่นชมท่านเศรษฐีหรือว่าอยากได้ของแจกกันแน่ หา ” “ รู้ทันข้าอีกแล้ว ”
ในเวลานั้นภรรยาของพาราณสีเศรษฐีได้ให้กำเนิดบุตรชายมาหนึ่งคนซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ทาสของท่านเศรษฐีก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายขึ้นมาพร้อมกัน
โดยเด็กทั้งสองคลอดวันเดียวกัน
 

ลูกทาสหนุ่มได้ออกเดินทางไปยังปัจจันตชนบท
 
ลูกทาสหนุ่มได้ออกเดินทางไปยังปัจจันตชนบท
 
        “ ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า ลูกพ่อน่ารักน่าชังอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีจริง  เลย น่ารักมาก ” “ ท่านพี่ดูลูกเรายิ้มสิค่ะ ” “ ลูกกระผมก็เกิดวันเดียวกับนายน้อยเลยขอรับนายท่าน ”
“ 
งั้นเหรอ เออดี ดี ต่อไปลูกเจ้ากับลูกเราจะได้เป็นเพื่อนเล่นกัน ดีมาก  ดีมากอย่างนี้หละดีแล้ว ” เด็กทั้งสองนั้นเติบโตมาด้วยกันเมื่อถึงวัยได้เวลาศึกษาเล่าเรียน
บุตรของพาราณสีเศรษฐีได้เรียนหนังสือ ส่วนลูกทาสนั้นก็จะถือเอากระดานชนวนตามไปเรียนด้วยทุกครั้งไปเพื่อศึกษาหนังสือกับบุตรพาราณสีเศรษฐีด้วย

ลูกทาสหนุ่มได้นำหนังสือที่ตนปลอมแปลงมามอบให้กับปัจจันตเศรษฐี
 
ลูกทาสหนุ่มได้นำหนังสือที่ตนปลอมแปลงมามอบให้กับปัจจันตเศรษฐี
       

        “ เจ้านี่ช่างขยันจริง  เลยนะ ถือกระดานชนวนตามเรามาเรียนทุกวันเลย ดีเหมือนกัน เราจะได้ไม่เหงา ” “ ขอรับกระผมจะได้อยู่เป็นเพื่อนเรียน เพื่อนเล่น
ให้นายน้อยด้วยไงขอรับ
 ” เมื่อเขียนอ่านได้เพียงไม่กี่ครั้งลูกทาสก็เริ่มจดจำและฉลาดในถ้อยคำ และฉลาดในโวหารมากขึ้นตามลำดับ จนเวลาล่วงเลยไป
ลูกทาสผู้นี้ก็เติบโตเป็นหนุ่มรูปงามมีนามว่า กฏาหกะ “ เฮ้อร่ำเรียนมาสะสูง แต่ไม่แคล้วยังไงสะเราก็คงได้แค่ลูกทาสนั้นแหละ ”

ลูกทาสได้ชอบทำตนอวดเบ่งใหญ่โตไม่เกรงใจใคร
 
ลูกทาสได้ชอบทำตนอวดเบ่งใหญ่โตไม่เกรงใจใคร
 
     ด้วยความที่ท่านพาราณสีเศรษฐีเห็นว่ากฏาหกะมีความชาญฉลาดจึงได้มอบหมายงานให้ทำในเรือนของท่านเอง ด้วยกฏหกะได้รับหน้าที่เป็นเสมียนประจำอยู่ใน
คลังพัสดุเรือนของท่านพาราณสีเศรษฐีนั่นเอง
 (อืม ท่านเศรษฐีอุตส่าห์มอบความไว้วางใจให้กับเรา เราต้องตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ท่านมอบโอกาสให้)
ต่อมากฏาหกะก็เริ่มคิดขึ้นมาได้ว่าเขาคงจะไม่อยู่ทำงานเป็นเสมียนที่นี่ตลอดไป เนื่องจากรู้ตัวว่าตนเองเป็นเพียงแค่ลูกทาส อย่างไรเสียก็คงถูกใช้เยี่ยงทาสอยู่ดี
 
เศรษฐีพาราณสีได้ให้บริวารออกตามหาตัวลูกทาสที่ได้หายตัวไป
 
เศรษฐีพาราณสีได้ให้บริวารออกตามหาตัวลูกทาสที่ได้หายตัวไป
 
     (คิด  ไปคนที่นี่เขาคงไม่เอาเราเป็นเสมียนไปตลอดเหมือนกันนั่นแหละ อีกหน่อยพอมีอะไรผิดพลาดไปก็คงไม่แคล้วมาเฆี่ยนตีเรา แล้วก็ใช้เราไม่ต่างกับทาสอยู่ดี
แล้วเราจะทนอยู่ทำไม อืม จะว่าไปเห็นเขาว่ากันว่าที่ชายแดนมีปัจจันตเศรษฐีที่เป็นสหายกับท่านเศรษฐีของเราอยู่ด้วย หรือว่าเราจะสวมรอยไปอยู่ที่นั้นดีนะ ) เมื่อตัด
สินใจได้ดังนั้นกฏาหกะจึงลงมือปลอมแปลงหนังสือขึ้นมาหนึ่งฉบับโดยอ้างเอาว่าตนเป็นลูกชายของท่านพาราณสีเศรษฐีหวังจะให้ปัจจันตเศรษฐีหลงเชื่อและรับตน
เข้าไปทำงานด้วย
 
ท่านเศรษฐีได้ให้นกแขกเต้าออกตามหาชายหนุ่มลูกทาสไปยังแถบชนบท
 
ท่านเศรษฐีได้ให้นกแขกเต้าออกตามหาชายหนุ่มลูกทาสไปยังแถบชนบท
 
       “ ฮ่ะ ฮ่า เอาล่ะที่นี้ก็เรียบร้อย แหมเรานี่ช่างฉลาดจริง  แค่นี้ก็สบายไปทั้งชาติ ดีกว่าต้องอยู่เป็นทาสที่นี่ไปจนวันตาย ” จากนั้นก็นำหนังสือเล่มนั้นไปด้วยแล้วก็
ออกเดินทางไปหาปัจจันตเศรษฐีหวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั้น
 “ ต่อไปก็แค่มอบหนังสือนี้ให้กับท่านปัจจันตเศรษฐีดู แค่นี้ก็เป็นไปตามแผน หนังสือเราก็ปลอมซะเหมือน
ขนาดนี้ไม่มีทางดูออกแน่
  ” เมื่อได้พบกับปัจจันตเศรษฐี กฏาหกะก็จัดแจงมอบหนังสือที่นำติดตัวมาด้วยให้ท่านเศรษฐีได้พิจารณา
 
นกแขกเต้าได้ออกตามหาชายหนุ่มไปยังชายแดนชนบท
 
นกแขกเต้าได้ออกตามหาชายหนุ่มไปยังชายแดนชนบท

         “ อืม ที่แท้ท่านก็เป็นลูกของพาราณีเศรษฐีเองหรอกหรือ ถ้างั้นก็เชิญอยู่ที่นี่ได้ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอกนะ ตามสบายเลย ตามสบาย ” “ ขอบพระคุณท่านมาก ”
(
สำเร็จเป็นไปตามแผนเลย เฮอะๆๆ) กฏาหกะอาศัยอยู่ที่นี่อย่างเปี่ยมสุข ไม่นานนักปัจจันตเศรษฐีก็มอบบุตรธิดาของตนให้แต่งงานด้วยและอาศัยอยู่ท่ามกลางบริวาร
ที่มีมากมาย แต่ยิ่งนานไปกิริยาของกฏาหกะก็ยิ่งโอ้อวดจองหองกระทำตนใหญ่โตไม่เกรงใจใคร

หนุ่มลูกทาสและภรรยาได้ออกไปนั่งเรือเล่น
 
หนุ่มลูกทาสและภรรยาได้ออกไปนั่งเรือเล่น

       “ อะไรกันนี่พวกบ้านนอกอย่างเจ้าทำของอย่างนี้ให้ข้ากินหรือนี่ ไม่รู้หรือยังไง ข้านะเป็นบุตรเศรษฐีในเมืองนะ ไปทำของดี  มาให้ข้ากินสิ แล้วเครื่องอบ
เครื่องหอมก็กลิ่นเหม็นเหลือเกิน
 อยากจะอ้วก เฮ้อ พวกบ้านนอกนี่จริง  เล้ย ” ย้อนกลับมาที่ทางฝั่งพาราณสีเศรษฐีหลังจากที่กฏาหกะหายตัวไปก็เที่ยวส่งคน
ออกตามหาตัวกฏาหกทั่วแคว้นพาราณสี
  แต่ก็ไม่มีผู้ใดพานพบกฏาหกะเลยแม้แต่คนเดียว “ ข้าน้อยออกค้นหาทั่วพารารณสีแล้ว แต่ก็หาพบกฏาหกะ
ไม่ขอรับนายท่าน
 ”

หนุ่มลูกทาสได้บ้วนนมสดลงไปบนศีรษะภรรยาของตน

หนุ่มลูกทาสได้บ้วนนมสดลงไปบนศีรษะภรรยาของตน
 
        “ ข้าเองก็เหมือนกันนายท่าน เที่ยวถามคนรู้จักก็ไม่มีใครรู้เลย ” “ เอ้ เจ้ากฏาหกะหายไปไหนนะ อยู่ดี  ก็หายไปแบบนี้มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล
แน่
  เลย ” เมื่อไม่สามารถหาตัวกฏาหกะเจอ ท่านเศรษฐีจึงได้สั่งให้นกแขกเต้าของตนเป็นผู้ตามหาตัวกฏาหกะ “ ไปเถอะเจ้านกแขกเต้าไปช่วยเราตามหา
ทีสิ
 ว่าเจ้ากฏาหกอยู่แห่งหนใดกัน ” “ ได้เลยท่านเศรษฐีไว้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ” นกแขกเต้านั้นมีปีกบิน จึงสามารถบินและมองหาจากที่สูงได้และสามารถ
บินได้ไกล
 
นกแขกเต้าได้กล่าวตักเตือนถึงกิริยาที่ไม่เหมาะสมที่ชายหนุ่มได้ทำกับภรรยาของตน
 
นกแขกเต้าได้กล่าวตักเตือนถึงกิริยาที่ไม่เหมาะสมที่ชายหนุ่มได้ทำกับภรรยาของตน
 
      ไม่นานนักก็บินมาจนถึงชายแดนที่ซึ่งปัจจันตเศรษฐีอาศัยอยู่ ฝั่งกฏาหกเองก็กำลังนั่งเรื่อเล่นกับภรรยาโดยให้คนถือดอกไม้เครื่องหอมมากมายไว้ในเรือ
ด้วยพร้อมด้วยโภชนียอีกมากมายไปบนเรือ
 เนื่องจากธรรมเนียมของที่นี่เวลาเหล่าเศรษฐีจะนั่งเรือเล่น ก็จะดื่มนมสดแกล้มด้วยเภสัชที่มีรสเข้มเพื่อทำให้ร่างกาย
อบอุ่นเวลานั่งเรือเล่นน้ำก็จะไม่รู้สึกหนาว 
“ เฮ้อ ธรรมเนียมของที่นี่ช่างแปลกนักกับอีแค่เราจะนั่งเรือเล่นทำไมต้องมีอะไรมากมายขนาดนี้เนี่ย ”
 
นกแขกเต้าได้บินหนีทันทีที่รู้ว่าชายหนุ่มจะหลอกจับแล้วทำร้ายตน
 
นกแขกเต้าได้บินหนีทันทีที่รู้ว่าชายหนุ่มจะหลอกจับแล้วทำร้ายตน
 
       กฏหกนั้นหาได้นำนมนั้นมาดื่มเพื่อทำความอบอุ่นให้ร่างกายไม่ แต่กลับนำนมนั้นมาป้วนปาก มิหน่ำซ้ำยังถ่มนมในปากใส่ศีรษะของภรรยาอีกต่างหาก “ บ้วนปาก
ด้วยนมแปลกใหม่อย่าบอกใคร
 ฮ่ะฮ่า ฟันขาวสะอาดแข็งแรง ” “ อุ๊ย ท่านพี่ทำไมท่านมาบ้วนใส่น้องอย่างนี้เล่า แล้วนมนั่น เขาเอาไว้ให้กินแกล้มกับเภสัชเพื่อกันหนาวนะ
ไม่ใช่ให้ท่านมาบ้วนเล่นแบบนี้ ” “ เออน่า เจ้าอย่าพูดมากน่า ธรรมเนียมคนบ้านนอกอย่างพวกเจ้าน่ะคนในเมืองอย่างข้าไม่สนหรอก ”
 
นกแขกเต้าได้กลับมารายงานเรื่องที่ตนได้ไปพบกับชายหนุ่มลูกทาสที่ปัจจันตชนบทให้ท่านเศรษฐีทราบ
 
นกแขกเต้าได้กลับมารายงานเรื่องที่ตนได้ไปพบกับชายหนุ่มลูกทาสที่ปัจจันตชนบทให้ท่านเศรษฐีทราบ
 
      ฝ่ายนกแขกเต้าเมื่อบินมาถึงฝั่งแม่น้ำก็เหลือบเห็นกฏาหกะเข้าพอดี จึงบินลงมาเกาะที่กิ่งมะเดื่อเพื่อสังเกตท่าที เมื่อเห็นกฏาหกะบ้วนนมใส่ศีรษะธิดาเศรษฐีจึงเข้าไป
ต่อว่ากฎหกอย่างเหลืออด
 “ หนอย ๆๆๆ ท่านกาลัณฑุกะชั่วเอ๋ย ไม่ได้สำนึกพึงสังวรเลยว่าตนเป็นอะไรมาก่อน เที่ยวเอานมสดมาบ้วนปากอย่างนี้ได้อย่างไร แล้วที่สำคัญ
เจ้ากล้าดีเยี่ยงไรถึงได้ไปถ่มรดศีรษะธิดาเศรษฐีอย่างนั้น
 นี่เจ้าช่างไม่รู้จักประมาณตนเลยหรือนี่ สกุลของเจ้ามิใช่สกุลสูง
 
เศรษฐีพาราณสีได้มารับชายหนุ่มกลับไปเป็นทาสในเรือนตนเช่นเดิม
 
เศรษฐีพาราณสีได้มารับชายหนุ่มกลับไปเป็นทาสในเรือนตนเช่นเดิม
 
       นี่ถ้านายท่านรู้ว่าเจ้ามาทำตัวเยี่ยงนี้คงไม่แคล้วต้องเดินทางมาจับตัวเจ้าไปแน่  เจ้าจงดื่มน้ำนมนั้นเสียอย่าเที่ยวเอามาทำเสียของอย่างนี้นะ ” ฝ่ายกฏาหกะนั้นก็จำได้
ว่านี่คือนกแขกเต้าของพาราณสีเศรษฐีจึงเกิดความกลัวว่านกแขกเต้าจะนำเรื่องไปบอกให้กับพาราณสีได้ทราบ
 “ ใจเย็น  สิ พ่อนกแขกเต้ามานี่มา มานั่งข้าง  เราก่อนนี่
คุยกันดี
  ก่อนก็ได้นะจ๊ะ ” นกแขกเต้ารู้ดีว่ากฏาหกะแสร้งทำอุบายเรียกเข้าไปใกล้เพื่อหวังจะฆ่าตนปิดปากเป็นแน่จึงตัดสินใจบินหนีออกมามุ่งหน้ากลับไปรายงานให้
พาราณสีทราบโดยทันที
 
พระพุทธองค์ทรงเล่าชาดกจบลงและได้ประชุมชาดกในลำดับต่อมา
 
พระพุทธองค์ทรงเล่าชาดกจบลงและได้ประชุมชาดกในลำดับต่อมา
 
     “ เชอะ อยู่ให้โง่เหรอ ขืนอยู่เจ้าก็บีบคอเราตายเราตายนะสิ เราไปดีกว่า ” “ เดี๋ยว  เดี๋ยวนะ เจ้านกบ้ากลับมาเดี๋ยวนี้ โธ่โว้ย มันน่านัก อืม ” เมื่อนกแขกเต้าบินมา
ถึงเมืองพาราณสีก็รีบนำเรื่องที่ตนไปพบกับกฏาหกะมาเล่าให้ท่านพาราณสีเศรษฐีทราบโดยทันที
 “ อืม ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เฮ้อ เห็นทีเราจะปล่อยให้เจ้ากฏาหกะ
สร้างความเดือดร้อนให้ที่นั่นต่อไปไม่ได้สะแล้ว
 เราคงต้องไปนำตัวเขากลับมาเป็นทาสที่นี่เสียแล้ว ” “ ดีเหมือนกันนายท่าน คนลืมตนแบบนี้ต้องจับกลับมาเป็นทาส
ดัดนิสัยซะให้เข็ด
 ”
     
     หลังจากนั้นไม่นานพาราณสีเศรษฐีก็เดินทางไปพบกับปัจจันตเศรษฐีเพื่อขอนำตัวกฏาหกะกลับเมืองพาราณสีเพื่อใช้งานเยี่ยงทาสต่อไป
 “ กลับพาราณสีซะเถอะ
เจ้ากฏาหกะเอ๋ย 
เจ้าอย่าได้สร้างความเดือดร้อนให้เขาอีกเลย ” “ โธ่ เราไม่น่าเลย เป็นเพราะความโอ้อวด อวดดีของเราแท้  ” หลังจากองค์พระศาสดาทรงนำชาดก
เรื่องนี้มาตรัสเล่าแล้ว 
ก็ทรงประชุมชาดกว่า
 

 

 

กาลัณฑุกะผู้โออวดผู้นั้นในชาติที่แล้ว ก็คือภิกษุผู้นี้แล

ส่วนพาราณสีเศรษฐีในครานั้น ก็คือเราตถาคตในชาตินี้เอง 

[[videodmc==59406]]
 
นิทานชาดก 500 ชาติ

 

 

 

บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages//นิทานชาดก-กาลัณฑุกชาดก.html
เมื่อ 5 กรกฎาคม 2567 15:24
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv