ห่วงปิดเทอมเด็กติดเกมหนัก
เด็กมัธยมต้นคลั่งสุด แถมอายุลดต่ำลงเรื่อยๆ ระบุมีเด็กติดเกม 1 ใน 5 คน
แนะตัดไฟแต่ต้นลมสังเกตพฤติกรรม อย่ารอให้เด็กติดงอมแงม ขณะที่
“กรมสุขภาพจิต” แจก “คู่มือพ่อแม่ดูแลลูกยุคไซเบอร์” สกัด 2,000 ชุดฟรี
ระบุแนะ 10 ข้อปฏิบัติป้องกันแก้ปัญหาเด็กติดเกม–อินเทอร์เน็ต ชี้ได้ผล
80-90% ลูกเล่นเกมน้อยลง ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้น
วันนี้ (3 เม.ย.)
นพ.หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า
ปัจจุบันสถานการณ์ปัญหาเด็กติดเกมและอินเทอร์เน็ตทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547
จึงให้สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์จัดตั้งศูนย์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กติดเกม
และอินเทอร์เน็ตขึ้น
เพื่อพัฒนางานด้านวิชาการในรูปแบบการอบรมหลักสูตรต่างๆ
ตลอดจนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
ซึ่งล่าสุดมีการพัฒนาเพทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ด้วยตัวเองสำหรับพ่อแม่ในรูปแบบของวีซีดี
ความยาว 30 นาที พร้อมคู่มือพ่อแม่ดูแลลูกยุคไซเบอร์
ที่บรรจุเนื้อหาวิธีการปฏิบัติของพ่อแม่อย่างง่ายๆ แต่ได้ผล 10 วิธี ได้แก่
1.การสร้างวินัยและความรับผิดชอบตั้งแต่ยังเล็ก
2.ลดโอกาสการเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต 3.ใช้มาตรการทางการเงิน
4.ฟังและพูดดีต่อกัน 5.จับถูกชื่นชม ให้กำลังใจ
6.ร่วมตกลงกติกาอย่างเป็นรูปธรรมและบังคับใช้อย่างหนักแน่นแต่อ่อนโยน 7.
มีทางออกให้สร้างสรรค์ให้เด็ก 8.สร้างรอยยิ้มเล็กๆ ในครอบครัว
9.ควบคุมอารมณ์และสร้างความสุขเล็ก ในใจของพ่อแม่เอง และ
10.เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราทันที
“ยิ่งในช่วงปิดเทอม
เป็นช่วงที่เด็กจะใช้เวลาอยู่กับเกมคอมพิวเตอร์มากที่สุด ดังนั้น
หากพ่อแม่ผู้ปกครองมีปัญหาลูกติดเกมสามารถที่จะนำข้อปฏิบัติ 10
ข้อนี้ไปใช้
ซึ่งพบว่าพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนเมื่อนำไปปฏิบัติจริงแล้วจะช่วยให้ลูกเลิกเล่นเกมลดลง
บางคนลูกสามารถควบคุมการเล่นเกมได้ มีความรับผิดชอบ ไม่ก้าวร้าว การพูดจา
ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้น” นพ.หม่อมหลวงสมชาย กล่าว
ด้าน
นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า
นอกจากนี้ได้ร่วมกับสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์พัฒนาเครื่องมือคัดกรองเด็กติดเกมอย่างถูกต้อง
ตามหลักวิชาการ
โดยพัฒนาเป็นแบบคัดกรองง่ายๆ 16 ข้อ
มีทั้งฉบับพ่อแม่ประเมินพฤติกรรมลูกของตนเองว่าคลั่งไคล้หรือติดเกมหรือไม่
และฉบับเด็กและเยาวชน
เพื่อใช้ประเมินว่าตนเองคลั่งไคล้หรือติดเกมอยู่ในระดับไหน
หมกหมุ่นมากน้อยหรือไม่ เพียงใด
เล่นเกมจนเสียการควบคุมตนเองกระทบต่อหน้าที่ความรับผิดชอบ
การอยู่ร่วมกันในครอบครัว
นพ.ชาญวิทย์ กล่าวต่อว่า
เมื่อปีที่ผ่านมาได้มีการทำแบบคัดกรองสำรวจผู้ปกครองจำนวน 1,600
รายทั่วประเทศและเด็กตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จนถึงมหาวิทยาลัย 1,400
คนทั่วประเทศ พบว่าเด็กในกลุ่มที่มีความคลั่งไคล้เล่นเกมวันละ 2-3 ชั่วโมง
แบ่งเป็นชาย 11.2% เด็กหญิง 9.2% ส่วนกลุ่มที่มีเด็กติดมาก
เล่นเกมวันละไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง แบ่งเป็นชาย 3.8% เด็กหญิง 4.3%
ซึ่งรวมแล้วจะมีเด็กกลุ่มที่มีปัญหาติดเกมประมาณ 15% ดังนั้นในจำนวนเด็ก 5
คน จะมีเด็กที่ติดเกม 1 คน
ซึ่งในจำนวนนี้พบว่าเป็นเด็กในช่วงมัธยมต้นมากที่สุด
ส่วนเด็กที่เริ่มติดเกมจะอยู่ที่ช่วงประถมศึกษาปีที่ 4-5
ซึ่งเมื่อมีการคัดกรองเด็กเรียบร้อยแล้วก็จะมีการเริ่มต้นไปสู่การเยียวยาแก้ปัญหา
เช่น การอบรมผู้ปกครอง นำเด็กไปเข้าค่ายร่วมกัน เป็นต้น
“ติดเกมก็เหมือนติดยาเสพติด
หากเริ่มซื้อเกมบอยให้เด็กก็เหมือนชักชวนให้เด็กสูบบุหรี่
เกมเพลสเตชันก็เหมือนกัญชา เกมคอมพิวเตอร์ก็เหมือนติดยาบ้า
หากพัฒนาไปเป็นเกมออนไลน์ก็เหมือนติดเฮโรฮีน ยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งแก้ยาก
ดังนั้น ควรจะรีบแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นหากเห็นว่าเด็กเริ่มเล่นเกมนานมากขึ้น
ไม่ต้องถึง 2 ชั่วโมงต่อวันก็ควรเข้าไปดูแลลูกได้เลย”นพ.ชาญวิทย์ กล่าว
นพ.บัณฑิต ศรไพศาล
ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า
การนำ 10 ข้อปฏิบัติมาใช้ถือเป็นการปลูกฝังวินัยให้กับเด็ก
หากจะเล่มเกมเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินนั้นสามารถทำได้
แต่จะต้องมีการควบคุม คือ
เล่นเกมได้แต่ต้องคุมตัวเองได้ไม่ให้ไปกระทบการเรียน หรือการทำงาน
โดยเริ่มต้นที่ตัวของพ่อแม่เอง โดนจะต้องมีวินัย ฝึกฝนการควบคุมตนเอง
ควบคุมอารมณ์ ไม่ให้ลูกเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้ง่าย
อาจจำกัดคอมพิวเตอร์หากมีลูก 2 คน ก็มีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว
เด็กจะมีการแบ่งปันกันตามธรรมชาติ และมีปัญหาน้อยกว่า
ส่วนการป้องกันเด็กใช้อินเทอร์เน็ตนอกบ้านก็ควรมีการจำกัดเงินค่าขนมไม่ให้มากจนเกินไป
เมื่อเด็กมีเงินมากก็นำเงินไปเล่นเกมได้มาก
ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ พบว่าหากพ่อแม่พูดจาดี
หลายครอบครัวลูกเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและยอมให้ความร่วมมือ
ในกติกาที่ตกลงกันในครอบครัว และเมื่อลูกทำดีก็รู้จักชมเชยให้กำลังใจด้วย
“พ่อแม่ต้องมีกิจกรรมทางเลือกอื่นๆ ให้แก่เด็ก
โดยเฉพาะเรื่องที่สร้างความภาคภูมิใจ เช่น กีฬา ศิลปะ ดนตรี
เพราะเด็กที่เล่นเกมต้องการที่ชนะได้รับเสียงปรบมือและความภาคภูมิใจเมื่อชนะได้
ขณะที่บางครอบครัวเด็กติดเกมเพราะพ่อแม่ทะเลาะกัน
เด็กจึงหลีกหนีไปอยู่ในโลกเล็กๆ ที่มีความสุขกับเกม ดังนั้น
หากต้องการให้ลูกเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม พ่อแม่ก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้
คุมอารมณ์ตนเองให้ได้ด้วยเช่นกัน” นพ.บัณฑิต กล่าว
นางจินตนา เจริญสุข
ตัวแทนผู้ปกครอง ซึ่งได้เข้าร่วมโครงการฯ กล่าวว่า
ก่อนหน้านี้ครอบครัวเหมือนมีสงครามในบ้าน ชีวิตเริ่มไม่มีความสุข
ปิดเทอมแต่ละครั้งเหมือนตกนรก เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับลูกดี ซึ่งตั้งแต่
ป.1 ก็ซื้อคอมพิวเตอร์มาให้ลูกเพราะเห็นว่าโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์
และมีความจำเป็น จนลูกชายติดเกมมากขึ้น พอบอกเตือนลูกก็ไม่ฟัง ยิ่งช่วง
ป.4-ป.5 ยิ่งเล่มเกมอย่างหนักทำให้เกรดเฉลี่ยที่เคยอยู่ที่ 3 ตกลงเหลือ 1
จึงส่งลูกเรียนกวดวิชา แต่ก็ไม่ดีขึ้น เพิ่งมารู้ว่า
ที่โรงเรียนลูกเรียนไม่รู้เรื่องเพราะวันทั้งวันเห็นแต่ภาพเกม
มองกระดาษดำก็เป็นเห็นเป็นสีเลือดไปหมด คิดแต่จะทำอย่างไรให้ชนะเกมได้
ควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ในที่สุดก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้เพราะได้เข้ามาอบรม
และร่วมกิจกรรมค่าย กับทางสถาบันฯ และได้รับกำลังใจจากเจ้าหน้าที่
ซึ่งหลังจากที่ได้เข้า
ก็ไม่ได้ตั้งเป้าว่าลูกจะต้องเลิกเล่นเกมแต่ขอให้มีการพูดคุยกับลูกได้มากขึ้น
ซึ่งลูกดีขึ้นมาก มีความเปลี่ยนแปลง เราได้เปิดอกคุยกันอย่างเต็มที่
และทำข้อตกลงร่วมกัน
เพื่อเป็นแนวทางการป้องกันและไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก
นพ.บัณฑิต เสริมว่า
ขณะนี้มีการเปิดค่ายบำบัดเด็กติดเกมในช่วงปิดเทอมให้กับเด็กที่มีปัญหากว่า
1,000 คนแล้ว ซึ่งจากการติดตามผลพบว่า 80% พฤติกรรมเด็กดีขึ้น
รวมทั้งมีการอบรมพ่อแม่ไปแล้ว 4 รุ่น รุ่นละ 80-100 คน
ทำให้บางครอบครัวเด็กเล่นลดลงหรือไม่เล่นเลย
ครอบครัวมีความสุขและสบายใจขึ้น
ทั้งนี้
ผู้สนใจสามารถขอรับคู่มือพ่อแม่ดูแลลูกยุคไซเบอร์ ซึ่งมีจำนวนจำกัด 2,000
ชุดได้ฟรี ที่สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์
ในวันและเวลาราชการ หรือเขียนจดหมายจ่าหน้าซองถึงตัวเอง พร้อมติดแสตมป์ 9
บาทบนซองขนาด A4 ใส่ซองมาที่ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์
เลขที่ 75/1 ถ.พระราม 6 เขตราชเทวี กทม.10400
หรือสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2354-8305-7 ระหว่างวันที่ 3-12
เมษายนนี้ และดูรายละเอียดได้ที่ www.icamtalk.com
ที่มา-