ยังคงส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดอุทยานการเรียนรู้ “ทีเค ปาร์ค” เปิดเวทีแห่งการพัฒนาทักษะ และสนับสนุนนิสัยรักการอ่านของเด็กๆ โดยร่วมกับนิตยสาร Mother & Care และมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก จัดโครงการ ลับสมอง ประลอง ปัญญา สรรหาหนูน้อยนักเล่านิทาน ครั้งที่ 1
“รศ.พญ.นิศรา เรืองดารกานนท์” เผยถึงรายละเอียดของโครงการดีๆเพื่อเด็กไทยว่า การจัดการแข่งขันเล่านิทาน ก็เพื่อช่วยส่งเสริมการอ่าน โดยเฉพาะการอ่านภายในครอบครัว เพราะความสำคัญของการเล่านิทานให้ลูกฟัง มิใช่เพียงเสริมศักยภาพสมอง ทั้งด้านจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ รสนิยมด้านศิลปะ ภาษา และจริยธรรมเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้าง ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวให้เกิดขึ้น อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้สถาบันครอบครัว อย่างยั่งยืน โดยการแข่งขันแบ่งเป็นหลายประเภท ทั้งประเภทเดี่ยว มี 2 ระดับ คือ อายุ 4-6 ปี และอายุ 6-9 ปี ส่วนประเภททีมโรงเรียน มี 2 ระดับ ได้แก่ อายุ 4-6 ปี และอายุ 6-9 ปี ขณะที่ประเภททีมครอบครัวไม่เกิน 5 คน จำกัดอายุของบุตรไม่ มากกว่า 9 ปี เพื่อ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พร้อมทุนการศึกษากว่า 3 แสนบาท
ด้าน “รศ.เกริก ยุ้นพันธ์” เสริมว่า นิทานเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราได้ยินพ่อแม่ เล่าให้ฟังตั้งแต่เด็ก ทั้งหมดเป็นความรู้ เป็นครูของเรา มาจนถึงทุกวันนี้ จะเรียกได้ว่านิทานมีพลังที่สามารถ แทนอ้อมกอดของวงแขน ที่อบอุ่น ตลอดจนความรักของพ่อแม่ได้
ขณะที่ “ทิพย์สุดา สุเมธเสนีย์” เชื่อมั่นในพลังของนิทานว่า นิทานคือชีวิตของเด็ก ปลูกฝังให้เด็กเป็นคนรักการอ่านหนังสือ และก่อให้เกิดความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูก อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาให้เด็กมีการเจริญเติบโต ทั้งด้านจิตใจและความคิดที่ดี กล้าแสดงออก มีความมั่นใจในตัวเอง รวมทั้งได้เรียนรู้สิ่งที่เป็นข้อคิด หรือคติสอนใจจากนิทานเรื่องนั้นๆ
ติดตามลุ้นผลการตัดสินรอบสุดท้ายในเดือน ต.ค.นี้ หรือคลิกเข้าไปดูรายละเอียดที่ www.gmmultimedia.co.th ว่า นักเล่านิทานเรื่องใดจะได้เป็นแชมป์ โดยมีนิทานที่ล้วนแต่น่าฟัง ทั้งนั้น อาทิ ปลาวาฬขี้โมโห, ก๊อก ก๊อก ขอค้างคืนหนึ่งนะ, แม่ไก่สอนลูกไก่, สุนัขล่าเนื้อ, กระต่ายกับยีราฟชอบกินผัก และนกกับหนอนน้อย.
“รศ.พญ.นิศรา เรืองดารกานนท์” เผยถึงรายละเอียดของโครงการดีๆเพื่อเด็กไทยว่า การจัดการแข่งขันเล่านิทาน ก็เพื่อช่วยส่งเสริมการอ่าน โดยเฉพาะการอ่านภายในครอบครัว เพราะความสำคัญของการเล่านิทานให้ลูกฟัง มิใช่เพียงเสริมศักยภาพสมอง ทั้งด้านจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ รสนิยมด้านศิลปะ ภาษา และจริยธรรมเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้าง ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวให้เกิดขึ้น อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้สถาบันครอบครัว อย่างยั่งยืน โดยการแข่งขันแบ่งเป็นหลายประเภท ทั้งประเภทเดี่ยว มี 2 ระดับ คือ อายุ 4-6 ปี และอายุ 6-9 ปี ส่วนประเภททีมโรงเรียน มี 2 ระดับ ได้แก่ อายุ 4-6 ปี และอายุ 6-9 ปี ขณะที่ประเภททีมครอบครัวไม่เกิน 5 คน จำกัดอายุของบุตรไม่ มากกว่า 9 ปี เพื่อ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พร้อมทุนการศึกษากว่า 3 แสนบาท
ด้าน “รศ.เกริก ยุ้นพันธ์” เสริมว่า นิทานเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราได้ยินพ่อแม่ เล่าให้ฟังตั้งแต่เด็ก ทั้งหมดเป็นความรู้ เป็นครูของเรา มาจนถึงทุกวันนี้ จะเรียกได้ว่านิทานมีพลังที่สามารถ แทนอ้อมกอดของวงแขน ที่อบอุ่น ตลอดจนความรักของพ่อแม่ได้
ขณะที่ “ทิพย์สุดา สุเมธเสนีย์” เชื่อมั่นในพลังของนิทานว่า นิทานคือชีวิตของเด็ก ปลูกฝังให้เด็กเป็นคนรักการอ่านหนังสือ และก่อให้เกิดความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูก อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาให้เด็กมีการเจริญเติบโต ทั้งด้านจิตใจและความคิดที่ดี กล้าแสดงออก มีความมั่นใจในตัวเอง รวมทั้งได้เรียนรู้สิ่งที่เป็นข้อคิด หรือคติสอนใจจากนิทานเรื่องนั้นๆ
ติดตามลุ้นผลการตัดสินรอบสุดท้ายในเดือน ต.ค.นี้ หรือคลิกเข้าไปดูรายละเอียดที่ www.gmmultimedia.co.th ว่า นักเล่านิทานเรื่องใดจะได้เป็นแชมป์ โดยมีนิทานที่ล้วนแต่น่าฟัง ทั้งนั้น อาทิ ปลาวาฬขี้โมโห, ก๊อก ก๊อก ขอค้างคืนหนึ่งนะ, แม่ไก่สอนลูกไก่, สุนัขล่าเนื้อ, กระต่ายกับยีราฟชอบกินผัก และนกกับหนอนน้อย.
ที่มา-