ชาดก 500 ชาติ

กุททาลชาดก-ชาดกว่าด้วยความความชนะที่ดี

พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งนักในนครสาวัตถี

พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งนักในนครสาวัตถี
  
        ความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนานั้น เปรียบดังบัวบานขึ้นกลางชมพูทวีป ย่อมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเหล่าศาสนิกชน ซึ่งขาดผู้ชี้แนะนำทาง ในมหานครสาวัตถี
ของโกศลรัฐนั้น นอกจากสาวกสาวิกาจะหลั่งไหลเข้ามายังพระเชตวันไม่ขาดสายแล้ว
 
ชาวเมืองต่างหลั่งไหลมายังพระเชตวันไม่ขาดสาย
 
ชาวเมืองต่างหลั่งไหลมายังพระเชตวันไม่ขาดสาย
 
        พุทธธรรมยังเผื่อแผ่ไปถึงบุคคลอื่น ๆ ที่แม้ยังไม่ได้ฝั่งศรัทธากับศาสนาของพระพุทธเจ้าก็พลอยได้รับความสุขอยู่เสมอเช่นกัน ดังมานพชาวสาวัตถีนาม จิตหัตถก็เป็นผู้หนึ่ง
ที่รู้สึกชื่นชอบพระศาสนาของสมเด็จพระพุทธศาสดาโดยในอื่น มิได้สดับคำสอนโดยนิสัย
 
กลุ่มคนทุกชนชั้นต่างศรัทธาในหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา
 
กลุ่มคนทุกชนชั้นต่างศรัทธาในหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา
 
        จิตหัตถเป็นชาวกสิกรรม เมื่อว่างจากการเพาะปลูกก็มักแวะเวียนเข้ามายังเขตสังฆาวาสเสมอ “ อือ วันนี้เข้าไปฟังธรรมหน่อยดีกว่าเรา ไม่ได้ไปตั้งหลายวันแล้ว ”
วันหนึ่งมานพหนุ่มผู้นี้เกิดติดใจในอาหารที่พระเถระท่านหนึ่งแบ่งให้กิน จึงเกิดความคิดจะบวชขึ้นเพราะกิเลสนี้

จิตหัตถชาวนาหนุ่มผู้มีจิตใจฝั่กใฝ่ในการฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
จิตหัตถชาวนาหนุ่มผู้มีจิตใจฝั่กใฝ่ในการฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
         “ อือ อร่อยจริง ๆ ทำงานมาเหนื่อย ๆ เจออาหารอร่อย ๆ อย่างนี้ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยเรา อยากจะกินอาหารอร่อยอย่างนี้ทุกวันจริง ๆ แต่จะไปหาที่ไหนมากินละ
เฮ้อ ได้การละ อย่างนี้เราก็บวชสะ ก็สิ้นเรื่อง แค่นี้ก็จะได้กินอาหารอร่อยอย่างนี้ทุกวันแล้ว ”
 
หนุ่มจิตหัตถติดใจในความอร่อยของอาหารที่พระเถระรูปหนึ่งแบ่งให้รับประทาน
 
หนุ่มจิตหัตถติดใจในความอร่อยของอาหารที่พระเถระรูปหนึ่งแบ่งให้รับประทาน
 
        เมื่อคิดได้ดังนั้น มานพผู้หลงรสอาหารของพระ ก็ปวารนาเข้าบวชในพระเชตวันอาราม ครั้นผ่านขั้นตอนนี้แล้วก็ได้บวชเป็นภิกษุในสำนักพระสารีบุตรสมปรารถนา
“ เฮ้ย ได้บวชอย่างที่ใจต้องการแล้วสินะเรา คราวนี้ก็จะได้ทานอาหารอร่อย ๆ ทุกวันเลย ”
 
 
หนุ่มจิตหัตถตัดสินใจบวชเพราะว่าตนจะได้ทานอาหารที่มีรสอร่อยในทุก ๆ วัน
 
หนุ่มจิตหัตถตัดสินใจบวชเพราะว่าตนจะได้ทานอาหารที่มีรสอร่อยในทุก ๆ วัน
 
        พระจิตหัตถเป็นภิกษุอยู่ได้สัก ๑๕ วัน พอคุ้นเคยมีความสุขกับอาหารดี ๆ ที่มีผู้มาถวายก็เริ่มอึดอัดต่อกฎระเบียบจึงลาสึกออกไป ครั้นคิดถึงอาหารถูกปากก็มาขอบวชใหม่อีก
เขากระทำอยู่เช่นนี้ถึง ๖ ครั้ง จนจำพระอภิธรรมได้ขึ้นใจ
 
 
หนุ่มจิตหัตถอึดอัดต่อกฎระเบียบของสงฆ์จึงลาสิกขากลับมาทำนาเช่นเดิม
 
หนุ่มจิตหัตถอึดอัดต่อกฎระเบียบของสงฆ์จึงลาสิกขากลับมาทำนาเช่นเดิม
 
        “ จะทำยังไงดีนะ พอสึกไปก็ยังคิดถึงอาหารรสอร่อย แต่วินัยสงฆ์ก็เคร่งครัดเหลือเกิน ” การบวชครั้งสุดท้ายของพระจิตหัตถ คือครั้งที่ ๗ ดังนั้นจึงกลายเป็นผู้ทรงพระอภิธรรม
๗ พระคำภีร์ กุศลกรรมนี้ทำให้ท่านดื่มด่ำในธรรมรสไม่ดิ้นรนจะลาสิกขาบทอีก
 
หนุ่มจิตหัตถเริ่มคิดถึงรสอาหารที่อร่อยที่ตนได้ฉันในทุก ๆ วันตอนบวช
 
หนุ่มจิตหัตถเริ่มคิดถึงรสอาหารที่อร่อยที่ตนได้ฉันในทุก ๆ วันตอนบวช
     
        ทั้งยังบำเพ็ญตนอนุเคราะห์ภิกษุใหม่ด้วยการบอกธรรมให้ นานวันท่านยิ่งเจริญวิปัสสนาดำเนินจิตเข้าอรหัตผลโดยผลความดีนั้น ภิกษุทั้งหลายเมื่อยกข้ออนุเคราะห์
การบอกธรรมขึ้นสนทนาในธรรมสภา ก็มักมีสรรเสริญพระจิตหัตถและติฉินท่านไปพร้อมกัน

หนุ่มจิตหัถได้ลาสิกขาแล้วก็เข้ามาบวชอีกรวม ๖ ครั้งด้วยกัน
 
หนุ่มจิตหัถได้ลาสิกขาแล้วก็เข้ามาบวชอีกรวม ๖ ครั้งด้วยกัน
 
     เหตุเพราะมีนิสัยปุถุชนขนาดครองผ้ากาสาวพัสตร์ถึง ๖ ครั้งนั้นเอง “ บัณฑิตทั้งหลาย แม้ในการก่อนเพียงจอบขุดดินเล่มเดียว ก็เคยทำให้สละเพศบรรพชิตได้ถึง ๖ ครั้งมาแล้ว ”
แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสเล่า กุททาลชาดกขึ้นดังนี้
 
พระจิตหัตถบวชเป็นครั้งที่ ๗ จนท่านเป็นผู้ทรงพระอภิธรรม ๗ พระคัมภีร์
 
พระจิตหัตถบวชเป็นครั้งที่ ๗ จนท่านเป็นผู้ทรงพระอภิธรรม ๗ พระคัมภีร์
 
     ในกาลอดีตโน้น ครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตยังคงขับคชาทารออกรบขยายอาณาเขตของพาราณสี ครั้งหนึ่งเมื่อมีชัยชนะกลับมาก็ปรารถนาจะลงสรงน้ำสระเกล้า
ในคงคามหานทีดังเช่นทุกคราว “ เดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ร้อนเหลือเกิน
 
 
ภิกษุทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญและติฉินพระจิตหัตถในเวลาเดียวกัน
 
ภิกษุทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญและติฉินพระจิตหัตถในเวลาเดียวกัน
  
        เราจะสรงน้ำตรงแม่น้ำนั้นสะหน่อย ” “ กระหม่อมได้เตรียมอาภรเรียบร้อยแล้วพระเจ้าค่ะ ” “ ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว ” เมื่อไปถึงแม่น้ำพระองค์ก็ทรงสนพระทัย
ชายผู้หนึ่งที่ยืนตะโกนก้องอยู่ริมพระแม่คงคา “ เอ๊ะ ชายผู้นั้นหัวเราะอะไรกัน
 
พระศาสดาทรงนำอดีต กุททาลชาดก ขึ้นมาสาทกแก่เหล่าภิกษุสงฆ์    

พระศาสดาทรงนำอดีต กุททาลชาดก ขึ้นมาสาทกแก่เหล่าภิกษุสงฆ์
 
        เขาชนะอะไรกันรึ ทหารนำตัวชายผู้นั้นมาพบกับเราหน่อยสิ ” ครั้นเมื่อพระองค์ทรงสระเศียรเกล้าเป็นมงคลดีแล้ว ก็ตรัสถามมานพหนุ่มผู้นั้น “ เราเพิ่งชนะสงคราม
ปัจจันตชนบทมา ส่วนท่านล่ะ ชนะอะไรมา ” “ มหาราช ถึงท่านจะชนะมาทั้ง ๑๐ ทิศ

พระเจ้าพรหมทัตทรงชนะศึกและได้เสด็จกลับมายังเมืองของตน
 
พระเจ้าพรหมทัตทรงชนะศึกและได้เสด็จกลับมายังเมืองของตน
  
        แต่หายังต้องการครองเป็นของตนอยู่เช่นนี้ ก็ยังหาได้ชนะเด็ดขาดไม่ ” “ ชนะเด็ดขาดเป็นของเราแล้ว  ปัจจามิตรใด ๆ เราปราบราบคาบสิ้นแล้ว ยังมีสงครามที่ไหน
ให้เรารบอีกเล่า ” “ นี่ยังไม่ใช่ชัยชนะโดยเด็ดขาด การได้ชัยชนะเพียงครั้งเดียว
 
พระเจ้าพรหมทัตต้องการที่จะลงสรงสนานในแม่น้ำ
 
พระเจ้าพรหมทัตต้องการที่จะลงสรงสนานในแม่น้ำ
 
        ไม่กลับมาพ่ายแพ้อีกต่างหากล่ะ คือ ชนะเด็ดขาด พระองค์ต้องทรงเอาชนะกิเลสภายในตนให้ได้ เพียงครั้งเดียวก็จะไม่ทรงพ่ายแพ้อีกตลอดกาล ” มานพในอาภรณ์
นักบวชนั้น แสดงพระสูตรสาทก ว่า  “ ผู้ชนะหมู่มนุษย์ในสงครามถึงล้านคน
 
พระเจ้าพรหมทัตทรงสนพระทัยมานพหนุ่มที่ยืนร้องตะโกนก้องอยู่ริมท่าน้ำ
 
พระเจ้าพรหมทัตทรงสนพระทัยมานพหนุ่มที่ยืนร้องตะโกนก้องอยู่ริมท่าน้ำ
 
        ยังสู้ผู้ที่ชนะตนเพียงคนเดียวไม่ได้ ผู้ชนะดังนี้จึงถือเป็นจอมทัพอย่างแท้จริง ” ราชาพรหมทัตสดับธรรมมีเหตุผลเช่นนี้ ก็มีพระทัยน้อมให้ทรงละกิเลส ปรารถนาจะรู้
ที่มาแห่งชัยชนะกิเลสของมานพผู้นี้ มานพผู้ถวายเทศนาก็เล่าขานว่า
 
พระเจ้าพรหมทัตทรงรับสั่งให้ทหารไปเชิญมานพหนุ่มที่ท่าน้ำมาพบตน
 
พระเจ้าพรหมทัตทรงรับสั่งให้ทหารไปเชิญมานพหนุ่มที่ท่าน้ำมาพบตน
 
        “ มหาราชผู้เจริญ ข้าพเจ้านามว่ากุททาล เกิดและเลี้ยงชีพด้วยอาชีพกสิกรรม อาศัยจอบที่ตกทอดมาแต่ปู่ทวด พลิกพื้นแผ่นดินเพาะปลูกอยู่ในชนบท ปลูกน้ำเต้า
ฝักแฝงใด ๆ  ก็ล้วนบันดาลขึ้นจากแรงและจอบเล่มนี้
 
มานพหนุ่มในอาภรณ์นักบวชได้สนทนากับพระเจ้าพรหมทัต
 
มานพหนุ่มในอาภรณ์นักบวชได้สนทนากับพระเจ้าพรหมทัต
 
        ข้าพระองค์จึงบำรุงดูแลทั้งใบจอบ ด้ามจอบ อย่างรักใคร่หวงแหน เหตุเพราะเป็นทรัพย์สมบัติชิ้นเดียวที่มี แต่เมื่อผ่านหลายฤดูกาลนานเข้า เกิดเบื่อหน่ายชีวิต
คฤหัสถ์คิดออกบวชเป็นฤาษี ข้าพระองค์จึงเช็ดถูจอบอย่างดี นำมันห่อผ้าจนหนาแน่น
 
มานพหนุ่มได้เล่าถึงอาชีพในอดีตของเขาต่อพระเจ้าพรหมทัต
 
มานพหนุ่มได้เล่าถึงอาชีพในอดีตของเขาต่อพระเจ้าพรหมทัต
 
        แล้วนำไปฝั่งไว้ในที่มิดชิดเพราะยังรักอาลัยอยู่มาก จากนั้นก็ออกเสาะหาเครื่องนุ่งห่มใหม่ ถือเพศบรรพชิตเป็นพระฤาษีออกมุ่งสู่หิมวันตประเทศ แสวงวิโมกธรรม
ข้าพระองค์บวชเป็นฤาษีอยู่ได้ไม่นานสักเท่าไหร่ก็คิดถึงจอบเล่มนี้

มานพหนุ่มได้นำจอบของเขาไปฝั่งแล้วก็ออกบวชเป็นฤาษี
 
มานพหนุ่มได้นำจอบของเขาไปฝั่งแล้วก็ออกบวชเป็นฤาษี
 
        เพราะเป็นสมบัติคู่กายคู่ชีวิตกันมานาน จึงออกจากเพศฤาษีกลับมายังสวนผัก ขุดเอาจอบมาเช็ดถูทำกสิกรรมกันต่อ ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์เมื่อเบื่อชีวิตปุถุชน
ก็เอาจอบฝั่งดินไปเป็นฤาษี ครั้นเบื่อหน่ายเพศบรรพชิตก็สึก เป็นเช่นนี้มา ๖ ครั้งแล้ว
 
มานพหนุ่มบวชเป็นฤาษีแล้วก็สึกมาทำอาชีพกสิกรรมสลับกันไปเช่นนี้ถึง ๖ ครั้งด้วยกัน
 
 
มานพหนุ่มบวชเป็นฤาษีแล้วก็สึกมาทำอาชีพกสิกรรมสลับกันไปเช่นนี้ถึง ๖ ครั้งด้วยกัน
 
        สุดท้ายข้าพระองค์ได้นำตัวตั้งของกิเลส คือจอบคู่ชีวิตเล่มนี้ขว้างทิ้งลงแม่น้ำ ข้าพระองค์หันหลังเขวี้ยงมันไป เพื่อจะได้ไม่พบเห็นจุดที่มันจมอยู่อีกต่อไป และข้าพระองค์
ก็ตัดขาดกิเลสกับมันแต่บัดนั้น เมื่อเหวี่ยงกิเลสจมหาย

มานพหนุ่มได้เขวี้ยงจอบลงแม่น้ำโดยการหันหลังเพราะเขาไม่ต้องการเห็นตำแหน่งที่จอบนั้นร่วงหล่นลงแม่น้ำ
 
มานพหนุ่มได้เขวี้ยงจอบลงแม่น้ำโดยการหันหลังเพราะเขาไม่ต้องการเห็นตำแหน่งที่จอบนั้นร่วงหล่นลงแม่น้ำ
 
       จิตใจก็เบิกบานในชัยชนะที่ไม่อาจตกอยู่ในอำนาจรักใคร่อยากได้มันอีก มหาราชที่มาแห่งคำว่าเราชนะแล้ว เราชนะแล้ว มีดังนี้ และตัวเราก็จักเป็นฤาษีในป่าหิมพานต์
ไม่กลับมาเป็นทุกข์อีก ” พระเจ้าพรหมทัตสดับแล้วทรงละกิเลสได้ด้วยอำนาจตทังคปหาน
 
พระเจ้าพรหมทัตและเหล่าทหารมีความต้องการที่จะออกบวชเพื่อละกิเลส
 
พระเจ้าพรหมทัตและเหล่าทหารมีความต้องการที่จะออกบวชเพื่อละกิเลส
 
         มีพระทัยอยากบรรพชา ทวยทหารก็พากันละกิเลสได้เช่นเดียวกันทั้งกองทัพ “ เราจะนำคนทั้งหลายตามออกบวช ” ครั้งนั้นพาราณสีและเมืองปริมณฑลอีก ๗ พระนคร
ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬาร กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี ทวยทหารพลนิกรมากมาย
 
กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี เหล่าทหาร พร้อมใจกันสละทรัพย์สมบัติแล้วออกบวช
 
กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี เหล่าทหาร พร้อมใจกันสละทรัพย์สมบัติแล้วออกบวช
 
          พากันสละทรัพย์สมบัติออกถือบวชติดตามพระเจ้าพรหมทัต “ หม่อมฉันก็ประสงค์จะสละซึ่งกิเลสตามพระองค์ออกบวชเช่นกันพระเจ้าค่ะ ” ขบวนพระมหากษัตริย์
ทรงดำเนินตามหลังกุททาลฤาษีมุ่งสู่หิมวันตประเทศ ออกสู่มหาภิเนษกรมณ์
 
กุททาลฤาษีทำบริกรรมแล้วบวชให้พระราชาและเหล่าบริษัททั้งหมด
 
กุททาลฤาษีทำบริกรรมแล้วบวชให้พระราชาและเหล่าบริษัททั้งหมด
 
       ครั้งนั้นมหาชนหลั่งไหลสละกิเลส ออกบวชในกาลนั้นเป็นระยะทางถึง ๑๒ โยชน์ หรือ ๑,๙๒๐ กิโลเมตรทีเดียว กุททาลฤาษีทำบริกรรมแล้วบวชให้พระราชา
และเหล่าบริษัททั้งหมด ทั้งหมดเพ่งกสิณเจริญพรหมวิหารธรรมจนสังขารวัยดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุดอย่างมีความสุข
 
ฤาษีทั้งหลายต่างพากันเจริญพรหมวิหารอย่างมีความสุขจนสังขารล่วงไปในที่สุด
 
ฤาษีทั้งหลายต่างพากันเจริญพรหมวิหารอย่างมีความสุขจนสังขารล่วงไปในที่สุด
 
        พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเทศนาชาดกนี้แล้ว ตรัสว่า “ อำนาจกิเลสปลดเปลื้องได้ยาก กระทำให้ผู้เป็นบัณฑิตกลายเป็นผู้ไม่มีความรู้ไปได้ ซึ่งจิตที่บำบัดแล้ว
ย่อมนำสุขมาให้ด้วยประการฉะนี้ ในพุทธกาลนั้น พระพุทธองค์ สืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า
 
 
พระเจ้าพรหมทัต กำเนิดเป็น พระอานนท์
พุทธบริษัทในครั้งนั้น กำเนิดเป็นพุทธศาสนิกชน
กุททาลฤาษี เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า
 
[[videodmc==33336]]
 
นิทานชาดก 500 ชาติ
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages//นิทานชาดก-กุททาลชาดก.html
เมื่อ 21 กรกฎาคม 2567 15:18
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv