หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๔)
เรื่อง : พระครูวิเทศสุธรรมญาณ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) และคณะนักวิจัย DIRI
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนกันยายนพ.ศ.๒๕๕๘
![](https://images.dmc.tv/www/images/00-iimage/580909.jpg)
ผู้เขียนและคณะนักวิจัยของสถาบันดีรี (DIRI) ได้นำเสนอเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนามาอย่างต่อเนื่องประจำทุก ๆ เดือนผ่านมาได้ ๓ ฉบับแล้ว แต่การเผยแผ่พระพุทธศาสนายังมีเรื่องราวอีกมาก ในฉบับนี้ผู้เขียนจึงขอนำเสนอ ประวัติของเส้นทางเผยแผ่พระพุทธศาสนา ต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว
พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่กว้างไกลสู่อาณาจักรรอบข้าง โดยเฉพาะที่ โยนกประเทศ และ แคว้นคันธาระ แคว้นนี้อยู่ระหว่างประเทศอินเดียกับตะวันออกกลาง เป็นที่เชื่อมการเดินทางสมัยโบราณ เรียกว่า เส้นทางสายไหมเส้นทางนี้พระพุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองมาก โดยเริ่มต้นจากตอนกลางของอินเดียขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นที่อยู่ของแคว้นคันธาระโบราณในทิศตะวันตกก่อน แล้วจึงหักออกมาทางทิศตะวันออกเข้าสู่เส้นทางสายไหม แล้วแยกออกเป็น ๒ เส้นทาง ขนาบด้านเหนือและใต้ของทะเลทรายทากลามากัน แล้วไปบรรจบเป็นเส้นทางเดียวกันอีกครั้งในทิศตะวันออกที่ Anxi ก่อนจะเข้าสู่ประเทศจีนนั้น ปรากฏว่าเป็นเส้นทางที่มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีของพระพุทธศาสนาและคัมภีร์พุทธโบราณอยู่ตลอดสาย
ทำให้พวกเราเหล่านักวิจัย “ดีรี” ยิ่งตั้งใจมุ่งมั่นสืบค้นวิจัยคำสอนดั้งเดิมในแหล่งพุทธโบราณสถานนี้ให้ได้ และสืบเนื่องจากการลงนามสัญญาความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ระหว่างสถาบันวิจัย “ดีรี” กับมหาวิทยาลัยออสโลแห่งนอร์เวย์ ซึ่งผ่านมาได้เกือบ ๔ ปีแล้วนั้น ทำให้เราดำเนินการสืบค้นเรื่อยมานับแต่บัดนั้น
![Huntington Archive Huntington Archive](https://images.dmc.tv/www/images/00-iimage/580909-1.jpg)
ภาพ : Huntington Archive
http://www.huntingtonarchive.osu.edu/resources
เส้นทางสายไหม เส้นทางการค้าโบราณ
สำหรับเรื่องที่มีการเผยแผ่ออกพ้นเขตชมพูทวีปไปสู่อาณาจักรต่าง ๆ รอบข้าง และประดิษฐานได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าไปในโยนกประเทศและคันธาระนั้นเมื่อครั้ง พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ของกรีกยกทัพเข้ารุกรานอินเดีย เมื่อยกทัพกลับแล้วก็โปรดเกล้าฯ ให้แม่ทัพนายกองของพระองค์ปกครองดูแลแคว้นที่ทรงพิชิตได้ ภายหลังจากที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์สวรรคตแล้ว แม่ทัพชาติกรีกเหล่านี้ได้ตั้งตนเป็นอาณาจักรอิสระอาณาจักรที่มีกำลังมากคือ อาณาจักรซีเรีย และอาณาจักรแบกเทรียซึ่งปัจจุบันคือส่วนใหญ่ของอัฟกานิสถานและตอนเหนือของปากีสถาน อาณาจักรแบกเทรียสถาปนาเป็นรัฐอิสระในราวพุทธศตวรรษที่ ๓ ซึ่งตรงกับ รัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช
ต่อมาเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในดินแดนแถบนี้สับสนไปด้วยสงครามและการแย่งชิงอำนาจอยู่ประมาณร้อยปีเศษ จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๓๙๒ พระเจ้ามิลินท์ กษัตริย์ผู้มีเชื้อสายกรีก มีพระนามในภาษากรีกว่า เมนันดรอส (Menandros) พระองค์ทรงแผ่อำนาจลงมาถึงตอนเหนือของลุ่มแม่นํ้าคงคา เดิมทีมิได้ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงแตกฉานวิชาไตรเพทของพราหมณ์และปรัชญาศาสนาต่าง ๆ รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย ทรงโต้วาทีกับนักบวชในลัทธิศาสนาต่าง ๆ ซึ่งปรากฏว่าไม่มีใครเสมอพระองค์ได้ จนกระทั่งคณะสงฆ์ได้เลือกพระนาคเสน ผู้สามารถมาสนทนากับพระเจ้ามิลินท์จนกระทั่งพระองค์ทรงกอปรด้วยสัมมาทิฐิ ทรงเจริญศรัทธาในพระพุทธศาสนา จากการตั้งคำถามและฟังคำตอบจากพระนาคเสนเป็นเวลาหลายวัน คำถามเหล่านั้นเป็นคำถามที่ตอบได้ยากแต่พระนาคเสนก็เฉลยได้ทุกข้อ พร้อมทั้งยกอุปมาเปรียบเทียบได้อย่างแจ่มแจ้งโดยอาศัยธรรมชาติที่มีอยู่รอบตัว หลังจากนั้นพระพุทธศาสนาจึงได้รับการอุปถัมภ์จากพระเจ้ามิลินท์เป็นอย่างดีการสนทนาระหว่างทั้งสองท่านนี้ได้รวบรวมไว้เป็นคัมภีร์เรียกว่า “มิลินทปัญหา” ซึ่งในคัมภีร์นี้พบว่าได้กล่าวถึง พระธรรมกาย ไว้ด้วย
![พระเจ้ามิลินท์ (Menander) ชื่อในภาษากรีกเมนันดรอส (Menandros) ครองราชย์ปลายพุทธศตวรรษที่ ๔ พระเจ้ามิลินท์ (Menander) ชื่อในภาษากรีกเมนันดรอส (Menandros) ครองราชย์ปลายพุทธศตวรรษที่ ๔](https://images.dmc.tv/www/images/00-iimage/580909-2.jpg)
พระเจ้ามิลินท์ (Menander) ชื่อในภาษากรีกเมนันดรอส (Menandros) ครองราชย์ปลายพุทธศตวรรษที่ ๔
ที่มา http://www.livius.org/source-content/the-milindapanha/
การสืบค้นหลักฐานธรรมกายจากดินแดนที่เคยเป็นคันธาระโบราณ และจากพื้นที่โดยรอบทะเลทรายทากลามากัน ที่เชื่อมโยงต่อเนื่องกันเป็นเส้นทางการค้าที่เรียกว่าเส้นทางสายไหม ซึ่งรับเอาพระพุทธศาสนามาจากคันธาระอีกที บ่งบอกว่าดินแดนคันธาระเป็นต้นแหล่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่เอเชียกลางและประเทศจีน เอกสารโบราณที่บันทึกโดยพระภิกษุในพระพุทธศาสนา กล่าวถึงการเดินทางของพระพุทธศาสนาไปสู่แคว้นคันธาระหลายระลอก เช่น ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลหรือหลังพุทธกาลใหม่ ๆ, หลังการสังคายนาครั้งที่ ๒ ก่อนรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช, ในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และสุดท้ายมาเจริญรุ่งเรืองที่สุดในยุคสมัยของพระเจ้ากนิษกมหาราชแห่งราชวงศ์กุษาณะ และนี่ก็เป็นภาพการเผยแผ่พระพุทธศาสนในคันธาระและเอเชียกลาง ซึ่งเป็นแหล่งที่มีคัมภีร์โบราณอันทรงคุณค่าอยู่มากมาย
ทั้งสืบเนื่องจาก วันที่ ๔-๑๐ สิงหาคม ที่ผ่านมา ผู้เขียนและคณะได้เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจในโครงการสืบค้นวิจัยคำสอนดั้งเดิมฯ ณ ประเทศนอร์เวย์ เนื่องจากได้รับจดหมายเชิญจากท่านศาสตราจารย์เจนส์ บราวิก นักวิชาการอาวุโสด้านโบราณคดีแห่งศูนย์การศึกษาก้าวหน้ามหาวิทยาลัยออสโล ประเทศนอร์เวย์ ผู้จุดประกายให้นักวิชาการระดับโลกรวมถึงนักศึกษาพุทธศาสตร์ทั่วโลกได้รับทราบและปลื้มปีติว่ามีการค้นพบพระคัมภีร์พุทธโบราณที่มีอายุตั้งแต่ ๑,๓๐๐-๒,๐๐๐ กว่าปี โดยท่านศาสตราจารย์เชิญไปเพื่อร่วมปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการ อีกทั้งภาคบ่ายยังได้พาคณะของผู้เขียนไปพบกับนักอนุรักษ์และบำรุงรักษาซ่อมแซมพระคัมภีร์โบราณ และยังได้ชมได้สัมผัสต้นฉบับพระคัมภีร์อันเป็นข้อมูลชั้นปฐมภูมิฉบับแท้จริงซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดเช่นนี้
![](https://images.dmc.tv/www/images/00-iimage/580909-3.jpg)
สำหรับ ศาสตราจารย์เจนส์ บราวิก นั้น ท่านเป็นผู้ริเริ่มและจุดประกายให้วงการชาวพุทธได้รับรู้ว่า ที่บามิยันก่อนถูกพวกตาลีบันระเบิดทำลายพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่นั้น ภายในหุบเขานี้มี พระคัมภีร์เก่าแก่ อายุ ๑,๓๐๐ ปี ถึง ๒,๐๐๐ กว่าปี ที่มีสภาพทั้งที่ยังสมบูรณ์ และที่ชำรุดต้องอาศัยนักอนุรักษ์บำรุงรักษาเพื่อการซ่อมแซม แล้วยังมีขั้นตอนการดูแลความสะอาดให้สมบูรณ์ก่อนนำมาถ่ายสำเนาด้วยระบบดิจิทัล แล้วเก็บต้นฉบับไว้ เอาผลงานที่ถ่ายสำเนานำมาให้นักวิชาการผู้รู้ด้านอักษรโบราณอ่านและตรวจชำระ เพื่อปริวรรตและถอดความต่อไป
หุบเขาบามิยันนั้น ในอดีตดินแดนแถบนี้เรียกว่า แคว้นคันธาระหรือคันธารราฐ (Gandhara) เป็นเมืองตั้งอยู่บน เส้นทางสายไหม (Silk Road) จุดทางแยกสู่จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรป เป็นบริเวณที่อารยธรรมจากตะวันออกเดินทางมาพบกับอารยธรรมจากตะวันตก กล่าวคืออารยธรรมจากอินเดียเดินทางมาพบกับอารยธรรมจากอิหร่าน กรีซ และจีน มีการค้นพบศาสนสถานทางศาสนาพุทธและศาสนาฮินดูเป็นจำนวนมากกว่า ๑,๐๐๐ แห่ง เป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางทางพุทธศาสนาในบริเวณนั้นมาก่อนที่จะมีศาสนาอิสลามเข้ามาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ศาสนวัตถุที่สำคัญที่สุดในบริเวณนั้น คือ พระพุทธรูปองค์ใหญ่จำนวน ๓ องค์ ซึ่งแกะสลักอยู่บนหน้าผาหินสูงชันกว่า ๒,๕๐๐ เมตร และมีอายุกว่า ๑,๕๐๐ ปี ซึ่งสถานที่นี้มีอารามมากกว่า ๑๐ แห่ง มีพระสงฆ์หลายพันรูป ทั้งฝ่ายโลกุตตรยาน (โลกุตตรวาทิน) ซึ่งเป็นนิกายย่อยของมหาสางฆิกะและภิกษุฝ่ายหินยาน ดังนั้นคัมภีร์โบราณที่ถูกค้นพบในหุบเขาบามิยันจึงมีทั้งคัมภีร์ของฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหาสางฆิกะ ถือว่าเป็นหนึ่งในแหล่งค้นพบพระคัมภีร์พุทธเก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งพบในถํ้าต่าง ๆ แห่งหุบเขาบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถานนั้น
ศาสตราจารย์เจนส์ บราวิก ได้ไปเข้าร่วมประชุมทางวิชาการในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ณ มหาวิทยาลัยไลเดน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมประชุมคนหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า แซม ฟ็อกก์ พ่อค้าของเก่าแห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ขายชิ้นส่วนเอกสารโบราณของพุทธศาสนา จำนวน ๑๐๘ ชิ้น ให้แก่ คุณมาร์ติน สเคอเยน ชาวนอรเวย์ ผู้อำนวยการและเจ้าของสถาบันอนุรักษ์สเคอเยน (Conservation Institute of Sch yen) ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เอกสารโบราณที่ใหญ่ที่สุดของโลกก็ว่าได้ (เก็บรวบรวมไว้ของทุกศาสนา) พอทราบว่าเจ้าของเป็นชาวนอร์เวย์ ท่านจึงเกิดความสนใจอย่างแรงกล้า จึงได้ไปพบเพื่อขออนุญาตให้นำเอกสารโบราณดังกล่าวมาศึกษาวิจัย ซึ่งทางเจ้าของคือคุณมาร์ติน สเคอเยน ก็อนุญาตและยินดีให้ความร่วมมือ
โดยก่อนหน้าที่จะมีการขายเอกสารโบราณนั้น แซม ฟ็อกก์ ได้ติดต่อนักโบราณคดีชื่อ ลอร์ แซนเดอร์ ให้ช่วยเขียนอธิบายความเป็นมาของเอกสารโบราณเหล่านี้ ซึ่งเมื่อเธอได้นำไปวิเคราะห์ก็พบว่า เอกสารโบราณเหล่านี้ถูก จารึกขึ้นเป็นภาษาสันสกฤตด้วยตัวอักษรพราหมี (อ่านว่า พราม-มี) ในช่วงราวปี พ.ศ. ๕๔๐-๙๔๐ เป็นพระคัมภีร์ในพุทธศาสนาที่ว่าถึงพระสูตร พระวินัยตลอดจนจารึกเหตุการณ์ต่าง ๆ หลากหลาย บางเรื่องก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่เอกสารอีกหลายชิ้นมีเรื่องราวที่ไม่เคยปรากฏให้โลกรู้มาก่อน และเรียกได้ว่าเป็นเอกสารสำคัญในภาษาสันสกฤตที่เก่าแก่ที่สุดของพุทธศาสนา (ที่มีหลักฐานเหลืออยู่)
พระคัมภีร์พุทธศาสนาโบราณเหล่านี้ถูกจารึกอยู่บนแผ่นวัสดุต่าง ๆ ได้แก่ ใบลาน เปลือกไม้หนังแกะ และแผ่นทองเหลือง เป็นต้น เจาะรูแล้วร้อยด้ายรวมไว้เป็นเล่ม บางเล่มอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แต่ที่เป็นเศษเล็กเศษน้อยนั้นมีจำนวนมาก และเมื่อสืบหาข้อมูลต่อไป ท่านศาสตราจารย์จึงพบว่า แหล่งที่มาของเอกสารโบราณสำคัญลํ้าค่าเหล่านี้มิใช่อื่นไกล แต่เป็นถํ้าต่าง ๆ บริเวณหุบเขาบามิยัน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากพระพุทธรูปประทับยืนหินแกะสลักที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง
ต่อมาศาสตราจารย์เจนส์ บราวิก ได้เป็นผู้เชิญชวนให้นักวิชาการระดับโลก ที่อยู่ในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงทั่วโลกให้มาร่วมมือกันทำงานสำคัญ เพื่อการตรวจชำระปริวรรตเป็นอักษรโรมันเเละแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษ แล้วจัดพิมพ์เผยแผ่ให้นักวิชาการพุทธศาสตร์และชาวพุทธทั่วโลกได้รับทราบข้อมูลต่อไป และถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญให้คนรุ่นหลังได้รับรู้จึงเสมือนเป็นการเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พุทธศาสนา จากการศึกษาพระคัมภีร์ที่มีความเก่าเเก่ทั้ง ด้านโบราณคดี วัฒนธรรม และความคิดความรู้ของคณะสงฆ์ ตลอดจนผู้คนในยุคนั้น ๆ ด้วย จนทำให้ชาวโลกต่างตื่นตาตื่นใจ เพราะทั้งเนื้อหาเรื่องราวที่ถูกจารึกด้วยภาษาและตัวอักษรโบราณนั้นล้วนมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
นักวิชาการที่ร่วมกันทำงานเหล่านั้นประกอบด้วยนักวิชาการ คณาจารย์ระดับโลกของเยอรมันมีศาสตราจารย์ลอร์ เเซนเดอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรโบราณจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะอินเดียที่เบอร์ลินท่านศาสตราจารย์ เจนส์ อุเว ฮาร์ทเเมนน์ จากมหาวิทยาลัยลุดวิก แม็กซิมิเลียน มิวนิค และที่มาจากประเทศญี่ปุ่น คือ ท่านศาสตราจารย์คาซุโนบุ มัตสึดะ มหาลัยบุคเกียว เกียวโต และต่อมามีศาสตราจารย์พอล แฮร์ริสัน (ชาวนิวซีเเลนด์) จากมหาวิทยาลัยสเเตนฟอร์ด อเมริกา อีกด้วย
ท่านเหล่านี้ได้รว่ มงานกนั มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ จนถึงปัจจุบันนีมี้นักวิชาการระดับโลกและนักวิชาการรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมงานอีกมากมาย และที่สำคัญคือ ปัจจุบันมีนักวิจัยของสถาบันดีรีร่วมอยู่ด้วย
![](https://images.dmc.tv/www/images/00-iimage/580909-4.jpg)
เรียงลำดับจากซ้ายมาขวา
ศ. คาซุโนบุ มัตสึดะ, ศ. ลอร์ เเซนเดอร์,
ศ. เจนส์ อุเว ฮาร์ทเเมนน์, ศ. พอล แฮร์ริสัน และ
ศ. เจนส์ บราวิก ท่านเหล่านี้ได้ร่วมงานกันมา
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่ผ่านมา สถาบันดีรีมีความร่วมมือทางวิชาการอย่างต่อเนื่องกับมหาวิทยาลัยออสโล แล้วทางสถาบันดีรีก็ได้ร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เมืองซีแอตเติล สหรัฐอเมริกา ที่มีโครงการวิจัย ชำระ และแปลเอกสารโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เช่นกัน จึงทำให้เรานักวิจัยของสถาบันดีรีได้เรียนรู้สืบค้นจากแหล่งข้อมูลชั้นปฐมภูมิ (Primary Source) ที่แท้จริง นั่นหมายถึงโอกาสอันดีงามที่นักวิจัยของสถาบันดีรีได้ย้อนยุคไปศึกษาวิจัยและได้เรียนรู้ภาคสนามกับนักวิชาการ คณาจารย์ระดับโลก ที่อยู่ตามที่ต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลก
จากการที่นักวิจัยของสถาบันฯ ได้บ่มเพาะฝึกฝนตนเองทั้งด้านวิชาการ ทั้งเรียนรู้ภาษาโบราณและการทำวิจัยด้วยระบบมาตรฐานสากลของโลก โดยเริ่มต้นเสมือนเป็นผู้ช่วยวิจัยของคณาจารย์นักวิชาการระดับโลกเหล่านั้น จึงทำให้พวกเราพัฒนางานวิจัยก้าวหน้าไปได้มาก จนในปัจจุบันพวกเราก็ได้รับความเมตตาให้ร่วมทำงานเคียงข้างท่านอย่างเต็มตัว จนนักวิจัยของเราได้ผลิตผลงานทางวิชาการร่วมกับนักวิชาการที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น ที่จะพิมพ์เผยเเผ่สู่สาธารณะทั่วไป ทำให้นักวิชาการระดับโลกต่างเริ่มรับรู้ผลงานจากสถาบันวิจัยดีรีเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ท่านศาสตราจารย์เจนส์ บราวิก ได้พาคณะนักวิจัยของสถาบันดีรีไปที่ Workshop โดยนัดหมายไปพบ Conservator ชื่อคุณดาเนียล เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการถนอมรักษาของเก่าด้านเอกสาร โดยเฉพาะภาพเขียนโบราณเก่าที่ประณีต เป็นต้น เเละเนื่องจากพระคัมภีร์เหล่านั้นเป็นวัสดุเปลือกไม้เบิร์ช (Birch Bark) และใบลาน ที่มีการจารึกด้วยหมึกชั้นเยี่ยม อายุประมาณคริสต์ศตวรรษที่ ๖ (อายุราว ๑,๓๐๐ ปี) เเต่ถูกความชื้น (ไม่รู้สาเหตุ) จนทุกแผ่นติดกันแน่นคุณดาเนียลต้องค่อย ๆ แกะแล้วทำให้เเห้ง แล้วจึงส่งต่อไปถ่ายสำเนาดิจิทัล จากนั้นจึงเป็นช่วงที่นักวิจัยของดีรีกับ ดร.เจนส์ จะได้มีโอกาสเรียนอ่าน ชำระปริวรรตเป็นตัวอักษรโรมัน (Romanize)จากนั้นจึงจะไปเทียบกับคัมภีร์ในภาษาอื่น ซึ่งผู้ชำระจะต้องมีพื้นความรู้ภาษานั้น ๆ เช่น ทิเบตจีน เป็นต้น และแปลเป็นภาษาอังกฤษ
![คุณดาเนียล (Conservator) แผนกอนุรักษ์คัมภีร์โบราณ กำลังอธิบายวิธีการเก็บรักษาและซ่อมแซมเพื่อการทำงานขั้นตอนต่อไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งข้อมูลชุดใหญ่ ต้นฉบับเก่าแก่ อายุมากกว่า ๑,๓๐๐ ปี คุณดาเนียล (Conservator) แผนกอนุรักษ์คัมภีร์โบราณ กำลังอธิบายวิธีการเก็บรักษาและซ่อมแซมเพื่อการทำงานขั้นตอนต่อไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งข้อมูลชุดใหญ่ ต้นฉบับเก่าแก่ อายุมากกว่า ๑,๓๐๐ ปี](https://images.dmc.tv/www/images/00-iimage/580909-5.jpg)
![คุณดาเนียล (Conservator) แผนกอนุรักษ์คัมภีร์โบราณ กำลังอธิบายวิธีการเก็บรักษาและซ่อมแซมเพื่อการทำงานขั้นตอนต่อไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งข้อมูลชุดใหญ่ ต้นฉบับเก่าแก่ อายุมากกว่า ๑,๓๐๐ ปี คุณดาเนียล (Conservator) แผนกอนุรักษ์คัมภีร์โบราณ กำลังอธิบายวิธีการเก็บรักษาและซ่อมแซมเพื่อการทำงานขั้นตอนต่อไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งข้อมูลชุดใหญ่ ต้นฉบับเก่าแก่ อายุมากกว่า ๑,๓๐๐ ปี](https://images.dmc.tv/www/images/00-iimage/580909-6.jpg)
คุณดาเนียล (Conservator) แผนกอนุรักษ์คัมภีร์โบราณ กำลังอธิบายวิธีการเก็บรักษาและซ่อมแซม
เพื่อการทำงานขั้นตอนต่อไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งข้อมูลชุดใหญ่ ต้นฉบับเก่าแก่ อายุมากกว่า ๑,๓๐๐ ปี
การเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจในครั้งนี้ มีพันธกิจเพื่อร่วมประชุมปรึกษางานกัน เเละจะได้มีโอกาสพัฒนาความร่วมมือต่อกัน อันสืบเนื่องจากการทำ MOU ระหว่างสองสถาบันคือ University of Oslo (UiO) และ Dhammachai lnternational Research lnstitute (DIRI)
อีกทั้งผู้เขียนและทีมงานก็ได้มีโอกาสพบปะและเข้าไปทำความรู้จักกับทีมงานนักวิชาการที่เป็นผู้บุกเบิกงานวิจัยเกี่ยวกับพระคัมภีร์พุทธโบราณ ฉบับภาษาคานธารี ได้แก่ ศ. ริชาร์ด ซาโลมอน, ศ. คอลเล็ต ค็อกซ์, ดร. แอนดรูว์ กลาส และท่านภิกษุณีเทียนชาง ในการประชุมวิชาการด้านพุทธศาสตร์ศึกษานานาชาติ ครั้งที่ ๑๔ พ.ศ. ๒๕๔๘ ณ ภาควิชาตะวันออกและอัฟริกันศึกษามหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ จึงเป็นผลงานของนักวิจัยสถาบันดีรีที่สามารถค้นพบหลักฐานร่องรอยธรรมกาย ซึ่งมีอยู่หลายแหล่งด้วยกัน และเป็นเรื่องที่น่าสนใจ โดยผู้เขียนจะทยอยนำมาเผยแพร่ให้ได้ทราบกันในฉบับต่อไป
บทความที่เกี่ยวข้อง...