“ผมใช้เวลานานเกือบ 20 ปี เพื่อศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล
ประถม มัธยม จนสำเร็จระดับปริญญาเอกกว่าจะได้เป็นนักวิทยาศาสตร์
แต่สารภาพว่าไม่เคยใช้เวลาเพื่อเตรียมตัวที่จะเป็นพ่อ
ไม่เคยเรียนรู้ก่อนว่าเมื่อเป็นพ่อแล้วจะต้องทำอย่างไร
ผมจึงเป็นพ่อที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ไม่รู้แม้ที่จะพัฒนาให้ลูกเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ”
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
: คำพูดข้างต้นเป็นคำสารภาพของนักวิทยาศาสตร์ไทยชื่อดัง
ที่เป็นผู้คิดค้นระบบลงจอดยานอวกาศบนดาวอังคารให้กับองค์การนาซ่า “ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา”
ที่หันมาให้ความสนใจในการพัฒนามนุษย์
ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้บริหารโรงเรียนสัตยาไส จังหวัดลพบุรี
โดยกล่าวในการบรรยายพิเศษการประชุมวิชาการ “การพัฒนาสติปัญญาเด็กไทย
ครั้งที่ 4” ประจำปี 2550 จัดโดยกรมสุขภาพจิต
ดร.อาจอง บอกว่า
ปัญหาข้างต้นไม่เพียงเป็นสิ่งที่เกิดกับตนเท่านั้น
แต่เป็นปัญหาสำคัญของมนุษย์ เพราะไม่ว่าก่อนที่เราจะทำอะไรก็ตาม
มักมีการเตรียมตัว เตรียมความพร้อมสำหรับสิ่งนั้น ๆ ไว้เสมอ แต่กับ “ลูก”
เรากลับไม่เคยเตรียมตัวเลยที่จะเป็นพ่อแม่คน เมื่อแต่งงานแล้วก็มีลูก
การเป็นพ่อแม่จึงค่อยเริ่มต้นขึ้น
เป็นสาเหตุที่ทำให้สังคมวุ่นวายเหมือนเช่นทุกวันนี้
เพราะเราไม่ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาการของลูก
ทั้งที่ควรเริ่มเตรียมตั้งแต่ก่อนแต่งงาน
รวมทั้งการตั้งท้องที่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด
เพราะการเรียนรู้และพัฒนาการของลูกได้เริ่มต้นที่นี่แล้ว จนมีคำพูดที่ว่า
การฝึกพัฒนาการ หากเริ่มต้นในช่วงอนุบาลก็ถือว่าสายไปแล้ว
สำหรับการสร้างพัฒนาการของลูก
ก่อนอื่นพ่อแม่จะต้องเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของลูกก่อน
จึงจะทำให้ลูกมีพัฒนาการเป็นไปในทางที่ดี
โดยกำหนดว่าอยากให้ลูกเป็นอย่างไร
ซึ่งการรับนักเรียนเข้าโรงเรียนสัตยาไสนั้น
ไม่เพียงแต่จะพิจารณาที่ตัวเด็กเท่านั้น
แต่จะวิเคราะห์ถึงพ่อแม่ผู้ปกครองด้วย หากพ่อแม่เด็กบอกว่า
อยากให้ลูกเป็นคนเก่ง คงจบกันแค่นี้ไม่ต้องพูดอะไรกันอีก
เพราะตนมองว่าควรฝึกให้ลูกเป็น “คนดี”
เพราะคนดีเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงสังคมได้
“ผมเห็นว่า คนเก่งตอนนี้มีเยอะแล้ว
และคนเก่งก็เป็นคนที่สร้างปัญหาต่าง ๆ ให้กับโลกใบนี้มากมาย
ทั้งการคิดค้นอาวุธร้ายแรงก็มาจากคนเก่ง
สงครามก็มาจากคนเก่งกับคนเก่งที่ต้องการเอาชนะกัน
อีกทั้งคนเก่งย่อมไม่ชอบให้คนอื่นเก่งกว่าอีก
หากใครเก่งกว่าก็ต้องพยายามแข่งขัน ซึ่งเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย
ดังนั้นจึงควรหันมาเน้นการพัฒนาด้านจิตใจเป็นสำคัญ ให้มีการยอมรับ
รู้จักเหตุ รู้จักผล”
อีกทั้งสภาพแวดล้อมปัจจุบัน
เด็กตกเป็นกลุ่มเป้าหมายของนักการตลาด
ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดความต้องการและแข่งขันกันอย่างรุนแรง
อย่างโทรศัพท์มือถือธรรมดาที่โทรเข้าโทรออกได้ ราคา 1,350 บาท แต่ถ้าเด็กๆ
เห็นก็จะบอกว่า หน้าจอไม่เป็นสี ไม่มี MP3 ไม่ใช่ MP4 ถ่ายรูปไม่ได้
เพื่อนมีแบบไหนก็ต้องมีเหมือนกัน รวมถึงของเล่น เกมคอมพิวเตอร์
เป็นความต้องการไม่มีที่สิ้นสุดที่ก่อปัญหาให้สังคม
เพราะจะต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้มาตามความต้องการ
เมื่อเด็กต้องการมากก็ผิดหวังมาก
หากต้องการน้อยก็ผิดหวังน้อย แต่ถ้าไม่ต้องการก็ไม่ผิดหวังอะไรเลย
ดังนั้นจำเป็นต้องสร้างภูมิต้านทานนี้ให้กับเด็กก่อนเติบโตก่อนไปเป็นผู้ใหญ่
ดร.อาจอง เล่าว่า
จากประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษาวิจัย “เด็กเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร”
อะไรเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงให้เด็กที่โรงเรียนสัตยาไสมีจิตใจที่ดีขึ้น
พบว่า การมี “ครูที่ดี” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด
นั่นหมายถึงพ่อแม่ที่เป็นครูคนแรก
ต้องร่วมกันทำงานกับครูที่โรงเรียนเพื่อช่วยกันสอนเด็กตลอดเวลา
โดยเฉพาะพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี หากเราใช้อารมณ์ในการเลี้ยงดู
ลูกก็จะจดจำเลียบแบบ เมื่อโตขึ้นจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจหรือทำสิ่งใดๆ
เหมือนเป็นกระจกที่เงาสะท้อนให้เห็นถึงตัวเราเอง
ทั้งนี้พ่อแม่และครูจะต้องไม่ใช่แค่บอกหรือสอนเท่านั้น
แต่จะต้องทำให้เขารู้จักคิด วิเคราะห์
และขวนขวายหาความรู้ด้วยตัวเองมากที่สุด
เรามีหน้าที่เพียงแต่อำนวยความสะดวกสนับสนุนให้การเกิดการพัฒนาเท่านั้น
เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เขาสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้
ปัจจัยต่อมาคือ “สมาธิ” ซึ่งการฝึกสมาธิทำได้
ไม่ว่าศาสนาใด เพราะจะช่วยให้เด็กมีจิตใจที่สงบ
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในตนเอง มีเวลาคิดและพิจารณาในสิ่งต่าง ๆ
มากขึ้น รู้จักแยกแยะผิดถูก มีสติมากขึ้น ซึ่งเมื่อตอนที่ยังเด็ก
ตนเองก็เคยเป็นเด็กเกเรมากก่อน
แต่เมื่อฝึกสมาธิได้เพียงแค่เดือนเดียวก็มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี
แต่หากเป็นเด็กโตในระดับมัธยมนั้น
ยังต้องอาศัยอีกปัจจัยที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ “เพื่อน”
ที่มีอิทธิพลอย่างมาก ดังนั้นจำเป็นต้องระมัดระวังว่าลูกเราคบใคร
มีเพื่อนแบบไหน
เพราะการมีเพื่อนที่ดีจะสามารถชักจูงเด็กให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้
ทั้งนี้ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า
พ่อแม่ส่วนใหญ่ต่างมุ่งพัฒนา IQ (Intelligence Quotient:
ระดับเชาว์ปัญญาหรือความสามารถของมนุษย์ในการเรียนรู้ วิเคราะห์
ทำความเข้าใจ) เพื่อให้ลูกเป็นคนฉลาดเท่านั้น ซึ่งความจริงไม่เพียงพอ
เพราะต้องพัฒนา EQ (Emotional Quotient: ความฉลาดทางอารมณ์) และ MQ (Moral
Quotient:ศีลธรรม) ควบคู่จึงจะนำลูกไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้
และหากเราเริ่มต้นพัฒนาจาก EQ และ MQ
จะทำให้ลูกเป็นคนดี มีความสุข และ IQ ก็จะตามมา
เป็นการดึงความฉลาดจากภายใน เพราะ EQ และ MQ เป็นการสร้างจิตสำนึก
ทำให้ลูกรู้จักหน้าที่ ความรับผิดชอบ
ขยันสนใจการเรียนนำไปสู่การพัฒนาที่ดีจนเป็น “มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ”
ซึ่งพ่อแม่และครูเองจะต้องให้ความรัก ความอบอุ่น เวลาและความเข้าใจ
เพื่อส่งเสริมให้ลูกเดินไปในทางที่ถูกต้อง
และที่สำคัญจะต้องเป็นต้นแบบที่ดีเพื่อให้ลูกเดินตาม