อย.เตรียมถอนคำสั่งห้ามโฆษณาเหล้า 24 ชม.ตามการวินิจฉัยของกฤษฎีกา หวังรอกฎหมายใหม่ออกมาควบคุม ครปอ.ยื่นหนังสือเร่งผลักดันกฎหมาย
นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)กล่าวว่าในการประชุมคณะกรรมการอย.ในต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะมีการพิจารณายกเลิกคำสั่งของอย.ที่ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง ตามการวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา วินิจฉัยว่าคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรื่องการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ไม่มีอำนาจดำเนินการได้
"อย.จะต้องเพิกถอนคำสั่ง เพราะตามมติคณะรัฐมนตรี หน่วยงานราชการจะต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา จะหลีกเลี่ยงไม่ได้"
ดังนั้น การควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คงต้องรอให้ร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้
ในวันนี้ เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ (ครปอ.) พร้อมองค์กรเครือข่ายได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายประสิทธิ์ โฆวิไลกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเร่งรัดการดำเนินการผลักดันร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2549
ทางเครือข่ายเห็นว่าคณะกรรมการกฤษฎีกามีพฤติกรรมเตะถ่วง ใส่เกียร์ว่างในการพิจารณาและมีข่าวว่าพยายามยื้อเวลาออกไปจนสิ้นวาระของรัฐบาลชุดนี้ โดยยืมมือกฤษฎีกาบางคนที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบริษัทน้ำเมาเป็นคนเดินเรื่องยื้อเวลาเนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีเวลาในการบริหารงานสั้นมากเป็นจุดอ่อน และบรรดาทุนน้ำเมาต่างเห็นว่าหากปล่อยให้เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะมีโอกาสสูงที่ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะผ่านออกมาบังคับใช้จนทำให้เสียประโยชน์ทางธุรกิจนายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานครปอ. กล่าวภายหลังการยื่นหนังสือให้นายประสิทธ์ ว่า เราอยากให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้เสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ และส่งเข้าสู่การพิจารณาของสนช.เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ออกมาบังคับใช้ก่อนเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเมษายน เพื่อลดความเสียหายจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แต่นายประสิทธ์ก็ไม่ได้รับปากว่าจะเสร็จทันหรือไม่ เพราะรัฐบาลให้อำนาจกฤษฎีกาเต็มที่ ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์เครือข่าย ครปอ.จะร่วมกับภาคแรงงานรัฐวิสาหกิจเพื่อเคลื่อนไหวใหญ่ในการผลักดันร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้อีกครั้ง
ที่มา-กรุงเทพธุรกิจ