การค้นพบเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า
“เอ็มอาร์เอสเอ” (Methicilin Resistant Staphylococcus Aureus)
ซึ่งทำให้ผู้ป่วยต้องตกอยู่ในภาวะดื้อยาและกระทบต่อการรักษานั้น
เป็นปรากฏการณ์ทางการแพทย์ที่ร้อนแรงยิ่งในสังคมโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาที่เชื้อ MRSA
ได้คร่าชีวิตเด็กน้อยชาวอเมริกันไปแล้วถึง 4 คน
และนับวันจะมีจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคชนิดนี้เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น หากแต่ในประเทศไทยก็กำลังเฝ้าระวังโรคนี้อย่างไม่วางตาเช่นกัน
ศ.นพ.พิเศษพงศ์ ปัทมะสุคนธ์ กุมารแพทย์โรคติดเชื้อ
จากมหาวิทยาลัยเนวาดา ได้อธิบายถึงเชื้อโรค MRSA ว่า
เป็นเชื้อโรคที่มีอยู่ทั่วๆไป ซึ่งในอดีตจะพบเพียงแค่ภายในโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคมากมาย
แต่ปัจจุบันนี้เชื้อโรคชนิดนี้เป็นเชื้อแบคทีเรียที่แพร่กระจายได้ดีในสังคมที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
คนปกติที่เดินตามท้องถนนก็สามารถติดเชื้อนี้ได้โดยไม่รู้ตัวเพราะเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้จะมีการขยายตัว
ได้อย่างรวดเร็ว
ที่สำคัญคือ คนไข้ที่อ่อนแอมากๆ ก็จะสามารถติดเชื้อได้ อย่างไรก็ตามในทางการแพทย์ยังถือเป็นเชื้อโรคที่สามารถควบคุมได้
สำหรับสาเหตุของการติดเชื้อโรคชนิดนี้เป็นผลมาจากการดื้อยา
เนื่องเพราะผู้ป่วยบางรายจะไม่ยอมรับประทานยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งให้หมด
คิดว่าอาการหายดีแล้วก็เลยไม่รับประทานยาต่อ
และเมื่อเกิดโรคอีกครั้งต่อไปจะไม่สามารถใช้ยาตัวเดิมได้
จึงต้องเพิ่มยาตัวใหม่ที่แรงขึ้น
จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เชื้อโรคชนิดนี้แพร่กระจายเข้าสู่ร่างกายได้
“กลุ่มเสี่ยงที่จะมีโอกาสติดเชื้อโรคชนิดนี้
นอกจากผู้ที่มีอาการดื้อยาแล้วก็คือ ตำรวจ พยาบาล ทหาร นักกีฬา
หรือผู้ที่ชอบใช้สิ่งของร่วมกัน อย่างเช่นการไปเข้าไปใช้บริการสปา เป็นต้น
เพราะเชื้อโรคจะแฝงตัวอยู่ในทุกสถานที่ที่เราทำกิจกรรม”
นอกจากนี้ ศ.นพ.พิเศษพงศ์
ยังได้บรรยายถึงลักษณะอาการของผู้ที่ติดเชื้อ MRSA ว่า
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะได้รับเชื้อชนิดนี้ทางผิวหนังก่อนเป็นลำดับแรก
และจะลุกลามไปยังทุกส่วนของร่างกายได้อย่างทั่วถึงถ้าไม่รีบดำเนินการรักษาก็อาจจะเสียชีวิตได้อย่างกะทันหัน
“ผิวหนังจะเป็นด่านแรกที่เชื้อโรคชนิดนี้จะเข้าไปสัมผัสถึง
เพราะผิวหนังเปรียบเสมือนประตูบานแรกที่จะเปิดรับผู้คนที่มาเยี่ยมเยือน
ซึ่งอาจจะเป็นทั้งคนดีและไม่ดี เราอาจจะเต็มใจรับ
หรือบางครั้งอาจจะไม่เต็มใจรับก็ได้
อย่างเช่นเชื้อโรคชนิดนี้ผู้ป่วยอาจจะได้รับโดยไม่ตั้งใจ
ซึ่งอาการเริ่มแรกที่เชื้อนี้ไปทำปฏิกิริยากับผิวหนัง
ก็จะทำให้ผิวหนังเป็นแผลผุพอง ลักษณะคล้ายกับฝี”
“และที่สำคัญเชื้อโรคชนิดนี้ไม่เพียงแต่เกิดที่บริเวณผิวหนังเท่านั้น
แต่ยังสามารถไปติดเชื้อกับอวัยวะส่วนอื่นของร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณ
จมูก ก้น หรือในเม็ดเลือดขาว เป็นต้น
ซึ่งลักษณะอาการแบบนี้จะไม่สามารถตรวจวินิจฉัยได้ในเบื้องต้นว่าติดเชื้อ
MRSA หรือไม่ แพทย์จะต้องทำการเจาะเลือดเพื่อไปทดสอบจึงจะสามารถทราบผลได้
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีอาการผิวหนังเป็นแผลหรือเป็นฝีควรจะรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วน
มิเช่นนั้นอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้”
ศ.นพ.พิเศษพงศ์ อธิบาย
ทางด้าน ผศ.นพ.ชาญวิทย์ ตรีพุทธรัตน์
สาขาจุลชีววิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวสถานการณ์ของโรคในประเทศไทยว่า
ขณะนี้ยังไม่พบเชื้อ MRSA แต่อย่างใด
เพียงแต่พบเชื้อตัวหนึ่งที่ลักษณะอาการของโรคคล้ายกับเชื้อ MRSA นั่นคือ
เชื้อ CAMRSA(Community acquired Methcilin Resistant Staphylococcus)
กล่าวคือมีคนไข้รายหนึ่งอายุประมาณ 30 ปี เป็นผู้ป่วยจิตเวช
ซึ่งทางโรงพยาบาลได้รับการส่งตัวมาจากโรงพยาบาลตากสินด้วยมีอาการเป็นแผลที่เท้า
และทางแพทย์เกรงว่าจะติดเชื้อ CAMRSA
จึงส่งตัวมาที่โรงพยาบาลศิริราชให้ตรวจรักษาอาการ
ทางทีมแพทย์จึงได้มีการเจาะเลือดไปตรวจพิสูจน์และพบว่าติดเชื้อ CAMRSA
ซึ่งจะมีลักษณะอาการเหมือนกับเชื้อโรค MRSA
แต่เกิดมาจากคนละสายพันธุ์เพราะ MRSA เป็นเชื้อโรคที่เกิดจากการดื้อยา
แต่เชื้อ CAMRSA เป็นเชื้อโรคที่เกิดจากชุมชน
และอาการของโรคจะมีความรุนแรงน้อยกว่า
ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติพบว่าผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้รับเชื้อโรคชนิดนี้มาจากโรงพยาบาลอย่างแน่นอน
แต่คงจะได้รับเชื้อมาจากชุมชนที่อาศัยอยู่
สำหรับการเฝ้าระวังรักษาตัวเองไม่ให้ติดเชื้อโรคชนิดนี้
ผศ.นพ.ชาญวิทย์แนะนำว่า
ทุกครั้งที่มีการทำกิจกรรมเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือเมื่อไปสัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่ภายนอก
ควรจะรีบล้างมือด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ และชำระล้างร่างกายให้เรียบร้อย
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เชื้อโรคร้ายแทรกตัวเข้ามาทำร้ายได้
และเมื่อมีอาการเป็นแผลตามผิวหนังไม่ควรปล่อยไว้นานควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาที่ถูกวิธี
“แม้ขณะนี้ไทยยังไม่พบ
MRSA แต่เราก็กำลังเฝ้าติดตามสถานการณ์และวิจัยค้นหาอย่างต่อเนื่อง เพราะ
MRSA เป็นเชื้อที่สามารถก่อให้เกิดผลกระทบที่กว้างขวาง
รวมทั้งขณะนี้ทางทีมแพทย์ก็ได้เร่งค้นคว้าเกี่ยวกับเชื้อ CAMRSA
ซึ่งเป็นเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดในประเทศไทย
เพื่อที่จะได้ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคตัวนี้แพร่กระจายออกไปสู่ประชาชน”ผศ.นพ.ชาญวิทย์สรุป
ที่มา-