ในโลกของนิยายวิทยาศาสตร์เราจะสร้างให้ยานยนตร์สามารถขับเคลื่อนอย่างชาญฉลาด
ไม่ว่าจะเหาะเหินเวหา เลี้ยวซ้ายขวาได้ดังใจ
แถมด้วยระบบอัจฉริยะป้องกันอุบัติเหตุ
คงไม่ใช่เรื่องยากเกินจินตนาการ
แต่กว่าจะสร้างฝันสู่ความเป็นจริงก็ไม่ง่าย
จัดสัมมนา “ประเทศไทยจะพัฒนารถอัจฉริยะไร้คนขับคันแรกได้อย่างไร”
เพื่อเผยแพร่ความรู้และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีเชื่อมต่องานวิจัย
อันจะสามารถขยายผลสู่เชิงอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลาย
ทั้งยังเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับประเทศ
ทั้งนี้
โครงการพัฒนารถอัจฉริยะไร้คนขับโดยรับความร่วมมือในลักษณะเครือข่ายการวิจัยจาก
12 สถาบันคือ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.)
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(มจธ.)
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ(สจพ.)
สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร(SIIT) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.)
มหาวิทยาลัยมหิดล
สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย(เอไอที)
มหาวิทยาลัยนเรศวร(มน.) และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า(จปร.)
ความร่วมมือดังกล่าวเป็นโครงการเพื่อพัฒนารถที่มีความเป็นอัจฉริยะ สามารถขับเคลื่อนจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่หนึ่งได้โดยปราศจากคนบังคับ
และอาศัยเพียงการป้อนข้อมูลสถานที่เป้าหมายของผู้โดยสาร
และรถจะรับรู้ข้อมูลจากอุปกรณ์ตรวจวัดประเภทต่างๆ
ที่ติดตั้งในรถยนต์ เช่น
อุปกรณ์ตรวจวัดตำแหน่งปัจจุบันของรถ
อุปกรณ์ตรวจวัดตำแหน่งของรถคันที่สวนทางมา
อุปกรณ์ตรวจวัดสิ่งกีดขวางทั้งที่อยู่นิ่งและเคลื่อนทีบนเส้นทาง
อุปกรณ์ตรวจวัดสัญญาณจราจร เป็นต้น
แต่ละสถาบันจะรับผิดชอบในโครงการย่อยตามความถนัดโดยมีสถาบันเอไอทีบริหารโครงการโดยรวมทั้ง
12 โครงการ ในส่วนงานวิจัยทางกลไกของรถอัจฉริยะรับผิดชอบโดย จุฬาฯ และ
สจล. ส่วนงานด้านอุปกรณ์ตรวจวัด เช่น การใช้สัญญาณภาพตรวจจับสิ่งกีดขวาง
เป็นต้น รับผิดชอบโดย มจธ. ม.กรุงเทพและ สจพ. งานส่วนระบบควบคุม เช่น
ควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่ เป็นต้น รับผิดชอบโดย SIIT มหิดล และ มก.
ในส่วนเชื่อมต่อการแสดงผลกับผู้ใช้และควบคุมทางไกล รับผิดชอบโดย เอไอที
จากนั้นเมื่อทุกส่วนทำสำเร็จก็จะนำผลงานมารวมกันเพื่อสร้างเป็น
“รถอัจฉริยะ” ต้นแบบ
รศ.ดร.มนูกิจ พานิชกุล จากเอไอทีและผู้ประสานงานโครงการพัฒนารถอัจฉริยะกล่าวว่า หากจะได้ “รถอัจฉริยะ” ต้นแบบต้องใช้เงิน 27 ล้านบาท โดยแบ่งใช้กับงานวิจัยภายใน 3 ปี
ซึ่งจะหนักไปในส่วนของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และช่วงปีแรก
ด้านงานวิจัยก็จะดำเนินงานโดยนักวิจัยไทยทั้งหมด
แต่ขณะนี้ได้รับงบประมาณจากเนคเทค 1
ล้านบาทเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในโครงการ
สำหรับความร่วมมือในการทำงานวิจัยเพื่อพัฒนารถอัจฉริยะครั้งนี้
รศ.ดร.มนูกิจกล่าวว่า
เพราะที่ผ่านมานักวิจัยไม่เคยได้ร่วมทำงานในลักษณะงานวิจัย
แต่จะทำในลักษณะการประชุมวิชาการ วารสารวิชาการและสัมมนาเป็นส่วนใหญ่
จึงร่วมกันทำโครงการที่คิดว่ามีประโยชน์แก่ปนระเทศชาติ
และได้ใช้ความรู้ความสามารถของนักวิจัย
ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีความสามารถต่างกัน เช่น ที่เอไอทีถนัดทางด้านการควบคุม
แต่ทางจุฬาฯ ถนัดทางด้านเครื่องกล เป็นต้น
ซึ่งโครงการนี้เกิดขึ้นได้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในหลายๆ ด้าน
“ก็มีหลายหัวข้อที่เราพิจารณากัน รวมถึงมีแนวคิดสร้างหุนยนต์ไปสำรวจดาวอังคารด้วย แต่พิจารณาแล้วเห็นว่าโครงการนี้มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ที่ง่ายที่สุดคือเอาไปใช้ในสถานที่จำกัด เช่น สวนสาธารณะหรือตามโรงพยาบาล
ให้สามารถขับรถในพื้นที่ๆ ไกลกันมากๆ ให้ไปส่งด้วยตัวเอง
หรือการท่องเที่ยวก็โปรแกรมให้รถเคลื่อนที่ไปตามที่ต้องการ
ไม่จำเป็นต้องสร้างเส้นทางแม่เหล็กให้รถเคลื่อนที่แต่รถสามารถนำนักท่องเที่ยวไปได้
คนที่ขับรถไม่ได้ เช่น คนแก่ คนพิการ ก็สามารถนำมาใช้ได้”
รศ.ดร.มนูกิจกล่าว
ส่วนเป้าหมายของการพัฒนานั้น รศ.ดร.มนูกิจตั้งไว้ที่การพัฒนารถให้มีความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อให้สามารถใช้งานได้จริง
โดยปัจจุบันทำได้ 3.6 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ยังไม่เสถียร
ขณะที่ความเร็วที่ทำได้เสถียรแล้ว
คือประมาณ 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทั้งนี้หากมีงบประมาณในการติดตั้งตัวตรวจวัดหรือเซนเซอร์ก็จะสามารถเพิ่มความเร็วของรถได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดีได้ออกแบบให้ผู้โดยสารสามารถกลับไปบังคับรถเองเมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินได้ตลอดเวลา
เพราะบางกรณีเซนเซอร์อาจเกิดความผิดพลาดได้
นอกจากการพัฒนาทางด้านกายภาพของรถอัจฉริยะแล้ว ข้อมูลจราจรก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้รถอัจฉริยะเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยและประหยัดเวลา
เพื่อนำผู้โดยสารไปถึงยังเป้าหมาย
ซึ่ง ดร.ภาสกร ประถมบุตร ผู้อำนวยการโปรแกรมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ
ของเนคเทค กล่าวว่าได้โครงการจราจรอัจฉริยะตั้งแต่ปลายปี 2548
โดยความร่วมมือของอาจารย์มหาวิทยาลัยและภาคเอกชน
และได้รับการสนับสนุนจากสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)
ซึ่งจะให้ข้อมูลจราจรที่เป็นประโยชน์ทั้งผู้ขับขี่ทั่วไปและรถอัจฉริยะด้วย
“ตอนนี้มีงานวิจัยหลายงาน เช่น การตรวจสอบการจราจรด้วยกล้อง
เชื่อมจีพีเอส ระบบนำทางตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลจราจร
พยายามส่งไปยังผู้ขับขี่รถยนต์บนเส้นทางการจราจร
อาจจะไม่จำเป็นต้องส่งเข้าตัวรับข้อมูลรถยนต์เลยก็ได้ อาจจะมาในรูป จส.100
หรือฝากข้อมูลไปยังคลื่น จส.100 ซึ่งกำลังทำอยู่
เอาข้อมูลที่เป็นตัวอักษรส่งไปยังเครื่องรับของผู้ขับขี่
อาจจะเป็นระบบหนึ่งการระบบนำทางในรถยนต์ก็ได้ (Navigator)”
ทั้งนี้ ดร.ภาสกรยังได้เผยแนวทางพัฒนาระบบจราจรอัจฉริยะว่า
ต่อไปอาจจะส่งระบบข้อมูลถึงคนขับรถในรูปเสียง
เพราะคนขับก็อาจไม่อยากละสายตาจากการขับขี่
ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ไม่ยากเกินความสามารถของนักวิจัยไทย และสิ่งที่ต้องทำก่อนอื่นในตอนนี้คือ ศูนย์ข้อมูลจราจร ที่ทำได้ง่ายและคาดว่าปลายปีหน้าจะแล้วเสร็จ โดยตอนนี้ได้รับข้อมูลจาก สนข. การทางพิเศษแห่งประเทศไทยบางส่วนแล้ว
อย่างไรก็ดี นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการเนคเทค
ระบุว่าไทยผลิตรถยนต์ได้ปีละ 1 ล้านคัน หรือราว 500,000 ล้านบาท
แต่ใช้เหล็ก พลาสติกและหนังเป็นหลัก
ส่วนระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือซอฟต์แวร์ที่เป็นหัวใจ เราต้องพัฒนาต่อไป
ซึ่งรถอัจฉริยะนี้เป็นความก้าวหน้าระดับสูงที่ต่างประเทศสนใจมาก
หวังว่าไทยจะมีรถอัจฉริยะคันแรกเพื่อสร้างความยั่งยืนให้ประเทศต่อไป
ที่มา-
|