เอเยนซี - คนกับลิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการใกล้เคียงกันมาตลอดในช่วงเวลาหลายล้านปีที่ผ่านมา
นับจากเริ่มมีการแยกสายวิวัฒนาการออกจากบรรพบุรุษที่คาดว่ามีต้นตระกูลเดียวกัน
กระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังพบว่าดีเอ็นเอของลิงกับคนมีส่วนเหมือนกันอยู่มากถึง
98% และเมื่อการศึกษาเรื่องนี้เข้มข้นมากขึ้น อาจทำให้เรารู้กันว่า
อะไรเป็นตัวการแบ่งแยกให้เกิดความแตกต่างระหว่างคนกับลิง
และอาจช่วยให้เราเอาชนะโรคร้ายที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้อีกด้วย
นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกว่า 170 ชีวิต ร่วมกันจัดลำดับพันธุกรรม
หรือทำแผนที่พันธุกรรม (Genetic map) ของลิงวอก (Rhesus macaque)
ซึ่งเป็นลิงขนาดเล็กที่ใช้เป็นสัตว์ทดลองทางวิทยาศาสตร์การแพทย์
ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นข้อมูลวิเคราะห์ความต่างของแต่ละสายพันธุ์ (Species)
ที่จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกไพรเมท (Primates) ได้แก่
มนุษย์, วานร และลิง ซึ่งเผยแพร่ลงในวารสารไซน์ (Science)
ดร.ริชาร์ด กิบบส์ (Dr. Richard Gibbs)
วิทยาลัยแพทยศาสตร์เบย์เลอร์ สหรัฐอเมริกา (Baylor College of Medicine in
Houston, Texas, USA) หัวหน้าโครงการวิจัยนี้กล่าวว่า การจัดลำดับพันธุกรรมแล้วนำมาเปรียบเทียบกันระหว่างของมนุษย์กับลิงชิมแปนซี
ทำให้เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าสิ่งมีชีวิตสองชนิดนี้เมื่อครั้งอดีตกาล
มีวิวัฒนาการที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง โดยจะมุ่งศึกษายีนสำคัญที่สามารถอธิบายความแตกต่างระหว่างสปีชีส์ได้
มนุษย์และลิงชิมแปนซีเริ่มแยกสายวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษเดียวกันเมื่อประมาณ
4 ถึง 7 ล้านปีก่อน ขณะที่ลิงขนาดเล็กแยกออกไปก่อนตั้งแต่เมื่อ 25
ล้านปีมาแล้ว ซึ่งมนุษย์กับลิงชิมแปนซีมีดีเอ็นเอร่วมกันถึง 98%
และของมนุษย์ร่วมกับลิงขนาดเล็กอื่นๆ 93%
ฉะนั้นเมื่อมีการทำแผนที่ยีนทั้งหมดของลิงเป็นการเพิ่มมิติใหม่ให้กับการตรวจวิเคราะห์ยีน
ทางด้าน ดร.มาร์ค แบทเซอร์ (Dr. Mark Batzer)
มหาวิทยาลัยแห่งรัฐหลุยเซียนา (Louisiana State University)
และคณะเปิดเผยว่า ค้นพบสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ในแต่ละสปีชีส์เหมือนๆกัน
นั่นคือการเคลื่อนที่ของธาตุพันธุกรรม (Mobile elements) หรือที่เรียกว่า
“การกระโดดของยีน” (jumping genes) บนโครโมโซม
โดยดีเอ็นเอเหล่านี้สามารถเปลี่ยนไปอยู่ตำแหน่งต่างๆ บนโครโมโซมเดิมได้
“พบว่าองค์ประกอบที่เป็นยีนกระโดดนี้มีอยู่ในพันธุกรรมของพวกเราเป็นจำนวนมาก
และถ้าให้ยีนเหล่านี้ทำการจำลองตัวเอง
แน่นอนว่าจะทำให้เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรมเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน”
ดร.แบทเซอร์ อธิบาย
จากการศึกษา ทำให้ทราบว่าบริเวณที่เป็นจุดสิ้นสุดของยีนบนโครโมโซมมีผลต่อการทำหน้าที่ของมัน อีกทั้งการกระโดดของยีนยังเป็นสาเหตุของโรคทางพันธุกรรมต่างๆ
ได้แก่ ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง (Hypercholesterolemia) มะเร็งทรวงอก
(Breast cancer) โรคเลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia) และ โรคทีเอสดี (TSD or
Tay-Sachs disease)
ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการย่อยสลายไขมัน
ทำให้เกิดการสะสมของไขมันบางชนิดในสมองมากจนเป็นอันตรายต่อระบบประสาท
และทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
“ใครจะสนใจหากลิงป่วยเป็นโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
แต่สิ่งที่เราสนใจคือ เรามียีนเหล่านี้อยู่ในโครโมโซม
ซึ่งจะทำให้มีความผิดปกติต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทำอย่างไรเราจึงจะหยุดมันได้
ซึ่งเราก็กำลังศึกษาและทำความเข้าใจอยู่ว่า
อะไรเป็นตัวกำหนดให้ธาตุพันธุกรรมเหล่านี้เคลื่อนย้ายตำแหน่งได้
และมันทำได้อย่างไร” ดร.แบทเซอร์ ตั้งข้อสังเกตและอธิบายเพิ่มเติม
นอกจากนี้
ยังพบว่าลิงขนาดเล็กทั่วไปมีการแสดงออกของเชื้อไวรัสชนิดเรโทรไวรัส
(Retrovirus) มากกว่ามนุษย์ ซึ่งเรโทรไวรัสนี้
เป็นไวรัสชนิดที่มีอาร์เอ็นเอสายเดี่ยวอยู่ 2 โมเลกุลต่อ 1 อนุภาคของไวรัส
และรวมถึงไวรัสที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือ ไวรัสเอดส์ ด้วย
ดังนั้นจึงมักใช้ลิงเหล่านี้สำหรับการทดลองวัคซีนและยารักษาโรคเอดส์ในคน ซึ่งปกติแล้วสิ่งมีชีวิตจำพวกไพรเมทชนิดอื่นๆจะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเอดส์
(AIDS virus) แต่ลิงขนาดเล็กจำพวกลิงวอก
สามารถติดเชื้อไวรัสอีกชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันนี้ คือ
ไวรัสเอสไอวี (Simian immunodeficiency virus)
ทั้งนี้ นักวิชาการยังพบยีนที่ช่วยอธิบายได้ว่า
เพราะเหตุใดลิงอินเดีย (Indian macaques) กับลิงจีน (Chinese macaques)
จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อไวรัสต่างกัน
โดยลิงจีนจะแสดงอาการช้ากว่าเมื่อติดเชื้อเอสไอวี (SIV)
ที่มา-