เมื่อเวลา
13.00 น. วันที่ 24 สิงหาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข นายราล์ฟ แอล. บอยซ์
เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
นำตัวแทนภาคธุรกิจสัญชาติสหรัฐซึ่งดำเนินธุรกิจในประเทศไทย อาทิ บริษัท
ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด ผู้ผลิตบุหรี่ "มาร์โบโร" บริษัท
บราวน์ โฟร์แมน เวิลด์ไวด์ ผู้ผลิตสุรา "แจ็คแดเนียล" บริษัท คอลด์เบคค์
แมคเกรเกอร์ ผู้ผลิตเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ "บัคคาดี้ บรีเซอร์" บริษัท
ริชมอนเด้ ผู้ผลิตสุรา "จอห์นนี่ วอล์คเกอร์" บริษัท โคคา-โคลา บริษัท
แอมเวย์ และบริษัท อีไลลิลลี ผู้ผลิตอาหารสัตว์ เข้าหารือนายพินิจ
จารุสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.วัชระ พรรณเชษฐ
ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
และผู้บริหารกระทรวงระดับสูงเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมง
นายราล์ฟ แอล.
บอยซ์ กล่าวว่า
บริษัทสหรัฐที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยได้ร่วมประชุมกันที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
เพื่อหารือปัญหาการดำเนินธุรกิจในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทางกระทรวงสาธารณสุข
และขอให้สถานทูตนำเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
และผู้บริหารระดับสูง เพื่อรับฟังปัญหาและทำความเข้าใจกัน
ซึ่งการหารือในครั้งนี้ถือว่าได้ผลที่ดีมากเป็นที่น่าพอใจ
ซึ่งต้องขอบคุณที่เปิดโอกาสให้ ส่วนในเรื่องการลงทุนเพิ่มเติมนั้น
เป็นการลงลึกในรายละเอียดหลังจากนี้
แต่ปัจจุบันบริษัทเหล่านี้ต่างมีการลงทุนในไทย
แต่ไม่มีการหารือเกี่ยวกับการเจรจาเอฟทีเอ ที่เกี่ยวข้องกับยา
จากการหารือครั้งนี้ทำให้บริษัทสหรัฐ
รู้สึกว่ากระทรวงสาธารณสุขเป็นเพื่อนที่ดี
นายพินิจกล่าวว่า
ในการหารือครั้งนี้ ทางสหรัฐได้เสนอปัญหาต่างๆ โดยทางกระทรวงได้รับฟัง
และมีหลายเรื่องที่เป็นข้อเสนอที่ดี ซึ่งเตรียมดำเนินการอยู่แล้ว เช่น
เรื่องการติดภาพเตือนบนซองบุหรี่ที่ขอให้มีการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันทั้งบุหรี่นำเข้า
และในกลุ่มของยาเส้น
รวมไปถึงกลุ่มซิการ์
ส่วนมาตรการควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการออกกฎหมายบังคับใช้
บริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของสหรัฐ
ขอร่วมเสนอความเห็นนั้นไม่น่าเป็นปัญหาเพราะการออกกฎหมายต้องรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย
ทั้งในส่วนของผู้ผลิต
ประชาชน สื่อมวลชน ผู้แทนองค์กรที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุป
แต่ไม่มีการหารือในเรื่องเอฟทีเอ
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ ร่าง
พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สรุปเรียบร้อยแล้ว
ภายหลังจากทำประชาพิจารณ์ 7 ครั้ง
โดยเตรียมเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในเดือนหน้า
สาระสำคัญคือการควบคุมการโฆษณาเพิ่มเติมเช่นเดียวกับบุหรี่
การขยายอายุขั้นต่ำในการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จาก 21 ปี เป็น 25 ปี
รวมถึงการจำกัดสถานที่ขาย แต่การออกกฎหมายคงต้องใช้เวลา
เพราะยังต้องรอรัฐบาลชุดใหม่เพื่อเสนอต่อรัฐสภา
แต่ในระหว่างนี้จะเป็นการเดินหน้าควบคุมการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ ก่อน
โดยใช้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถือเป็นสินค้าที่ทำลายสุขภาพ
ซึ่งขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
ได้มอบอำนาจในส่วนนี้ให้ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาดำเนินการ
ซึ่งจะมีการหารือร่วมกับกรมควบคุมโรคต่อไป
"ในการดำเนินมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องทำต่อไป
เพราะเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนไทย
โดยทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเองก็มีนโยบายชัดเจนในเรื่องนี้อยู่แล้ว"
นพ.ณรงค์กล่าว และว่า วันที่ 24 สิงหาคมนี้ จะมีประกาศกฎกระทรวงเพิ่มเติม
พ.ร.บ.ควบคุมการบริโภคยาสูบ
โดยให้ติดคำเตือนและภาพอันตรายจากการสูบบุหรี่ขยายครอบคลุมไปถึงยาสูบประเภทซิการ์
จะเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และมีผลบังคับใช้ภายใน 180 วัน
ที่มา-