แปลก
แต่จริง...ยุคนี้ เด็กไทย-วัยรุ่นไทย ถูกระบุว่าเห่อเหิม
เทคโนโลยี-ไฮเทค ต่าง ๆ
แต่ขณะเดียวกัน...เด็กไทย-วัยรุ่นไทยจำนวนไม่น้อยกลับมีพฤติกรรมบางด้านที่
สวนทางกับเรื่องไฮเทคอย่างสิ้นเชิง !!
เรื่องผี-เรื่องลี้ลับ เด็กไทยยุคนี้ก็สนใจ
หลายคน เชื่อ และหลายคนก็ กลัว
ปรากฏการณ์หนึ่งที่สะท้อนความกลัว-ความเชื่อของเด็กไทย-
วัยรุ่นไทยในเรื่องดังกล่าวนี้ ก็เช่นการที่มีข่าวเป็นระยะ ๆ
กรณีมีนักเรียน-นักศึกษาเกิดอาการเพ้อ กรีดร้อง โดยบอกว่า
เห็นผี-เห็นวิญญาณ
บางกรณีก็บอกว่าเห็นวิญญาณของเพื่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว
และบางกรณีก็เป็นการ เห็นหมู่ พร้อม ๆ กันหลายคน
กรณีแบบนี้ใคร
ไม่เชื่อเรื่องผี-เรื่องวิญญาณก็จะบอกว่าเป็น อุปาทานหมู่ ซึ่ง ณ
ที่นี้ก็จะไม่ไปชี้ว่ากรณีไหนน่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ และก็เห็นพ้องด้วย
หากที่ไหนที่เกิดเรื่องจะมีการจัดพิธีกรรมบางอย่างเพื่อความสบายใจของทุก
ฝ่าย อย่างไรก็ตาม หากจะว่ากันในเชิงที่มิใช่ไสยศาสตร์
ในเชิงจิตวิทยาเกี่ยวกับเรื่องอุปาทานหมู่...ก็มีคำอธิบาย
...
อุปาทานหมู่เป็นเรื่องของอาการทางจิตใจอย่างหนึ่งที่พบเห็น
และเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ
ซึ่งเป็นกลุ่มอาการทางจิตลักษณะหนึ่งที่พบว่ามักจะเกิดกับเด็ก-วัยรุ่น
หรือคนที่มีความไม่มั่นคงทางจิตใจสูง
อาการอุปาทานหมู่มักเกิด
กับกลุ่มคนที่มีความเชื่อคล้ายกัน โดยเฉพาะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เมื่อเกิดอาการในคนแรกก็จะส่งผลให้คนอื่น ๆ เกิดอาการในลักษณะเดียวกัน
ส่งต่อกันเป็นทอด ๆ แบบปฏิกิริยาลูกโซ่
เมื่อคนแรกในกลุ่มแสดง
อาการออกมา
คนที่เหลือซึ่งมีความเชื่อฝังแน่นอยู่ในจิตใต้สำนึกอยู่แล้วก็จะเกิดอาการ
ตาม โดยคิดว่าเป็นเพราะผีเข้า อาถรรพณ์ หรืออะไรก็ตามแต่จะเชื่อ...
...เป็นคำอธิบายในเชิงจิตวิทยาของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกรมสุขภาพจิต
แต่...การที่ เด็กไทย-วัยรุ่นไทยยุคใหม่เชื่อเรื่องผี ก็น่าคิด ?!?
โฆษก
กรมสุขภาพจิตชี้ไว้ว่า... ระยะหลังพบว่าแม้แต่ในเมืองใหญ่ ๆ
หรือในเมืองหลวงที่มีความเจริญสูงอย่างกรุงเทพฯ
ก็มีเหตุการณ์ทำนองนี้เช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจ
เพราะสะท้อนให้เห็นความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผี ๆ แบบนี้ที่ยังฝังลึกอยู่
ยังไม่สามารถลบล้างลงได้
ทั้งนี้
ขณะที่โลกเจริญรุดหน้าด้านเทคโนโลยี
เด็กไทย-วัยรุ่นไทยก็เติบโตขึ้นมากับเทคโนโลยีล้ำสมัย
แต่ก็ยังมีความเชื่อเรื่องผี ไม่ต่างไปจากคนรุ่นก่อน ๆ นั้น
คุณหมอทวีศิลป์บอกว่า... เป็นเรื่องธรรมดา
เพราะแม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังมีกลุ่มความเชื่อทำนองนี้อยู่เช่นกัน
ทั้ง
หมดนี้อาจมีสาเหตุเพราะวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบคำถามได้หมดทุกเรื่อง
ดังนั้นคนบางกลุ่มเลยจำเป็นต้องอาศัยจินตนาการ
เพื่อมาเป็นคำตอบในช่องว่างเหล่านั้น
เมื่อเกิดช่องว่างที่วิทยา
ศาสตร์ให้คำตอบไม่ได้ ก็ทำให้ความเชื่อเรื่องผี เรื่องวิญญาณ
หรือเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติต่าง ๆ เข้ามาเติมเต็มลงในช่องว่าง ในฐานะ
คำตอบ
ที่สำคัญ...ลักษณะความเชื่อดังกล่าวนี้
มักเกิดในกลุ่มคนที่ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเอง
และอาจถูกเร้าจากปัญหาทางกายที่เกิดจากความเจ็บป่วย
หรือปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความขัดสน
ทำให้ต้องพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวเพื่อเข้ามาทำให้จิตใจรู้สึกมั่นคง
ซึ่งอาจเรียกว่า จินตนาการ หรือ จินตภาพ
อย่างไรก็ตาม
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาก็ไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าความเชื่อในเรื่อง
เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิดหรือถูก เพียงแต่เตือนว่า หากเชื่อมากไป
หรือความสมดุลจากความเชื่อมีมากหรือน้อยไป
ก็ย่อมจะไม่ส่งผลดีต่อการใช้ชีวิต
หรือแบบที่มักจะเรียกกันว่าลุ่มหลงงมงายนั่นเอง
คุณหมอทวีศิลป์
ยังระบุต่อไปอีกว่า...
ในบางกรณีผู้ใหญ่เองก็เป็นตัวอย่างให้กับเด็ก-วัยรุ่น
อย่างเช่นกรณีที่เด็ก-วัยรุ่นนิยมเรื่อง เครื่องราง-ของขลัง
นิยมเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องโชคลาง ส่วนหนึ่งก็เกิดจาก
พฤติกรรมเลียนแบบ เพราะเด็กและเยาวชนต้องอยู่ร่วมกับสังคมผู้ใหญ่
ทำให้รับเอาอิทธิพลความเชื่อเหล่านี้มา
กล่าวคือ...จากการที่ผู้
ใหญ่แสดงออกผ่านการกระทำ ก็ทำให้เด็กและเยาวชนได้เห็นและรับรู้
จนเด็กมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา
จึงไม่แปลกที่ความเชื่อในเรื่องแบบนี้จะถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นถึงยุค
ปัจจุบัน
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าถูกหรือไม่ถูก
เพราะขนาดผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ก็ยังมีความเชื่อลักษณะนี้
เด็กและเยาวชนที่มีประสบการณ์ชีวิตน้อยกว่าก็ย่อมจะทานกระแสไม่ไหว
หากแต่อยู่ที่ว่าจะสามารถปรับทิศทางของความเชื่อเหล่านี้ให้มาอยู่ในด้าน
บวกได้หรือเปล่า ....โฆษกกรมสุขภาพจิตกล่าวน่าคิด
ทั้งนี้และทั้ง
นั้น
บทสรุปในเรื่องนี้ก็คือ...เพราะผู้ใหญ่ยุคนี้ก็ยังเชื่อ-ยังแสดงออกถึงความ
เชื่อใน เรื่องผี-เรื่องลี้ลับต่าง ๆ กันเป็นจำนวนมากจึงไม่แปลกที่เด็กไทย-วัยรุ่นไทยยุคไซเบอร์จะเชื่อ-จะกลัวในเรื่องนี้ด้วย
และเรื่องแบบนี้...วิทยาศาสตร์ที่ว่าแน่ก็ยังยากจะให้คำตอบ
เรื่องแบบนี้...ถือคติ ไม่เชื่อ...แต่ไม่ลบหลู่ ก็ไม่เสียหาย...
สำคัญคือ...อย่าถึงขั้น ขาดสติ จนเป็นภัยกับตนเอง !!!.