กษมา
ฟื้นจัดสอบ NT นำข้อมูลมาใช้ในการแก้ปัญหาเด็กไทยอ่าน-เขียนไม่ได้
เตรียมสอบ 3 ช่วงชั้น ป.3 ป.6 และ ม.3 ปลายปีการศึกษานี้ มอบ สพฐ.ไปหารือ
สทศ.- สมศ. หาเจ้าภาพตัวจริง และหาเงินมาจัดสอบ
ย้ำไม่ผิดกฎหมายเพราะไม่ได้นำผลสัมฤทธิ์มาใช้ในการศึกษาต่อ
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้ใช้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับ นายชินภัทร ภูมิรัตน รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ผู้รักษาราชการแทนเลขาธิการ กพฐ.และผู้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(สพฐ.) ว่า ในที่ประชุมได้มีการพูดถึงเรื่องการอ่านไม่ออก อ่านไม่ได้
โดยจะให้ สพฐ.ชูเรื่องการแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้
เป็นวาระที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา
เพื่อให้เด็กไทยอ่านออกเขียนได้โดย
สพฐ.จะผลักดันให้มีการจัดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียน 3
ช่วงชั้นทุกคน ได้แก่ ป.3 ป.6 และ ม.3 ช่วงชั้นละประมาณ 9.7 แสนคน
รวมทั้งหมด ประมาณเกือบ 3 ล้านคน ในช่วงปลายปีการศึกษา 2549
หรือประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้ เพื่อให้ได้ข้อมูลว่า
คุณภาพของนักเรียนแต่ละโรงเรียนเป็นอย่างไร มีพื้นฐานความรู้อย่างไร
จากนั้นจะนำข้อมูลเหล่านี้มาทำแผนพัฒนานักเรียนให้สามารถอ่านออกเขียนได้
โดย สพฐ.ตั้งเป้าไว้ว่า นักเรียนทุกคนที่จบช่วงชั้นที่ 1 หรือ ป.3
จะต้องอ่านหนังสือและเขียนได้ ส่วนนักเรียนที่จบช่วงชั้นที่ 2 หรือ ป.6
นอกจากอ่านออก เขียนได้คล่องแล้ว
ต้องรู้จักคิดวิเคราะห์ได้ด้วย
คุณหญิงกษมา กล่าวต่อว่า
สพฐ.แค่ตั้งใจว่าจะผลักดันให้มีการทดสอบดังกล่าวขึ้น
แต่ขณะนี้ยังไม่ได้สรุปรายละเอียดว่า ใครจะเป็นผู้ทำหน้าที่จัดสอบ
ซึ่งเรื่องนี้จะต้องรอหารือกับสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)
เจ้าของหน้าที่ตามกฎหมายก่อนสมมติว่า
สทศ.สามารถจัดสอบให้กระทรวงศึกษาธิการได้ ทาง สพฐ.จะปล่อยให้ สทศ.ทำ
แต่ถ้า สทศ.ไม่พร้อมที่จะจัดสอบ สพฐ.ก็จะดำเนินการแทน หรือ
สพฐ.อาจจะร่วมมือกับ สทศ.และสำนักรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
(สมศ.) ช่วยกันจัดสอบ
เงื่อนไขเหล่านี้คงต้องหารือเพื่อหาข้อสรุปกับหน่วยงานดังกล่าวก่อน
“ ผลการประชุมพอสรุปได้ว่า สพฐ.จะผลักดันให้มีการจัดสอบ
เพียงแต่ใครจะทำ ใช้เงินจากไหน จำนวนเท่าไหร่ และจัดสอบอย่างไร
จะสอบวิชาใดบ้าง มอบให้
สพฐ.ไปสรุปรายละเอียดแล้วนำไปเพื่อหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ส่วนผลทดสอบ จะไม่นำไปใช้ในการศึกษาต่อ แต่ต้องการให้รู้คุณภาพของนักเรียน
เพื่อนำมาใช้ทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาต่อไป”
คุณหญิง กษมา กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาโรงเรียนที่คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานของสำนักรับรองมาตรฐาน
และประเมินคุณภาพการศึกษา โดยขอให้
สพฐ.ไปดูข้อมูลโรงเรียนที่คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานทั้ง 20,000 โรงว่า
และทำแผนว่าโรงเรียนใดที่สามารถแก้ไขโดย สพท.
และแห่งใดที่จะต้องขอความร่วมมือจากส่วนกลาง จากนั้นให้นำแผนดังกล่าวมาเสนอในที่ประชุมผอ.สพท.ที่จ.สุราษฎร์ธานีแหล่งข่าวจาก
สพฐ. กล่าวว่า ขณะนี้ทาง สพฐ.ขาดข้อมูลมาใช้ในการพัฒนาโรงเรียน
และนักเรียน เนื่องจาก
สพฐ.จัดทดสอบผลสัมฤทธิ์ระดับชาติครั้งสุดท้ายเมื่อปีการศึกษา
2546ต่อจากนั้น สพฐ.แค่ทำคลังข้อสอบไว้
ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) ที่มีความพร้อม
ดึงไปใช้จัดสอบโดยเป็นการสุ่มสอบ ไม่ใช่สอบทุกคน
ผลก็คือไม่ได้ข้อมูลย้อนกลับมาพอใช้อ้างอิง หรือเปรียบเทียบได้
ข้อดีของการทดสอบผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาต่าง ๆ
จะชี้วัดความสามารถในการอ่าน-เขียนของเด็กได้ เพราะถ้าเด็กอ่าน
เขียนไม่คล่อง การเรียนวิชาอื่น ๆ จะประสบปัญหาตามมา
ส่วนงบประมาณที่จัดสอบ NT ปี 2546 ใช้ไปประมาณ 60 ล้านบาท คาดว่า
ถ้าทำเต็มรูปแบบอีกครั้งหนึ่ง การจัดสอบครั้งนี้น่าจะใช้เงินไม่น้อยกว่า
100 ล้านบาท
“การจัดสอบนี้สามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมายใน
พ.ร.บ. สถาบันทดสอบแห่งชาติ เพราะไม่ได้ระบุให้
สทศ.จัดสอบช่วงชั้นอะไรบ้าง ประกอบด้วยความไม่พร้อมของ สทศ. ดังนั้นหาก
สพฐ.จะทำก็ไม่น่าผิดกฎหมาย
และไม่ได้จัดทดสอบซ้ำกับการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET)
จึงไม่น่ามีข้อวิตกกังวลใด ๆ”
ที่มา-![](https://images.dmc.tv/www/images/news_picture/logo/manager.gif)