ชาดก 500 ชาติ
มตกภัตตชาดก-ว่าด้วยสัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์
ชาวบ้านฆ่าแพะเพื่อทำมตกภัตอุทิศให้แก่ญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้วณ พระเชตวันมหาวิหารในสมัยพุทธกาลนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงปรารภมตกภัต อันเนื่องมาจากด้วยในกาลนั้นมนุษย์ทั้งหลายได้ฆ่าแพะและสัตว์ชนิดอื่นเป็นอันมากเพื่อเป็นมตกภัต อุทิศให้ญาติทั้งหลายที่ตายไปแล้ว เหล่าภิกษุทั้งหลายจึงนำเหตุดังกล่าวมากราบทูลถามพระศาสดาแพะถูกนำมาประดับตกแต่งให้สวยงามก่อนที่นำไปฆ่าเพื่อเป็นมตกภัต“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้มนุษย์ทั้งหลาย ทำร้ายสัตว์มีชีวิตเป็นอันมาก ให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วให้ชื่อว่า มตกภัต ความเจริญในการให้มตกภัตนี้ มีอยู่หรือพระเจ้าค่ะ”“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าความเจริญใดๆ ในปานาติบาต แม้ที่เขากระทำด้วยคิดว่า เป็นการให้มตกภัตดังนี้ ย่อมไม่มีภิกษุทั้งหลายมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์เป็นมตกภัตของชาวบ้านแม้ในการก่อนบัณฑิตทั้งหลายนั่งอากาศแสดงธรรมกล่าวโทษในการทำปานาติบาตนี้ให้ชนชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ละกรรมนั้น แต่บัดนี้กรรมนั้น
ก็กลับปรากฏขึ้นอีก เพราะสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้อยู่ในสังเขปแห่งภพนั้นเอง”พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่า มตกภัตตชาดก ให้แก่เหล่าภิกษุสงฆ์ได้ฟัง ณ พระเชตวันมหาวิหารพระศาสดาจึงทรงนำเรื่องอดีตชาดกมาสาธกอธิบายให้ฟังดังนี้ ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี มีอาจารย์สำนักทิศาปาโมกข์ผู้สำเร็จไตรเพศคนหนึ่ง คิดว่าจักให้มตกภัต จึงให้จับแพะมาตัวหนึ่ง แล้วกล่าวกับศิษย์ในสำนักของตนว่านครพาราณสีในสมัยพระเจ้าพรหมทัตทรงครองราชสมบัติ“ศิษย์ทั้งหลายพวกท่านจงนำแพะตัวนี้ไปยังแม่น้ำ เอามาลัยดอกไม้อันงามสวมคอ เจิมประดับประดาให้งดงามแล้วนำกลับมายังที่นี่เถิด” เหล่าลูกศิษย์อาจารย์ทิศาปาโมกข์ปฏิบัติตามคำสั่งอาจารย์ โดยนำแพะนั้นไปยังแม่น้ำ จนอาบน้ำสะอาดสะอ้านอาจารย์ทิสาปาโมกข์สั่งให้ศิษย์ของตนจับแพะไปทำความสะอาดก่อนที่จะนำมาทำมตกภัตจากนั้นจึงนำขึ้นมาประดับด้วยดอกไม้พวกมาลัยจนสวยงาม แล้วจึงนำมาพักไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้นเอง ฝ่ายแพะนั้น พลันได้เกิดญาณระลึกชาติ ทำให้เห็น
กรรมเก่าของตนในอดีต อีกทั้งได้ทราบถึงสิ่งที่เหล่าพราหมณ์กำลังจะกระทำกับตนในกาลนี้แพะถูกนำตัวมาทำความสะอาด ณ ริมแม่น้ำจึงเปล่งเสียงหัวเราะลั่นก่อนจะเปลี่ยนเป็นร้องไห้ ด้วยเสียงอันดังในครู่ต่อมา ทำให้เหล่าพราหมณ์ผู้เป็นศิษย์อาจารย์ทิสาปาโมกข์ต่างพิศวงยิ่งนัก“เอ๊ะ แพะตัวนี้เป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมมันถึงทำท่าทางอย่างนั้นล่ะ” “เออ นั้นสิ กลัวจนเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย”แพะถูกนำตัวมาประดับตกแต่งด้วยพวงมาลัยดอกไม้อย่างสวยงาม“นี่ เจ้าแพะ เหตุใดเจ้าถึงหัวเราะเสียงดังลั่น แล้วก็กลับเปลี่ยนเป็นร้องไห้เช่นนี้ ช่วยเล่าต้นเหตุให้พวกข้าฟังด้วยเถิด” “ฮ้า ฮ่าๆ พวกท่านทั้งหลายเมื่อพิศวงถึงเหตุแห่งอาการของข้า ก็โปรดพาข้ากลับไปยังสำนักอาจารย์ของท่าน แล้วจงฟังคำตอบพร้อมกันแพะได้เปล่งเสียงหัวเราะหลังจากนั้นก็ร้องไห้ณ สำนักอาจารย์ของท่านด้วยเถิด ฮ่าๆ” เหล่าศิษย์ทิศาปาโมกข์เมื่อได้ฟังความดังกล่าว จึงรีบนำแพะนั้นกลับไปยังสำนักของอาจารย์ตน แล้วเล่า
เรื่องราวดังกล่าวให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ได้ฟังคำของมานพผู้เป็นศิษย์โดยถี่ถ้วนแล้ว จึงถามแพะผู้มีอาการประหลาดตัวนี้ว่าศิษย์ของอาจารย์ทิสาปาโมกข์ได้เข้าไปสอบถามอาการที่หัวเราะแล้วก็ร้องไห้ของแพะ“แพะเอ๋ย เพราะเหตุใดท่านจึงหัวเราะ และเพราะเหตุใดท่านจึงร้องไห้ในคราวเดียวกันเช่นนี้” “ดูก่อนท่านพราหมณ์ บัดนี้ เราพลันระลึกถึงอดีตได้ด้วยญาณอันเป็นเครื่องระลึกชาติ และได้รู้ว่า เมื่อก่อนเราก็เป็นพราหมณ์ ผู้สาธยายมนต์เหมือนกับท่านนั้นแหละศิษย์ของอาจารย์ทิสาปาโมกข์นำแพะไปหาอาจารย์ของเขาตามที่แพะร้องขอและกาลนั้นเราก็จัดคิดให้มตกภัต อุทิศแก่ผู้ล่วงลับเช่นเดียวกับท่าน จึงได้ฆ่าแพะตัวหนึ่งแล้วให้มตกภัต แล้วด้วยเหตุที่เราได้ฆ่าแพะตัวหนึ่งนั่นเอง เราจึงนึกถึงการถูกตัดศีรษะใน 499 ภพชาติที่ผ่านมา และกาลนี้เป็นภพชาติที่ 500 ซึ่งเป็นที่สิ้นสุดในกรรมนั้นของเราแพะได้เล่าถึงวิบากกรรมของตนให้กับอาจารย์ทิสาปาโมกข์และศิษย์ได้ฟังเราจึงเกิดความโสมนัสว่า วันนี้แล้วที่เราจะหลุดพ้นสิ้นความทุกข์ ด้วยเหตุนี้เราจึงหัวเราะ ด้วยเหตุนี้ แต่เมื่อเราได้รู้ในกรรมที่พวกท่านกำลังจะกระทำเราจึงได้เศร้าสะเทือนใจยิ่งด้วยคิดว่าการที่เราฆ่าแพะตัวนั้น ทำให้เราถึงซึ่งความทุกข์ คือถูกตัดศีรษะถึง 500 ชาติ
อาจารย์ทิสาปาโมกข์ได้ตัดสินใจที่จะไม่ฆ่าแพะและยกเลิกการทำมตกภัตส่วนพราหมณ์ผู้ได้ฆ่าแพะ คือเราในวันนี้ ท่านเองก็จะทนทุกข์ คือถูกตัดศีรษะถึง 500 ชาติเช่นเดียวกับเรา พราหมณ์เอ๋ย ที่เราร้องไห้ก็ด้วยความกรุณาท่านดังนี้”“ดูก่อนแพะ ท่านอย่าได้กลัวไปเลย เราจักไม่ฆ่าท่านแล้ว”แพะรู้ในชะตาชีวิตของตนว่าถึงอย่างไรก็ต้องตายอย่างแน่นอน“พราหมณ์เอ๋ย ท่านพูดอะไร ท่านจะฆ่าหรือไม่ฆ่าเราก็ดี ถึงอย่างไรวันนี้เราก็ไม่อาจพ้นจากความตายไปได้” “แพะเอ๋ย ครั้งนี้เป็นท่านเตือนสติเราดังนั้นเราจักแทนคุณด้วยการอารักขาท่านไม่ให้ได้รับอันตรายเลย”
อาจารย์ทิสาปาโมกข์ตั้งใจที่จะดูแลแพะให้ปลอดภัยจากความตาย“พราหมณ์เอ๋ย เราขอขอบคุณท่านจริงๆ แต่กำลังการอารักขาของท่านนั้นมีผลน้อยนัก เมื่อเทียบกับบาปที่เรากระทำไว้ ซึ่งมีกำลังมากเหลือเกิน”“ถึงอย่างไร เราก็จะไม่ให้ใครฆ่าหรือทำอันตรายท่านได้ เราจักไปกับท่านด้วย พวกเจ้าที่เป็นศิษย์เรา ใครจะออกติดตามคุ้มครองแพะตัวนี้กับเราบ้าง”อาจารย์ทิสาปาโมกข์ให้ศิษย์นำแพะไปปล่อย“ข้าขอไปกับท่านด้วย” “ข้าก็ขอไปด้วย” “ข้าขอขอบคุณพวกท่านมาก เอาเถอะ ถ้าพวกท่านยืนยันเช่นนั้น ก็สุดแล้วแต่ท่านเถอะ” ดังนั้นอาจารย์ทิสาปาโมกข์จึงให้ลูกศิษย์ปล่อยแพะให้เป็นอิสระ แต่ทันทีที่แพะเชือกถูกปลดออกไปจากคอของแพะหลังจากถูกปล่อยแพะก็เล็มกินใบไม้ตามปกติและอาจารย์ทิศาปาโมกข์กับเหล่าลูกศิษย์กำลังเตรียมตัวจะออกเดินทางนั่นเอง แพะตัวนั้นก็ออกเดินไปชะเง้อคอกินใบไม้ที่พุ่มไม้ด้านหลังแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่น และทันใดนั้นก็เกิดอสนีบาตฝาดลงมาที่ด้านหลังแผ่นหินนั้นโดยพลัน สะเก็ดหินขนาดใหญ่อันมีปลายคมกริบชิ้นหนึ่งได้แตกออกมาเกิดฟ้าผ่าลงบนแผ่นหินใกล้บริเวณที่แพะกินใบไม้อยู่และกระเด็นพุ่งเข้าเชือนคอแพะผู้มีกรรม ซึ่งกำลังอยู่ในท่าชะเง้อคอกินใบไม่อยู่ จนศีรษะแพะนั้นขาดจากกายในบัดดล “โอ๊ยๆๆๆ” “อะไรกันนี่ ลมฝนรึก็ไม่มีทำไมอยู่ดีๆ ฟ้าก็ผ่าลงที่แผ่นหินนั้นล่ะ” “ท่านอาจารย์ ข้าได้ยินเสียงเจ้าแพะร้อง เราไปดูกันเถอะ” “อืม จริงด้วย ไปดูกันเถอะ ไปๆ ไปๆ”แผ่นหินอันคมกริบซึ่งเกิดจากฟ้าผ่าได้กระเด็นเชือนคอแพะจนล้มลงและขาดใจตายในที่สุดภาพที่อาจารย์ทิศาปาโมกข์และเหล่าลูกศิษย์ได้เห็นก็คือ แพะที่พวกเขาปลดปล่อยอิสระตัวนั้น นอนแน่นิ่งอยู่ มันตายสนิทในสภาพที่ศีรษะถูกตัดขาดกระเด็น“โธ่เอ๋ย เจ้าแพะที่น่าสงสาร เจ้าหนีไม่พ้นเวรกรรมนั้นจริงๆ ด้วย โชคดีเหลือเกินที่พวกเราไม่ได้ผูกเวรกับท่านเอาไว้อาจารย์ทิสาปาโมกข์สั่งให้ศิษย์ออกไปดูแพะหลังจากที่ได้ยินเสียงร้องด้วยการประหารท่านเสียเอง นับว่าท่านได้ช่วยพวกเราไม่ต้องทำบาปทำกรรม จงไปดีเถิดเจ้าแพะสหายแห่งเรา” “น่าเวทนาแท้ๆ แต่บาปของเจ้าน่ะก็ได้สิ้นสุดแล้วนะ” ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวาอยู่ในที่นั้น ได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวโดยตลอดอาจารย์ทิสาปาโมกข์และเหล่าศิษย์ต่างเศร้าสลดใจในภาพที่เห็นจึงปรากฎร่างอันผ่องใสให้เหล่าพราหมณ์ทั้งหมดอยู่ ณ ที่นั้นได้เห็นด้วยเทวานุภาพ พระโพธิสัตว์ในร่างของรุกขเทวาจึงได้กล่าวแสดงธรรมด้วยพระสุรเสียงอันกังวานไพเราะว่า “เหล่าพราหมณ์เอ๋ย ถ้าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้อย่างนี้ว่า ความเกิดมี ของชาติภพนั้น เป็นทุกข์เช่นนี้รุกขเทวาได้ปรากฎกายให้อาจารย์และศิษย์ทิสาปาโมกข์ได้เห็นสัตว์จึงไม่ควรฆ่าสัตว์ เพราะผู้มีปกติข้าสัตว์ ย่อมได้รับความเศร้าโศก ด้วยต้องเสวยมหันตทุกข์ตลอดกาลนาน เหล่าพราหมณ์เอ๋ย ผู้ทำสัตว์อื่นให้เจริญย่อมได้ความเจริญในชาติสมภพ เมื่อเบียดเบียนสัตว์อื่นย่อมได้รับการเบียดเบียนเช่นกัน ดังนี้จึงไม่ควรฆ่าสัตว์อื่น อีกอย่างหนึ่ง ทุกท่านล้วนได้เห็นแล้วว่ารุกขเทวาได้กล่าวแสดงธรรมแก่อาจารย์และศิษย์ทิสาปาโมกข์แพะนี้เศร้าโศกแล้วเพราะมรณะภัยฉันใด ผู้มีปกติฆ่าสัตว์ ย่อมเศร้าโศกตลอดกาลนานฉันนั้น ดังนี้แล้วไม่ว่าผู้ใดก็ตาม จึงไม่ควรกระทำกรรมคือ ปานาติบาตไม่ควรฆ่าสัตว์ด้วยเหตุผลดังนี้” ครั้นพระโพธิสัตว์ทรงแสดงธรรม โดยยกเรื่องทุกข์ภัยในอเวจีมากล่าวสาทกดังนั้น เหล่าพราหมณ์ตลอดจนมนุษย์ทั้งหลายในกาลนั้น เมื่อได้รับฟังและรับทราบในอรรถาธิบายแห่งพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ก็บังเกิดความหวาดกลัวในภัยแห่งนรก ต่างงดเว้นจากปานาติบาตโดยทั่วกัน พระบรมศาสดาเมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาแล้ว จึงทรงสืบต่อ อนุสนธิ และได้ทรงตรัสประชุมชาดกว่า
ภิกษุทั้งหลาย รุกขเทวดาในครั้งนั้น คือเราตถาคต นี้แล[[videodmc==47803]]
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages//นิทานชาดก-มตกภัตตชาดก .html
เมื่อ 26 กรกฎาคม 2567 19:05
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv