การ์ตูนไทยหัวใจพุทธ เตรียมฝ่าวงล้อมนักสร้างแอนิเมชั่นระดับโลก สร้างผลงานเทียบชั้นวอล์ท ดีสนีย์
พร้อมชักธงธรรมในใจเยาวชนไทย ก่อนลัดฟ้าไกลไปต่างแดน
โมโนฟิล์มเผยแผนดัน “ประวัติพระพุทธเจ้า” ขึ้นเวทีเมืองคานส์ หวังโชว์ศักยภาพภาพยนตร์จากแดนสยาม
สถานการณ์ผู้สร้างล่าสุด เร่งหาสปอนเซอร์เป็นการด่วน หวังกระแสซีเอสอาร์จะช่วยหาผู้สนับสนุนให้พ้นปัญหา
อีกไม่นานเกินรอภาพยนตร์การ์ตูน 2 มิติเรื่อง
“ประวัติพระพุทธเจ้า” (The Life of Buddha)
ที่ผลิตโดยคนไทยก็จะออกสู่สายตาผู้ชมชาวไทย และชาวต่างชาติ
หลังใช้เวลาดำเนินงานสร้างตั้งแต่ปลายปี 2546 ใช้ทุนสร้างกว่า 108 ล้านบาท
แม้วงเงินลงทุนจะน้อยมากเมื่อเทียบกับการ์ตูนแอนิเมชั่นจากต่างประเทศที่เข้ามาฉายในบ้านเรา
หรือแม้แต่ก้านกล้วยที่ผลิตโดยคนไทยด้วยกัน
แต่หากเทียบในแง่คุณค่าแล้วภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้สูงส่งยิ่งนัก
ตามแผนที่วางไว้การ์ตูนเรื่องนี้แล้วเสร็จประมาณเดือนตุลาคม
และจะนำออกฉายหลังวันที่ 5 ธันวาคมปีนี้
เนื่องจากเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระชนมายุครบ 80
พรรษา โดย
คณะผู้จัดทำตั้งใจสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา
และเทิดพระเกียรติในหลวงของเรา
จนถึงขณะนี้ภาพยนตร์การ์ตูนเกี่ยวกับพระประวัติของพระพุทธเจ้าที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับพระไตรปิฎก
และอรรถกถา เสร็จไปแล้วกว่า 80%
แอนิเมชั่นไทย
มาตรฐานอินเตอร์
จริงแล้วภาพยนตร์การ์ตูนเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า คำสอนในพระพุทธศาสนา
และพระอัครสาวกนั้นเคยมีการผลิตมาบ้างแล้วทั้งในรูปแบบภาพยนตร์
และการ์ตูนแอนิเมชั่น อย่างเช่น ในประเทศอินเดีย
และสิงคโปร์ก็เคยผลิตการ์ตูนเกี่ยวกับพระพุทธเจ้ามาแล้ว
หรือคนไทยโดยบริษัท เอพพริฌิเอท เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด
ก็เคยผลิตการ์ตูนแอนิเมชั่นแบบ 3 มิติ แนวธรรมะเรื่อง มิลินทปัญหา
เพื่อออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เมื่อปีที่ผ่านมา
เพียงแต่มาตรฐานของงานการ์ตูน และมูลค่าการลงทุน 10 ล้านบาท
คงเทียบไม่ได้กับภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องประวัติพระพุทธเจ้าที่ลงทุนมากกว่า
100 ล้านบาท มีตัวละครมากถึง 100 ตัวละคร และมีความละเอียดวินาทีละ 24 ภาพ
ซึ่งเป็นมาตรฐานเทียบเท่ากับวอลท์ ดีสนีย์ เลยทีเดียว
“ที่ต้องทำ 24
รูปภาพก็เพราะต้องให้ลูกหลานของเราประทับใจด้วยรูปลักษณ์
เพื่อให้น้อมนำมาสู่เรื่องราว ถ้าไม่สวยเด็กคงไม่อยากดู
และ
ต้องการให้ติดตาว่าพระพุทธเจ้าของเราเป็นแบบนี้ ถ้าเราวาดไม่สวย
ลักษณะการเดินไม่นุ่มนวลอย่าทำเลยดีกว่า” วัลลภา พิมพ์ทอง ประธานบริษัท
มีเดียสแตนดาร์ด จำกัด กล่าวกับ “ผู้จัดการรายสัปดาห์”
วัลลภา ยังกล่าวอีกว่า
ที่ผ่านมาก็มีคนทำการ์ตูนเรื่องพระพุทธเจ้ากันมาก
แต่ที่ประเทศอื่นทำอาจไม่ถูกต้องตามพระไตรปิฎกในฉบับของเรา
และเรื่องที่คนอื่นทำ ไม่ได้บอกว่าศาสนาพุทธสอนอะไร
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ทำไมต้องมีอหิงสักกะ
ทำไมพระโมคคัลลานะต้องถูกทุบในวาระสุดท้าย
คือเราพยายามบอกให้รู้ว่าไม่สามารถจะหลีกหนีกรรมที่เราทำไว้
จะได้ให้เด็กทำแต่ความดี สังคมจะได้ดีขึ้น
การ์ตูนเรื่องนี้จะเป็นก้าวแรกให้เด็กหันมาในใจในพระพุทธศาสนา
ส่วนในเรื่องการเข้าไปถึงระดับวิปัสสนาก็เป็นเรื่องของพระผู้รู้ที่ท่านจะสอนได้ง่ายขึ้น
และหนังเรื่องนี้เราไม่ได้เชิญชวนคนที่นับถือศาสนาอื่นให้หันมานับถือศาสนาพุทธ
แต่ให้รู้ศาสนาของเราสอนอะไร การมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรบ้าง
ปูพรม “ธรรม” ครบวงจร
ช่วงเวลาที่ผ่านมาการเผยแพร่คำสั่งสอนของพระพุทธองค์มีหลากหลายรูปแบบเรียกได้ว่าครบวงจรของสื่อทุกประเภท
ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ วิดีโอ ซีดี ดีวีดี เพลง การบรรยาย ภาพยนตร์
และภาพยนตร์แอนิเมชั่น และอื่นๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้สนใจทุกกลุ่มทุกเพศ
ทุกวัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันถือเป็นช่วงเวลาที่หนังสือธรรมะเบิกบานอย่างยิ่งมีหนังสือเผยแพร่ความเข้าใจใน
หลักธรรมปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกมาจากหลายสำนักพิมพ์
หลายหัวหนังสือ สามารถสร้างยอดขาย
และสร้างสถิติการพิมพ์ซ้ำมากมายเป็นประวัติการณ์
แม้จะมีการผลิตสื่อธรรมออกมามากมาย
แต่ยังไม่มีใครผลิตสื่อธรรมแบบองค์รวม ซึ่งในที่นี้หมายถึง
ผู้ผลิตรายเดียว ผลิตเนื้อหาครั้งเดียว แต่ครอบคลุมไปทุกสื่อ
ซึ่งที่ผ่านมามีการ์ตูนธรรมะชื่อ มิลินทปัญหา หรือ ปัญหาของพระเจ้ามิลินท์
เป็นการนำบทสนทนาธรรมโต้ตอบระหว่างพระเจ้ามิลินท์กษัตริย์เชื้อสายกรีก
กับพระนาคเสน พระอรหันต์ผู้มีปัญญาฉลาดปราดเปรื่อง
ที่แปลเป็นภาษาต่างๆรวมทั้งภาษาไทย นำมาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบการ์ตูนโดย
“เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย” เพื่อให้เด็กเข้าใจหลักธรรมง่ายขึ้น มีทั้งหมด
3 เล่ม คือ มิลินทปัญหาเล่ม 1 พระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่จริงหรือ เล่ม 2
ธรรมะเรียนลัดไม่ได้ เล่ม 3 อะไรเอ่ยไม่มีในโลก จากสำนักพิมพ์วงกลม
โดยเรื่องเดียวกันนี้ก็เคยผลิตในรูปแบบการ์ตูนแอนิเมชั่นเพื่อฉายทางช่อง 7
เป็นตอนๆตอนละ 15 นาทีออกอากาศทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 18.00 น.
มาแล้วเช่นกัน แต่เป็นการผลิตจากคนละบริษัท ทว่า มีความคิดตรงกันว่า
เรื่องราวของพุทธศาสนานั้น
ถ้าทำด้วยหัวใจจริงๆก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้โดยไม่น่าเบื่อ
สำหรับการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่องประวัติพระพุทธเจ้านั้น
นอกจากจะผลิตเพื่อฉายในโรงภาพยนตร์แล้ว ยังมีแผนทำเป็นวีซีดี และหนังสือ
เพื่อจำหน่ายและแจกจ่ายไปยังโรงเรียนและผู้สนใจอีกด้วย วัลลภา กล่าวว่า
อีกสิ่งที่เราทำคือ
การทำหนังสือการ์ตูนโดยจะทำเป็นเล่มใหญ่ๆเหมือนของต่างประเทศเพื่อจำหน่ายให้กับหน่วยงานต่างๆ
เพื่อซื้อไปแจกตามโรงเรียน
“หนังสือจะออกได้ต้องให้หนังออกฉายก่อน อาจจะนำหลายส่วนจากในหนังมาใช้
บางคนที่ไม่ได้ดูหนังก็สามารถมาดูในหนังสือได้ ใช้ชื่อเดียวกัน
แต่ในหนังสือจะมีเรื่องราวมากกว่าหนัง
ส่วนจะทำกี่เล่มนั้นขึ้นอยู่กับหนังที่ได้ฉายว่าได้เงินมาเท่าไร
เราแบ่งเป็น 3 ส่วน 40% หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วจะถวายในหลวง
ส่วนที่สองทำหนังสือให้กับหน่วยงานที่มาช่วย ส่วนที่สาม
ทำซีรีส์การ์ตูนที่มีความละเอียดยิ่งกว่า และลึกมากกว่าเพื่อฉายในทีวี”
ที่สำคัญภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นความยาวประมาณ 100
นาทีเรื่องนี้ไม่ใช่ทำขึ้นเพื่อฉายในเมืองไทยเท่านั้น
แต่ยังจะนำออกไปฉายยังต่างประเทศด้วยเช่นกัน โดยจะแปลเป็นภาษานานาชาติ 5
ภาษา เป็นอย่างน้อย คือ อังกฤษ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และเยอรมัน
โมโนฟิล์ม ทุ่มสุดตัว
ดัน The Life of Buddha สู่ตลาดโลก
อีกส่วนสำคัญที่ในการทำหน้าที่เป็นกลไกผลักดันให้ภาพยนตร์การ์ตูนประวัติพระพุทธเจ้า(
The Life of Buddha) ประสบความสำเร็จในตลาดโลก โมโนฟิล์ม
บริษัทผู้รับผิดชอบในการนำภาพยนตร์จัดจำหน่ายออกสู่สายตาชาวโลก จิรัญ
รัตนวิริยะชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมโนฟิล์ม จำกัด เผยว่า
ขณะนี้อยู่ระหว่างการพูดคุยกับมีเดียสแตนดาร์ด แต่คงเป็นที่แน่นอนแล้วว่า
โมโนฟิล์ม จะรับผิดชอบในการนำภาพยนตร์การ์ตูนชุดประวัติพระพุทธเจ้า
ออกจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้
จะนำเข้าร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส เป็นลำดับแรก
ก่อนจะนำเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์ชั้นนำอีก 4 รายการทั่วโลกภายในปีนี้
ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา, กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี, เมืองปูซาน เกาหลีใต้
และฮ่องกง ซึ่งจิรัญ ยอมรับว่า
ยังไม่แน่ใจในกระแสตอบรับของตลาดต่างประเทศว่าจะให้ความสนใจมากน้อยเพียงใด
เนื่องจากเนื้อหาของการ์ตูนเป็นเรื่องราวของฝั่งเอเชีย
แต่จากการพูดคุยกับคู่ค้าที่ทำธุรกิจกันมาก่อนหน้า ก็มีความสนใจพอสมควร
โมโนฟิล์ม เป็นบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ที่งานซึ่งออกมาส่วนใหญ่
แทบไม่ได้รับการพูดถึงในเมืองไทย แต่กลับไปสร้างตลาดดึงรายได้จากทั่วโลก
โดยเฉพาะในยุโรป อาทิ เสือคาบดาบ ไพรีพินาศ หรือสุดสาคร
จิรัญมีแนวคิดในการนำบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ไทยออกไปเปิดตลาดในต่างประเทศ
โดยการรับเป็นตัวกลางในการเปิดบูทหนังไทยในเทศกาลภาพยนตร์ใหญ่ทั่วโลก
เพราะเห็นความอ่อนแอของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยที่ไม่อาจเทียบกับคู่แข่งในเอเชีย
เช่น เกาหลี ฮ่องกง
ในตลาดโลกตรงที่ภาครัฐไม่เคยเข้ามาดูแลเป็นคนกลางในการยกทัพหนังไทยออกสู้ศึก
ปล่อยให้ผู้ผลิตแต่ละรายต่างคนต่างไป
จิรัญเสนอแนวคิดว่า
บูทที่โมโนฟิล์มสร้างขึ้นในเทศกาลภาพยนตร์แต่ละครั้ง ใช้งบประมาณราว 2
ล้านบาท เปิดบูทขนาดใหญ่
ที่มีกิจกรรมดึงดูดให้ผู้ร่วมงานเห็นถึงศักยภาพของภาพยนตร์จากประเทศไทย
บริษัทที่สนใจจะร่วมออกบูท ไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้
ภาพยนตร์ของบริษัทใดขายได้ จึงมาตกลงเรื่องส่วนแบ่ง หากขายไม่ได้
ไม่ต้องเสียเงิน The Life of Buddha ก็เช่นเดียวกัน
จิรัญ กล่าวว่า The Life of Buddha หรือประวัติพระพุทธเจ้า
มีโอกาสประสบความสำเร็จในตลาดโลกได้เช่นกัน ด้วยคุณภาพการผลิต
ที่ใช้ทีมงานคนไทยซึ่งเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์การ์ตูนให้กับวอลท์ ดีสนีย์
เรื่อง มู่หลาน ในปี 1998 ทำให้ลายเส้น ความละเอียด ของ The Life of
Buddha เทียบเท่างานระดับฮอลลีวู้ด ซึ่งเป้าหมายของการออกขายในตลาดโลก
คือการขายเพื่อฉายในโรงภาพยนตร์ เป็นลำดับแรก
ส่วนบริษัทที่ต้องการซื้อไปเพื่อฉายในเคเบิลทีวี หรือลงแผ่น
จะให้ความสำคัญเป็นลำดับรองลงไป
“คาดว่าตลาดในยุโรป จะเป็นตลาดสำคัญที่ให้ความสนใจซื้อ
หากได้เห็นคุณภาพของหนัง โดยก่อนหน้านี้มีบริษัทผู้จำหน่ายจากเยอรมนี
มาขอซื้อลิขสิทธิ์จากมีเดียสแตนดาร์ด ในราคา 200 ล้านบาท
แต่ผู้บริหารของมีเดียสแตนดาร์ดไม่มีความชำนาญในการทำธุรกิจกับต่างประเทศ
โมโนฟิล์มก็จะเป็นตัวแทนในการเจรจาอีกครั้ง ทำให้มั่นใจว่าเมื่อ The Life
of Buddha เข้าสู่เทศกาลหนังที่เมืองคานส์ ในเดือนพฤษภาคมนี้
จะได้รับความสนใจจากบริษัทผู้จัดจำหน่ายจากทั่วโลก
โดยเฉพาะในยุโรปหลายประเทศแน่นอน”
สำหรับการจัดจำหน่ายในประเทศไทย จิรัญกล่าวยอมรับว่า
โมโนฟิล์มคงไม่ใช่บริษัทที่มีศักยภาพในการจัดจำหน่ายในประเทศที่ดีที่สุด
จึงอยากให้มีเดียสแตนดาร์ดได้มีโอกาสเลือกผู้จัดจำหน่ายที่มีฝีมือในการทำตลาดเมืองไทย
แต่ปรากฏว่าบริษัทเหล่านั้นกลับต้องการผลตอบแทนที่สูง
ทำให้มีเดียสแตนดาร์ดหันมาเจรจาให้โมโนฟิล์มรับเป็นผู้จัดจำหน่ายในประเทศไทยด้วย
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพูดคุยยังไม่ได้ข้อสรุป
“ความร่วมมือระหว่างโมโนฟิล์มกับมีเดียสแตนดาร์ดในครั้งนี้
ถือเป็นการทำด้วยใจ
เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ในการปลูกฝังให้เยาวชนไทย คนไทย
มีความศรัทธาในองค์พระพุทธเจ้า
เมื่อมีเดียสแตนดาร์ดมั่นใจในคุณภาพการทำงานของโมโนฟิล์ม
เราก็มีความศรัทธาที่จะร่วมสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับสังคมไทย
และขยายไปสู่สังคมโลก โดยไม่สนใจเรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ คาดว่า
ภาพยนตร์การ์ตูนประวัติพระพุทธเจ้า The Life of Buddha
จะออกฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศไทยในเดือนธันวาคมนี้
โดยรายได้จากการฉายจะมีการทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ 80 พรรษาในปีนี้ด้วย”
กรรมการผู้จัดการ โมโนฟิล์ม กล่าว
ใครอยากทำ CSR มาทางนี้
ท่ามกลางกระแสของซีเอสอาร์ (CSR : Corporate Social
Responsibility) ที่กำลังเป็นที่สนใจขององค์กรต่างๆทั้งในต่างประเทศ
และบ้านเรา
หลายองค์กรทุ่มเงินนับสิบล้านบาทไปกับการกับทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมโดยไม่ได้สนใจว่าจะได้ยอดขายกลับคืนมาหรือไม่
แต่คงเป็นเรื่องดีไม่น้อยหากหลายองค์กรหันมาให้ความสนใจกับการปูพื้นฐานสังคมให้ดีด้วยการสนับสนุนภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องนี้
เนื่องจากแอนิเมชั่นเรื่องประวัติพระพุทธเจ้าจะมุ่งกลุ่มผู้ชมไปที่กลุ่มเด็กและเยาวชน
ตลอดจนครอบครัวเป็นหลัก ด้วยเป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้านับตั้งแต่ประสูติ
เสด็จออกบรรพชา บำเพ็ญเพียร ตรัสรู้
เสด็จจาริกออกแสดงธรรมโปรดสัตว์โลกไปจนถึงปรินิพพาน
ขณะที่การ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่องมิลินทปัญหาจะมุ่งไปที่กลุ่มผู้ใหญ่
เนื่องจากเป็นข้อปุจฉาวิสัชนาเกี่ยวกับปัญหาความเป็นไปของชีวิต
มีสาระทางปัญหาธรรมที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน
ความจำเป็นที่องค์กรต่างๆควรสนับสนุนก็เพราะจนถึงเวลานี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังต้องใช้เงินทุนอีกกว่า
20 ล้านบาท
ด้วยนับตั้งแต่วันแรกที่ลงมือสร้างจนถึงปัจจุบันภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคาร
หรือหน่วยงานราชการเลย
เพราะธนาคารเห็นว่าภาพยนตร์เกี่ยวกับประวัติพระพุทธเจ้ามีข้อจำกัดในแง่ธุรกิจ
และยากในการทำกำไร ดังนั้น
ในช่วงแรกของการดำเนินการสร้างจึงต้องระดมเงินด้วยการจำหน่ายหนังสือ
และเสื้อ แต่ก็ได้เม็ดเงินเพื่อมาสร้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องควักทุนส่วนตัว และของเพื่อนพ้องน้องพี่มาสร้างต่อ
“ในตอนที่ลงทุนไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้
ไม่คิดว่าหน่วยงานจะไม่สนับสนุนขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าธนาคารจะให้กู้
หรืออาจมีคนมาร่วมทุนได้
หลายคนบอกอย่าคิดมากเรากำลังทำเรื่องพระพุทธเจ้าอยู่
กว่าท่านจะตรัสรู้ยากยิ่งกว่าเราอีก” วัลลภา กล่าว และว่า
ขณะนี้เพิ่งจะเริ่มหาสปอนเซอร์ อย่างน้อยเราอยากหาหน่วยงาน
หรือองค์กรมาร่วม
เราพยายามที่จะให้บริษัทเขาคิดว่าเป็นการทำกิจกรรมเพื่อสังคมแบบซีเอสอาร์
ซึ่งในตอนนี้มีบางองค์กรเริ่มสนใจเข้ามาเป็นสปอนเซอร์แล้ว
************
ย้อนรอยแอนิเมชั่นพันธุ์ไทย
70 ปีบนเส้นทาง...วันนี้ไปถึงไหน
แม้ว่างานแอนิเมชั่นในบ้านเราเพิ่งจะมาบูมเอาเมื่อ
3-4 ปีที่ผ่านมา แต่งานด้านศิลป์ของคนไทยหาได้ด้อยกว่าคนต่างชาติไม่
สิ่งสำคัญที่ทำให้งานของคนไทยไม่สามารถก้าวไกลไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นเพราะเนื้อเรื่อง
การตลาด และการมองเข้าไปถึงแก่นแท้ของเด็กจริงๆ ยังสู้ทางฮอลลีวู้ดไม่ได้
ที่ผ่านมางานแอนิเมชั่นโดยฝีมือคนไทยมีไปปรากฏโฉมยังต่างประเทศไม่มากนัก
และในจำนวนน้อยเท่านับนิ้วมือได้นั้นมีคาแรกเตอร์การ์ตูนไม่ว่า คน
หรือสัตว์ที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยแท้น้อยเข้าไปอีก
ส่วนใหญ่จะอิงคาแรกเตอร์ของต่างชาติ ไม่ว่า ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคาแรกเตอร์การ์ตูนของไทยนั้นเพิ่งเข้าสู่สายตาของชาวโลกได้ไม่นาน
จึงจำเป็นต้องให้ต่างชาติเข้าใจตัวคาร์แรกเตอร์ของไทยก่อน
ต่างจากญี่ปุ่นที่ส่งออกการ์ตูนแอนิเมชั่นมานาน
“ประวัติพระพุทธเจ้า” แม้จะเป็นคาแรกเตอร์ฝีมือคนไทยล้วนๆ
แต่ยังมีกลิ่นอาย และลายเส้น เป็นแบบฝรั่ง
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทีมงานเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์การ์ตูนให้กับวอล์ท
ดีสนีย์ มาก่อน
และอีกส่วนหนึ่งต้องการนำภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องนี้ไปฉายยังต่างประเทศ
ดังนั้น รูปแบบ และเส้นสายอาจดูเป็นอินเตอร์ไปบ้าง
แต่ทุกตัวละครนั้นทางคณะผู้สร้างได้ศึกษาจินตนาการให้ตรงกับรูปแบบของคนในยุคนั้นอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แต่ให้มีอิสระในแนวความคิดอันหลากหลายเพื่อขยายแนวการตลาดก้าวสู่ตลาดสากล
โดยมีมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาการ
ดังนั้น เมื่อทีมงานผู้ผลิตเคยทำงานในระดับสากลมาแล้ว
กับทั้งเนื้อเรื่องประวัติพระพุทธเจ้าเป็นที่สนใจในของต่างชาติอยู่แล้ว
จึงคงไม่ใช่เรื่องยากนักที่การ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่องนี้จะสามารถไปบุกตลาดต่างประเทศ
และสร้างการยอมรับวงการแอนิเมชั่นเมืองไทยมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญเป็นการ
“ปักธง” ธรรมให้ผู้คนได้รู้จัก น้อมนำ และนำไปปฏิบัติมากยิ่งขึ้น
แต่กว่าจะถึงวันนี้ เส้นทางแอนิเมชั่นไทยต้องล้มลุกคลุกคลานมาพอสมควร
หากจะย้อนกลับไปมองถึงจุดกำเนิดของแอนิเมชั่น
ภาพการ์ตูนเคลื่อนไหวบนจอภาพของประเทศไทย
ผู้บุกเบิกสร้างปรากฏการณ์ให้คนไทยเมื่อเกือบ 70 ปีก่อน ได้ตื่นตาตื่นใจ
คือปูนชนียบุคคลของวงการโทรทัศน์ไทย อาจารย์สรรพสิริ วิริยศิริ
ที่คนในยุคสมัยนั้นคงจำโฆษณายาหม่อง ที่มีพรีเซนเตอร์เป็นแอนิเมชั่นชื่อ
หนูหล่อ ได้เป็นอย่างดี รวมถึงหมีน้อยเยี่ยมผู้ป่วย ในโฆษณานมตราหมี และ
แม่มดกับกระจกวิเศษ และสโนว์ไวท์จากโฆษณาแป้งน้ำควินนา
นับจากนั้น
แม้มีความพยายามในการเดินหน้าเพื่อพัฒนาแอนิเมชั่นพันธุ์ไทยมาเป็นระยะ
หากแต่ข้อติดขัดด้านกฎหมายควบคุมสื่อ
รวมถึงการที่การ์ตูนแอนิเมชั่นถูกนำเข้าใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง
การปกครอง จนกระทบกับผู้นำประเทศในเวลานั้น
ทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างเชื่องช้า จวบจนกระทั่งช่วงปี พ.ศ.2519 - 2521
อาจารย์ปยุต เงากระจ่าง จากโรงเรียนเพาะช่าง พร้อมลูกศิษย์ลูกหาจำนวนหนึ่ง
ได้ร่วมกันสร้างภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นความยาว 82 นาที ชุด สุดสาคร
ออกฉายในโรงภาพยนตร์เป็นครั้งแรก
เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของวงการภาพยนตร์ และวงการแอนิเมชั่นไทย
การ์ตูนแอนิเมชั่น สุดสาครและม้านิลมังกร มีผลงานในระดับนานาชาติ
เพียงการได้มีโอกาสร่วมในมหกรรมภาพยนตร์หลายรายการทั่วโลก
สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยต่อสายตาชาวโลกว่า
เป็นดินแดนหนึ่งที่มีความสามารถด้านแอนิเมชั่น
แต่เรื่องราวก็ปิดฉากลงเพียงแค่นั้น
แอนิเมชั่นไทยช่วงต่อมาลดระดับลงเป็นงานโทรทัศน์ที่ไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมเท่าไหร่นัก
หากเทียบกับการ์ตูนจากญี่ปุ่น
จวบจนกระทั่งปี 2545 เมื่อกระแสแอนิเมชั่นจากทั่วโลก
ทั้งการ์ตูนลายเส้น และคอมพิวเตอร์กราฟฟิค หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย
เกิดเป็นแรงจูงใจให้กับผู้ผลิตกลุ่มใหม่ ๆ
เข้ามาตั้งไข่แอนิเมชั่นพันธุ์ไทยขึ้นอีกครั้ง ทั้งวิธิตา แอนิเมชั่น
ที่นำคาแรคเตอร์การ์ตูนไทยยอดฮิตจากหนังสือพอคเกตบุ๊ค ปังปอนด์
มาโลดแล่นบนจอโทรทัศน์ เช่นเดียวกับแฟนตาซีทาวน์ ในเครือช่อง 7
ที่ผลิตสุดสาครออกมาในรูปแบบคอมพิวเตอร์กราฟฟิค แอนิเมชั่น
สร้างความสำเร็จทั้งการฉายบนจอทีวี และลงแผ่นซีดี
แต่ที่น่าจะเป็นผลงานที่ชี้วัดอนาคตของแอนิเมชั่นไทยได้ชัดเจนที่สุด
คงต้องยกให้ ค่ายบันเทิงยักษ์ใหญ่ กันตนา ที่ดึงเอา คมภิญญ์ เข็มกำเนิด
คนไทยที่สร้างผลงานแอนิเมชั่นระดับโลกอยู่ในฮอลลีวู้ด เช่น ทาร์ซาน
ไอซ์เอจ หรือแอตแลนติส กลับมาสร้างแอนิเมชั่นไทยเรื่อง ก้านกล้วย
ด้วยงบประมาณ 150 ล้านบาท ในปีนั้น
โดยรัฐบาลในเวลานั้นประกาศให้การสนับสนุนกับผู้อยู่ในธุรกิจนี้อย่างเต็มที่
เพื่อให้กลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่สร้างรายได้เข้าประเทศ
ก้านกล้วย โปรเจ็คที่เกิดขึ้นภายใต้นโยบายก้าวสู่แอนิเมชั่น ฮับ
กระทรวงไอซีที ได้สั่งการให้สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ
หรือซิป้า หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ สนับสนุนงบประมาณในการสร้างเป็นเงิน
30 ล้านบาท แก่บริษัทกันตนา แต่เมื่อแอนิเมชั่นเรื่องนี้ใกล้สำเร็จ
ซิป้ากลับยกเลิกการสนับสนุน
ด้วยเหตุผลติดขัดตามข้อกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรี
ปล่อยให้กันตนาต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
โดยการหาสปอนเซอร์จากภาคเอกชนมาช่วยแบ่งเบางบประมาณ 150 ล้านบาทได้บางส่วน
อย่างไรก็ตาม ผลงาน 3 ปีของแอนิเมชั่นไทยชิ้นมาสเตอร์พีช
ก้านกล้วย ทำรายได้ในการฉายเฉพาะประเทศไทยผ่านหลัก 100 ล้านบาท
เมื่อรวมกับเงินจากสปอนเซอร์ภาคเอกชน และการผลิตลงแผ่น
ขายให้กับเคเบิลทีวี ฟรีทีวี ก็อยู่ในระดับคุ้มทุน
ส่วนที่จะเป็นกำไรคือการต่อยอดนับจากนั้น ที่ก้านกล้วย
ได้กลายเป็นคาแรคเตอร์ที่คนไทยรู้จักอย่างกว้างขวาง นำมาสร้างทีวีซีรีส์
รวมถึงขายไลเซนซิ่งให้กับสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลือง และงานอื่น ๆ
ที่จะสร้างรายได้ตามมา
แต่บนเวทีระดับโลก ภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทย เรื่องที่ 2
ทำได้ดีกว่างานเรื่องแรก สุดสาคร ที่ออกสู่สายตาชาวโลกตลอดเวลากว่า 20
ปีที่ผ่านมา ตรงที่ ก้านกล้วย
ไม่เพียงแต่ได้ออกเดินสายร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์เหมือนสุดสาคร แต่ก้านกล้วย
ที่ร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ปูซาน ร่วมงานฮิโรชิมาฟิล์มเฟสติวัล
ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างดี จนกระทั่ง
แอนิเมชั่นไทยเรื่องนี้ ขึ้นเวทีในงานเทศกาลประกวดภาพยนตร์แอนิเมชัน
AniMadrid 2006 ที่ประเทศสเปน คณะกรรมการในงาน ลงมติมอบรางวัล Best
Feature Film ให้กับทีมงานจากประเทศไทยทีมนี้
เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งไข่แอมิเมชั่นไทย
มีที่ยืนที่ตลาดโลกให้การยอมรับในด้านคุณภาพ แต่ในแง่ผู้ชม
การตระเวนออกฉายในสหรัฐอเมริกา ไม่ได้ฮือฮาหากจะเทียบกับผลงานของคนเป็น ๆ
อย่าง โทนี่ จา ซึ่งกันตนาฯ
ก็ยังมีความพยายามจะสร้างความสำเร็จในธุรกิจแอนิเมชั่นต่อไป
โดยเตรียมงบประมาณอีก 150 ล้านบาท สร้างงานแอนิเมชั่น เรื่องที่ 2
ออกฉายในเวลา 2 ปี และตลาดต่างประเทศจะเป็นตลาดสำคัญ
เช่นเดียวกับสันติ เลาบูรณะกิจ ผู้จัดการทั่วไป วิธิตา แอนิเมชั่น
กล่าวว่า ปังปอนด์จะเป็นคาแรคเตอร์ที่จะใช้ในการบุกตลาดต่างประเทศ
โดยในปีที่ผ่านมา แอนิเมชั่นชุด ปังปอนด์ ตะลุยโลกหิมพานต์
ถูกซื้อไปฉายผ่านเคเบิลทีวีในฮ่องกง
และปีนี้จะขยับเข้าสู่โปรแกรมรายการโทรทัศน์ในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยวิธิตาฯ
มีแผนที่จะผลักดันให้แอนิเมชั่นไทยประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากตลาดทั่วโลก
ด้วยการส่งปังปอนด์ ไปเปิดตลาดทั้งทั่วภูมิภาคเอเชีย ยุโรป
รวมไปถึงสหรัฐอเมริกา
น่าเสียดายที่จนถึงวันนี้แผนงานการผลักดันภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทย
ออกสู่ตลาดโลก ยังเป็นเพียงการดำเนินงานของภาคเอกชนตามลำพัง
เมื่อรัฐยังไม่ได้เหลียวมองมา ฝันที่แอนิเมชั่นไทยจะก้าวไปทัดเทียมโลก
คงยังอีกห่างไกล
อย่างไรก็ตาม หากเราพยายามทำความเข้าใจ ก็คงไม่ยากเย็นนัก
แม้ว่าองค์ประกอบของประเทศที่ยังไม่พร้อม
ในอดีตหากเราต้องการทำแอนิเมชั่นสักเรื่อง หรือสร้างหนังสักเรื่อง
ส่วนผสมก็คือเอาไปขายแล้วก็ได้ค่าโฆษณา ได้ค่าจัดทำมา
สมัยก่อนวิดีโอก็ไม่มี ยังไม่มีความซับซ้อน
จากนั้นก็มีธุรกิจต่อเนื่องตามมา
พอมีสื่อเพิ่มและมีธุรกิจอื่นให้ความสนใจกับความเป็นแอนิเมชั่นก็เลยมีความซับซ้อนมากขึ้น
ความซับซ้อนที่มากขึ้นประกอบด้วยธุรกิจอื่นๆ
ซึ่งประเทศที่ประสบความสำเร็จแล้วเป็นต้นกำเนิด เช่น ญี่ปุ่น อเมริกา
หรือยุโรป เมื่อทำแอนิเมชั่นแต่ละครั้งจะมีสื่อมารองรับหมด
คือโครงการของเขาสามารถเดินเข้าไปคุยกับสถานีโทรทัศน์ หรือธนาคารได้เลย
เพราะทุกคนเข้าใจหมดว่าเมื่องานออกมาจะเป็นอย่างไร
ความเสี่ยงของงานอยู่ตรงไหน
ขณะที่บ้านเราสมมติว่าจะเดินเอาโครงการสร้างหนังการ์ตูน
เรานึกภาพไม่ออกว่าธนาคารไหนจะให้ความสนใจ
หรือสตูดิโอไหนบอกว่าสร้างหนังการ์ตูนเรื่องนี้แล้วจะกำไร
หรือสถานีโทรทัศน์ที่จะมาลงทุนด้วย เรื่องเหล่านี้เป็นไปไม่ได้เลย
องค์ประกอบเหล่านี้ที่มันไม่พร้อม
ไม่ต้องพูดถึงในกรณีที่เราดิ้นรนสร้างมาจนเสร็จ
มันก็ยังมีองค์ประกอบทางธุรกิจอื่นๆอีกในแง่ของเมอร์ชันไดซิ่ง
จะต้องมีคนกระโดดเข้ามาทำแคมเปญ
ต้องมีฟาสท์ฟู้ดโดดเข้ามาทำของพรีเมี่ยมแจก
จะต้องมีบริษัทของเล่นมาทำของเล่น
บริษัทเหล่านี้จะต้องเข้ามาจ่ายเงินขออนุญาตใช้ลิขสิทธิ์ตัวนี้ออกไป
ไม่เช่นนั้นลิขสิทธิ์ตัวนี้จะหยุดอยู่แค่การฉาย
แลัวจะมีธุรกิจมากน้อยแค่ไหนในเมืองไทยที่สนใจตรงนี้
ส่วนในต่างประเทศ ด้วยขนาดประเทศ ด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
เขามีองค์กรทางธุรกิจประเภทนี้พร้อมอยู่แล้ว
ที่สำคัญทุกภาคส่วนเข้าใจความเป็นแอนิเมชั่นทั้งหมด รู้ว่ามาอย่างไร
ไปอย่างไร ทำเงินได้อย่างไร เขาจึงโดดเข้ามา
ดังนั้นคนที่ทำแอนิเมชั่นก็มีการต่อเนื่อง มีคนขยาย หรือกระจาย
ดังนั้น
หากต้องการจะให้แอนิเมชั่นไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกนั้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการสนับสนุนจาก 3 ส่วน ส่วนแรก
ในภาคก่อนการผลิต (pre production) คือ
การได้รับการสนับสนุนจากแหล่งเงินทุน คนที่พร้อมจะเปิดโอกาสให้
อาจจะมาจากภาคการเงิน หรือภาคธุรกิจ
ซึ่งภาคนี้ก็สามารถเข้ามาลงทุนได้ถ้าเข้าใจ
แม้จะไม่ใช่เงินทุนแต่เป็นการเปิดโอกาสให้ เช่น สถานีโทรทัศน์
ส่วนที่สอง คือ การผลิต ปัจจุบันเรามีแอนิเมชั่น
สตูดิโอที่ใหญ่ที่สุดในไทย คือ กันตนา แต่เรามีประชากรถึง 60 ล้านคน คือ
หากเราจะลงทุนสร้างการ์ตูนขนาดใหญ่ขึ้นมาลักเรื่อง ใช้เงิน 50-60 ล้านบาท
ไม่มีสตูดิโอไหนมีศักยภาพพอที่จะลงทุนได้เอง
กลายเป็นว่าเครื่องมือในภาคโปรดักชั่นมีไม่เพียงพอ
ขณะที่แรงงานฝีมือก็ไม่เพียงพอ
ตลอดจนความชำนาญกับประสบการณ์เรายังไม่มีที่จะเดินโครงการแอนิเมชั่นขนาดใหญ่ให้ไปตลาดโลกได้
แต่ขณะนี้ประเทศเรากำลังจะมีการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่องประวัติพระพุทธเจ้าที่ลงทุนไปกว่า
100 ล้านบาทเข้าสู่ตลาด
ส่วนที่สาม คือ post production คือภาคการตลาด
ขึ้นอยู่กับคุณภาพของภาคโปรดักชั่นว่าทำอย่างไรจึงจะออกไปได้
และขึ้นอยู่กับธุรกิจเมอร์ชันไดซิ่งที่จะเข้ามาให้ความสนใจ เช่น
หากทำโครงการรายการทีวีขึ้นมา สร้างหนังแอนิเมชั่นมาได้ 26 ตอน
ไปขายทีวีรายได้จากค่าโฆษณาเท่าไร
ขณะที่ละครค่าโฆษณานาทีละเป็นแสนทั้งที่ต้นทุนพอกัน
************
ความง่าย-ยาก
ประวัติพระพุทธเจ้า
เทียบกับงานสากล
วิษณุกร คงสมศักดิ์
ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการอะนิเมชั่นระดับโลกมาหลายปีโดยก่อนหน้านี้ได้ทำงานร่วมกับไทยหวัง
ฟิล์มโปรดัคชั่น บริษัทในเครือหวังฟิล์มของไต้หวัน
ซึ่งรับงานผลิตจากค่ายภาพยนตร์ชั้นนำจากฮอลลีวู้ด เช่น วอล์ทดีสนีย์,
วอร์เนอร์บราเธอร์ส และ เอ็มจีเอ็ม
โดยภาพยนตร์ที่วิษณุกรเคยมีส่วนร่วมได้แก่ มู่หลาน ทาร์ซาน ไลอ้อนคิงส์
เฮอร์คิวลิส การ์ฟิลด์ และอื่นๆกว่า 30 เรื่อง
ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค มีเดียสแตนดาร์ด
ผู้ผลิตภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องประวัติพระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงความยากง่ายในการทำงานด้านเทคนิคเมื่อเทียบกับ
เนื่องจากเป็นงานที่จะต้องอาศัยไอเดียสร้างสรรค์ซึ่งต่างจากการทำงานให้กับบริษัทใหญ่ที่เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว
เพียงแต่ทำงานตามกระบวนการหรือตามคำสั่งให้บรรลุผลเท่านั้น
ทั้งนี้ในกระบวนการทำแอนิเมชั่นในยุคที่ใช้แผ่นฟิล์มนั้นต้องใช้ทีมงานเกือบ
500 คน
แต่ปัจจุบันคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาททำให้สามารถลดจำนวนบุคลากรเหลือเพียง
40 คน ในขณะที่บริษัทมีบุคลากรเพียง 20 คน
จึงต้องอาศัยการว่าจ้างฟรีแลนซ์ร่วมด้วย
แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการผลิตซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 4 ปี
ต่อภาพยนตร์แอนิเมชั่นหนึ่งเรื่อง
ในขณะที่ภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดงถ้าเตรียมทุกอย่างพร้อมก็จะใช้เวลาไม่กี่เดือนในการถ่ายทำ
นอกจากนี้การทำแอนิเมชั่นยังมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าการใช้คนแสดงเป็นเท่าตัว
อย่างน้อยต้องมีงบ 100 ล้านขึ้นไป
“ภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่เป็น 2 มิติ
ของไทยจริงๆก็มีแค่สุดสาครเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และยังไม่มีใครทำอีกเลย
จะมีก็แต่ที่เป็น 3 มิติ ของค่ายกันตนา หรืออย่างซีรี่ส์ 2 มิติ
ในรายการทีวีก็จะมีความละเอียดที่น้อยกว่าอะนิเมชั่นที่ทำเป็นภาพยนตร์
เนื่องจากซีรี่ส์ต้องทำแข่งกับเวลาเพื่อให้ทันเวลาออกอากาศทำให้มีลายละเอียดความสวยงามที่น้อยกว่า”
วิษณุกร กล่าว
อย่างไรก็ดี
แม้จะไม่ได้มีกฎเกณฑ์ว่าภาพยนตร์เรื่องใดควรใช้นักแสดง
เรื่องใดควรใช้แอนิเมชั่น
แต่ถ้ามองในเชิงของผู้ชมก็จะเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าควรใช้รูปแบบใด
อย่างกรณีแอนิเมชั่นเรื่องประวัติพระพุทธเจ้านี้เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กและเยาวชน
ซึ่งภายหลังภาพยนตร์ดังกล่าวออกจากโรงหนังแล้วก็จะมีการทำเป็นสื่อการเรียนการสอนสำหรับเด็กด้วย
ดังนั้นรูปแบบแอนิเมชั่นจึงเหมาะสมมากกว่าเนื่องจากสามารถดึงดูดกลุ่มผู้ชมเป้าหมายได้ดีกว่า