พิษน้ำเมาถล่มทั่วโลก
ทำคนเป็นโรคตายชั่วโมงละ 2,100 คน ไม่นับเมาแล้วขับ ผลวิจัยระบุ
ร้ายแรงกว่า ยาบ้า ยาอี ชี้
ในโลกนี้ไม่มีสินค้าอื่นสร้างความพิการเท่าเหล้าอีกแล้ว
นานาชาติประชุมในไทย
ประกาศตั้งเครือข่ายนโยบายควบคุมแอลกอฮอล์แห่งเอเชีย-แปซิฟิกที่กรุงเทพฯ
เคลื่อนไหวลดภัยน้ำเมาทั่วโลก
ที่โรงแรมเอเชีย องค์กรวิชาการและเอ็นจีโอจาก 13 ประเทศ ร่วมประชุมจัดตั้ง “เครือข่ายนโยบายควบคุมแอลกอฮอล์แห่งเอเชียแปซิฟิก”
ระหว่างวันที่ 11-12 ส.ค.2549 โดยประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติ ในหัวข้อ
“นโยบายควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”
ซึ่งมีสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าของประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม
ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เป็นเจ้าภาพจัดงาน
ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล
รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์การบริโภคแอลกอฮอล์ทั่วโลกอยู่ในขั้นวิกฤต องค์การอนามัยโลก ประมาณว่า มีผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์แล้วกว่า 76.3 ล้านคนทั่วโลก
เจ็บป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ เสียชีวิต 1.8 ล้านคนต่อปี
หรือชั่วโมงละกว่า 2,100 คน โดยรัฐบาลไทยตั้งใจที่จะลดปัญหาดังกล่าว เหล้า
เบียร์ เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงอันดับแรก
ที่ต้องมีมาตรการดูแลแตกต่างไปจากสินค้าธรรมดา
จึงได้ตั้งคณะกรรมการควบคุมการบริโภคแอลกอฮอล์แห่งชาติขึ้น
และกำหนดมาตรการต่างๆ ออกมาเป็นระยะ
“แม้ที่ผ่านมา มาตรการทั้งเชิง นโยบายและการรณรงค์ในประเทศไทย
ได้เริ่มทำให้ประชาชนบริโภคแอลกอฮอล์ลดลง
รวมทั้งอุบัติเหตุจราจรลดลงในสองปีที่ผ่านมา แต่การแก้ปัญหาเรื่องนี้
ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังมีนโยบายสาธารณะที่จำเป็น เช่น
การห้ามโฆษณาและส่งเสริมการขายทุกรูปแบบ การจำกัดสถานที่จำหน่าย
การเพิ่มภาษีและกระบวนการผลักดัน
พ.ร.บ.ควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ทั้งหมดนี้ต้องเผชิญแรงเสียดทานหลายด้าน
การแก้ไขปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงต้องเป็นปัญหาระดับสากล
การที่ผู้ที่ทำงานด้านนี้ในภูมิภาคและทั่วโลกมาร่วมมือกัน
นับเป็นก้าวสำคัญที่จะยกระดับความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาทำนองเดียวกับที่การควบคุมยาสูบได้ประสบความสำเร็จมาแล้ว”
ศ.นพ.สุชัย กล่าว
ด้านนายดีเรค รัธเธอร์ฟอร์ด
ประธานเครือข่ายนโยบายแอลกอฮอล์ระดับโลก หรือ กาปา (GAPA - Global Alcohol
Policy Alliance) กล่าวว่า
รัฐบาลไทยที่มีวิสัยทัศน์ที่จัดตั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.) จากภาษีสุราและยาสูบ
และได้ประสานการทำงานด้านควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างจริงจัง นับ
เป็นตัวอย่างที่ดีซึ่งนานาชาติควรนำไปใช้ เพราะทุกวันนี้
ไม่มีส่วนใดในโลกที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์
ในประเทศที่พัฒนาแล้ว แอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสุขภาพร้ายแรงอันดับที่ 3
รายงานขององค์การอนามัยโลก พบว่า
แอลกอฮอล์ทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึงร้อยละ 3.2
และยังเป็นสาเหตุของโรคภัยต่างๆถึงร้อยละ 4 ของโลก
“เราไม่ได้ต่อสู้กับสินค้าธรรมดา แต่เป็นสารเสพติดอันตรายสูงสุด
อันดับ 5 รองจากเฮโรอีน โคเคน บาร์บิทูเรต และเมตาโดน
โดยจัดว่าอันตรายกว่ายากล่อมประสาทและยาบ้า กัญชา แอลเอสดีและยาอี
ถือได้ว่า ไม่มีสินค้าอื่นใด
แม้กระทั่งบุหรี่ที่จะเป็นที่แพร่หลายและเป็นปัจจัยต่อความพิการได้เท่ากับแอลกอฮอล์”
นายดีเรค กล่าว
ประธานเครือข่ายนโยบายแอลกอฮอล์ระดับโลก กล่าวว่า
การตั้งเครือข่ายนโยบายแอลกอฮอล์ในเอเชีย-แปซิฟิก (APAPA- Asia Pacific
Alcohol Policy Alliance) ที่กรุงเทพฯในครั้งนี้
จะช่วยสานต่อเครือข่ายโลกให้สมบูรณ์ขึ้น โดยมีเป้าหมายระยะต้น
ในการร่างแผนยุทธศาสตร์ด้านนโยบายควบคุมการบริโภคแอลกอฮอล์ขององค์การ
อนามัยโลก
ซึ่งจะจัดทำเพื่อรายงานต่อที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลกในปี พ.ศ.2550 นี้
ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ในฐานะประธานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า
กล่าวว่า
ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วภายใต้ระบบโลกาภิวัตน์
มาตรการที่จะควบคุมเฉพาะภายในแต่ละประเทศทำได้จำกัด เช่น
เขตการค้าเสรีได้ทำให้ภาษีศุลกากรของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศต่างๆ
ลดลงอย่างมาก และยังมีความเชื่อมโยงเรื่องการตลาดของอุตสาหกรรมข้ามชาติ
และอื่นๆ อีกหลายด้านอีกด้วย
นักรณรงค์และผลักดันนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วโลก
จึงได้ประสานงานกันเป็นเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการขึ้นเพื่อรับมือปัญหาข้ามชาติดังกล่าว
โดยเครือข่ายองค์กรงดเหล้าได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมครั้งนี้
ซึ่งจะมีการประกาศตั้งเครือข่ายนโยบายควบคุมแอลกอฮอล์แห่งเอเชีย-แปซิฟิกขึ้น
ซึ่งเครือข่ายได้รับเป็นศูนย์ประสานงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
โดยมีผู้เข้าประชุมประมาณ 40 คน จากจำนวน 18 ประเทศ
ซึ่งเป็นผู้แทนจากองค์กรในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
รวมไปถึงผู้แทนจากองค์การอนามัยโลก
ที่มา-