สองยักษ์ใหญ่วงการโทรคมนาคมโลกอย่าง เอ็นทีที คอมมูนิเคชัน คอร์ป
บริษัทโทรคมนาคมสัญชาติญี่ปุ่น และทรานส์เทเลคอม จากแดนหมีขาว
ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการดำเนินการติดตั้งสายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำด้วยระยะทาง
500 กิโลเมตร หรือ 310 ไมล์แล้ว โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้
จุดเริ่มต้นของสายส่งข้อมูลนี้คือเกาะฮอกไกโด
ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น ส่วนปลายทางคือเมือง Sakhalin
ประเทศรัสเซีย
โดยอัตราความเร็วในการขนส่งข้อมูลของสายเคเบิลดังกล่าวอยู่ที่ 640
กิกะบิตต่อวินาที
ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยในการติดต่อสื่อสาร
และให้บริการข้อมูลที่สำคัญสำหรับญี่ปุ่น เพราะปัจจุบัน
ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะ ทำให้การกระจายสัญญาณ
หรือส่งผ่านข้อมูลจากญี่ปุ่นสู่ภูมิภาคอื่น ๆ
ของโลกจึงนิยมใช้ดาวเทียมเป็นหลัก
หรือมิเช่นนั้นก็จะส่งข้อมูลถึงทวีปอเมริกาเหนือก่อน
แต่จากการติดตั้งสายเคเบิลในครั้งนี้จึงทำให้การส่งข้อมูลต่อตรงสู่เอเชียทำได้ง่ายขึ้น
นอกจากเคเบิลใยแก้วสายนี้จะเป็นเสมือนเครือข่ายแบนด์วิธสูงสำหรับรองรับการโอนถ่ายข้อมูล
ระหว่างประเทศญี่ปุ่น
ข้ามไปสู่ทวีปยุโรปแล้ว
ยังสามารถใช้เป็นเครือข่ายสำรองในกรณีที่เกิดภัยธรรมชาติ เช่น
การเกิดแผ่นดินไหวได้ด้วย
จากเดิมญี่ปุ่นมีสายเคเบิลใต้น้ำไปยังทวีปยุโรปผ่านมหาสมุทรอินเดียเพียงช่องทางเดียว
นายเซอร์เกย์ ลิปาทอฟ (Sergey Lipatov)
ประธานบริษัททรานส์เทเลคอมกล่าวว่า
"เครือข่ายใต้น้ำช่วยให้เราสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการเชื่อมต่อกับภูมิภาคอื่น
ๆ ของโลก"
ขณะที่นายมาซากิ ทาเกนากะ รองประธานบริษัท NTT Communication
ฝ่ายโกลบอลบิสซิเนทกล่าวให้ความเห็นว่า
"เคเบิลใต้น้ำเส้นใหม่ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยกระจายข้อมูลจากญี่ปุ่นสู่ยุโรป
และการเลือกใช้เส้นทางผ่านประเทศรัสเซียเนื่องจากเป็นเส้นทางที่สั้นมาก
เมื่อเปรียบเทียบกับสายเคเบิลใต้น้ำที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียได้อีกด้วย"
อ้างอิงข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษา
แยงกี้ กรุ๊ป ระบุว่า ปัจจุบัน การส่งผ่านข้อมูลระหว่างทวีปยุโรป
และเอเชียมีปริมาณเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยบริษัทยุโรปกว่า 80
เปอร์เซ็นต์มีการเชื่อมต่อกับบริษัทในภูมิภาคเอเชีย และในจำนวนนี้มีถึง 42
เปอร์เซ็นต์ที่ระบุว่าจะเพิ่มปริมาณการใช้งานขึ้นอีกในอนาคต
หันมามองทางฟากเอเชียจะพบว่า 76
เปอร์เซ็นต์ของบริษัทในภูมิภาคมีการเชื่อมต่อเพื่อโอนถ่ายข้อมูลกับทางยุโรป
และคาดว่าจะต้องใช้แบนด์วิธเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วยเช่นกัน
สำหรับงบประมาณในการก่อสร้างนี้ รายงานข่าวจากสำนักข่าวเอเอฟพีระบุว่าไม่มีการเปิดเผยให้ทราบแต่อย่างใด
จากกรณีภัยพิบัติที่เคยเกิดขึ้นกับสายเคเบิลใต้น้ำเมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
บริเวณเกาะไต้หวันได้สร้างความเสียหายให้กับอุตสาหรรมออนไลน์
รวมถึงระบบโทรคมนาคมในแถบภูมิภาคเอเชียอย่างหนัก
การสร้างเคเบิลเส้นใหม่เพื่อรองรับกับภัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้โลกสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างน้อยแม้ในภาวะวิกฤต
ที่มา-