| ภาพฝนดาวตก "ลีโอนิดส์" เมื่อปี 2544 ที่ญี่ปุ่น |
| ![](https://images.dmc.tv/www/404.jpg) |
![](https://images.dmc.tv/www/404.jpg) |
17-18 พ.ย.นี้เตรียมชมฝนดาวตก “ลีโอนิดส์” จากสายธารฝุ่นดาวหางปี 2475 ชมได้ทั่วประเทศ แต่กรุงเทพฯ อาจ “ปิ๋ว” เพราะแสงไฟรบกวน
สมาคมดาราศาสตร์ไทยแจ้งว่า จะเกิดปรากฏการณ์ฝนดาวตกสิงโตหรือ
“ลีโอนิดส์” (Leonids)
ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและดูได้ทั่วประเทศติดต่อกัน 2 คืน คือ คืนวันที่
17-18 พ.ย. ซึ่ง นางสาวประพีร์ วิราพร เลขาธิการสมาคมฯ กล่าวว่า
ควรชมในช่วงเที่ยงคืนถึงเช้ามืด โดยคืนวันที่ 18 พ.ย. ถึงเช้ามืดของวันที่
19 พ.ย.จะเห็นฝนดาวตกได้ดีที่สุด และจากข้อมูลการคำนวณของหอดูดาวอาร์มาช
(Armagh Observatory) ที่อังกฤษคาดว่าวันดังกล่าวจะมีดาวตกเฉลี่ย 30
ดวงต่อชั่วโมง อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับเมื่อปี 2544
ซึ่งมีดาวตกนับพันดวงต่อชั่วโมง จึงถือว่าปีนี้ตกไม่มากนัก
สำหรับวิธีการดูให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออกแล้วกวาดสายตาไปจนกลางฟ้า และสถานที่ดูต้องมีท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีเมฆ หมอกและแสงไฟรบกวน
แต่สำหรับกรุงเทพฯ เลขาธิการสมาคมดาราศาสตร์ฯ
กล่าวว่าอาจจะดูได้ยากเพราะมีแสงไฟเยอะ หากจะดูคงต้องออกไปชานเมือง
โดยลักษณะของดาวตกที่จะเห็นนั้นจะมีแสงสว่างวาบเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว
และมีสันหลากหลาย เช่น สีน้ำเงินเขียว สีส้มเหลืองหรือสีแดง เป็นต้น
โดยขึ้นอยู่แร่ธาตุที่อยู่ในฝุ่นดาวหางหรือ “สะเก็ดดาว” ของดาวหาง
ซึ่งทำให้เกิดดาวตกขึ้น
ทั้งนี้ฝนดาวตกสิงโตมีเบื้องหลังเป็นกลุ่มดาวสิงโต
โดยหากมองไปยังกลุ่มดาวสิงโตจะเห็นฝนดาวตกพุ่งออกมาโดยรอบ 40 องศา
ส่วนดาวหางที่เป็นต้นกำเนิดของฝนดาวตกครั้งนี้คือ ดาวหาง 55พี
เทมเพล-ทัตเทิล (55P Tempel-Tuttle) ซึ่งมีคาบการโคจร 33 ปี
เพิ่งมาเยือนโลกครั้งล่าสุดเมื่อปี 2541
ทว่า การมาเยือนของ
55พีครั้งนั้นนักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณการเกิดฝนดาวคลาดเคลื่อนไป 1 วัน
ทำให้เกิดงานวิจัยเพื่อหาคำอธิบาย
จึงเกิดทฤษฎีว่าฝนดาวตกเกิดจากโลกโคจรเข้าไปใน “สายธาร”
สะเก็ดดาวหางที่ทิ้งไว้ในวงโคจรของแต่ละปีไม่ใช่สะเก็ดดาวหางที่เพิ่งโคจรผ่านไป
สำหรับปีนี้ฝนดาวตกเกิดจากสายธารสะเก็ดดาวหางที่โคจรมาเยือนโลกเมื่อปี 2475
พร้อมกันนี้นางสาวประพีร์ยังได้อธิบายอีกว่าฝนดาวตกเป็น
“ดาวตกแบบมีสกุล” คือเบื้องหลังชัดเจน ซึ่งมีฝนดาวตกประเภทนี้อยู่ประมาณ
10 ชุด ส่วนดาวตกที่เห็นอยู่ทุกวันนั้นเป็น “ดาวตกพเนจร”
เพราะไม่มีเบื้องหลังชัดเจน
และนอกจากประเทศไทยแล้วหลายประเทศก็มองเห็นฝนดาวตกได้เช่นกัน อาทิ
ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และประเทศในยุโรปและอเมริกา
ซึ่งจากการคำนวณของนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษจากหอดูดาวอาร์มาชร่วมกับ
นักดาราศาสตร์ชาวออสเตรเลีย
คาดว่าชาวยุโรปจะได้ชมฝนดาวตกเฉลี่ย 80 ดวงต่อชั่วโมง