ในการประชุมใหญ่ของสหพันธ์ดาราศาสตร์นานาชาติ
(International Astronomical Union - IAU) ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงปราก
ประเทศสาธารณรัฐเช็กในระหว่างวันที่ 14-25 สิงหาคม 2006
นอกจากนักดาราศาสตร์ทั่วโลกจะมาสะสางปัญหานิยามของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะกันใหม่
หลังจากการค้นพบเทหวัตถุดวงใหม่หลายดวงนอกวงโคจรของดาวเนปจูน
ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าดาวพลูโตกันแล้ว
ที่ประชุมยังหยิบยกเรื่องภัยคุกคามจากดาวหางและดาวเคราะห์น้อยประเภท
"เทหวัตถุใกล้โลก" (Near-Earth Objects - NEOs) มาพิจารณากันด้วย
ซึ่งไอเอยูแถลงว่าได้จัดตั้งทีมงานพิเศษขึ้นมาศึกษาภัยคุกคามจากเทหวัตถุ
ใกล้โลกอย่างละเอียดและกว้างขวางยิ่งขึ้น
เทหวัตถุใกล้โลกคือ
ดาวหางและดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ที่มีวิถีโคจรตัดกับวิถีโคจรของโลก
ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ได้ค้นพบดาวหางและดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
1 กิโลเมตรหรือใหญ่กว่าแล้วจำนวน 1,100 ดวง
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่จะมีอานุภาพในการ
ทำลายล้างทั่วทั้งโลกเลยทีเดียว
โลกในอดีตเคยถูกดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนมาแล้วหลายครั้ง
ครั้งที่รุนแรงที่สุดจนทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกเกือบทั้งหมดสูญพันธุ์เกิดขึ้น
ในปลายยุคเพอร์เมียน-ไทรแอสสิก
(251 ล้านปีก่อน) ซึ่งเรียกกันว่ายุคแห่งการล้มตายครั้งยิ่งใหญ่ (the
great dying)
และอีกครั้งหนึ่งในปลายยุคครีเตเชียส-เทอร์เทียรี เมื่อ 65
ล้านปีก่อนซึ่งทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดโลก
ดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยชนโลกครั้งสุดท้ายที่ทังกัสกา ไซบีเรีย เมื่อปี
1908 อานุภาพการทำลายในครั้งนั้นเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ 15 เมกะตัน
ทำให้ผืนป่าแบนราบกว่า 2,150 ตารางกิโลเมตร
โชคดีที่มันไม่ได้ชนโลกในเขตชุมชนหนาแน่นอย่างเมืองใหญ่ๆ ของโลก
นิค ไคเซอร์ นักดาราศาสตร์ของสถาบันดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาวาย เจ้าของโปรแกรม
Pan-STARRS ซึ่งใช้กล้องดิจิตอล 4
ตัวสแกนท้องฟ้าเพื่อตรวจจับดาวหางและดาวเคราะห์น้อยกล่าวว่า
"เป้าหมายของเราคือการค้นหาดาวเคราะห์น้อยนักฆ่าเหล่านี้ให้พบ
ก่อนที่พวกมันจะพบเรา"
ส่วนจีโอวานนี วอลเซคชี จากสถาบันฟิสิกส์แห่งชาติอิตาลีบอกว่า
เป้าหมายหลักก็คือ
สร้างระบบเตือนภัยอย่างถาวรเหมือนอย่างระบบเตือนภัยคลื่นสึนามิในมหาสมุทรแปซิฟิก
บนพื้นฐานความคิดที่ว่า ให้โลกมีเวลาพอที่จะตอบโต้ภัยคุกคาม
เช่นส่งจรวดยิงเทหวัตถุใกล้โลกเพื่อหันเหทิศทางหรือส่งยานอวกาศดันให้มัน
เปลี่ยนวิถีโคจรที่ไม่เป็นอันตรายต่อโลก
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรได้คิดค้นวิธีการกำจัดดาวเคราะห์น้อยหรือ
ดาวหางที่จะชนโลกไว้หลายวิธี
อาทิ การใช้ระเบิดนิวเคลียร์ทำลายอย่างในภาพยนตร์เรื่องอมาเกนดอน
การใช้ฝูงยานอวกาศซึ่งมีสว่านเจาะลงใต้พื้นผิวและดันมันออกไป
และการใช้กระจกรับแสงอาทิตย์จากยานอวกาศส่องไปยังพื้นผิวเพื่อให้เกิดความร้อนสูง
ซึ่งจะทำให้มันเปลี่ยนวิถีโคจรได้
แต่จะเลือกใช้วิธีการใดจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของดาวเคราะห์และดาวหางแต่ละดวง
ซึ่งมีความแตกต่างกัน
ทุกวันนี้องค์การนาซามีโปรแกรมตรวจจับเทหวัตถุใกล้โลกที่ชื่อว่า
"NASA"s Spaceguard Survey"
ซึ่งสามารถตรวจจับเทหวัตถุใกล้โลกขนาดใหญ่ได้แล้วจำนวน 800 ดวง และอีก 103
ดวงอยู่ในบัญชีการเฝ้าติดตาม และนาซาหวังว่าจนถึงปี 2008
จะสามารถตรวจพบเทหวัตถุใกล้โลกได้จำนวน 90%
ขณะที่สภาคองเกรสสหรัฐอเมริกาได้ขอให้องค์การนาซากำหนดแผนที่จะตรวจจับตำแหน่ง
ความเร็ว วิถีโคจร ของเทหวัตถุใกล้โลกขนาด 140 เมตรซึ่งสลัวๆ
ให้เสร็จภายในปี 2020 ด้วย
เดวิด มอริสัน
นักวิทยาศาสตร์นาซาซึ่งจะเป็นประธานทีมงานพิเศษที่ไอเอยูจะตั้งขึ้นให้ข้อมูลว่า
ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ค้นพบเทหวัตถุใกล้โลกทุกสัปดาห์แทนที่จะเป็นทุกปีเหมือนเมื่อก่อน
ไอเอยูยังให้ความมั่นใจว่าดาวเคราะห์น้อยอโพฟิส (99942 Apophis)
จะไม่ชนโลกในปี 2029 แต่โคจรเฉียดโลกในระยะใกล้เพียง 18,640 ไมล์ หรือ
30,000 กิโลเมตร (ใกล้โลกมากกว่าดาวเทียมพาณิชย์หลายดวง) ซึ่งคนในเอเชียและแอฟริกาเหนือจะสามารถชมดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ด้วยตาเปล่าในวันที่ 13 เมษายน 2029
เมื่อปีก่อนนักวิทยาศาสตร์กังวลใจกับดาวเคราะห์น้อยอโพฟิสขนาด 300
เมตรซึ่งการคำนวณในครั้งนั้นพบว่าโลกมีโอกาสเท่ากับ 1 ใน 5,500
ที่จะถูกชนในปี 2036
การชนของมันจะมีอำนาจทำลายล้างมหานครนิวยอร์กและปริมณฑลจนราบเรียบ
ทว่าการคำนวณใหม่พบว่าโลกมีโอกาสถูกชนโดยดาวเคราะห์น้อยดวงนี้เท่ากับ 1 ใน
30,000
มหันตภัยจากดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางกำลังเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ตื่นตัวมากกว่าที่ผ่านมา
เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2006 ที่รัฐโคโลราโด
องค์การนาซาได้จัดประชุมเวิร์กช็อปเพื่อประเมินและหาวีธีการที่ดีที่สุดที่จะตรวจจับ
จำแนกดาวหางและดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกรวมทั้งหาวิธีการดันให้เทหวัตถุใกล้โลก
ออกจากวิถีโคจรที่จะชนโลก
การประชุมนี้เป็นโอกาสเดียวกันกับที่ดาวเคราะห์น้อย 2004 XP14 ขนาด
410-920 เมตร โคจรเฉียดโลกเพียง 268,624 ไมล์ (432,308 กิโลเมตร) หรือ 1.1
เท่าของระยะทางระหว่างโลกกับดวงจันทร์
นักดาราศาสตร์เชื่อว่า ทุกๆ 1,500 ปี
จะมีดาวเคราะห์น้อยขนาดดาวเคราะห์น้อยอโพฟิสเฉียดโลก
แต่ยังไม่มีสถิติว่าดาวเคราะห์น้อยที่ชนโลกอย่างที่เกิดขึ้นที่ทังกัสกาจะเกิดขึ้นทุกกี่ปี
ในทรรศนะของจีโอวานนี วอลเซคชี แล้ว
ในที่สุดมนุษยชาติจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางที่เขาเรียกมันว่า
กระสุนจากอวกาศทุกดวงได้
เขาบอกว่าหลุมอุกกาบาตบนโลกเป็นประจักษ์พยานอย่างดีว่าได้เกิดอะไรขึ้น
"การชนได้ก่อกำเนิดดาวเคราะห์ขึ้น และการชนอีกเช่นกันที่ทำให้ดาวเคราะห์พบจุดจบ" เขากล่าว
ที่มา -![](https://images.dmc.tv/www/images/news_picture/logo/matichon.jpg)