ทางตอนใต้ของเกาะกรีนแลนด์
พบใต้ชั้นน้ำแข็งลึกกว่า 2 กม. เต็มไปด้วยซากสิ่งมีชีวิตถูกฝังมายาวนาน
บ่งชี้ว่า
บริเวณดังกล่าวเคยเป็นป่าเขียวชอุ่มก่อนที่จะเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง ทั้งยังมีอุณหภูมิสูงกว่าในปัจจุบันถึง 5 องศาเซลเซียส หรือเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงโลกร้อน ดังเช่นสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน โดยได้ตีพิมพ์รายงานลงใน
วารสารไซน์ (Science) และหวังใช้เป็นแนวทางสำหรับศึกษาสิ่งที่อยู่ภายใต้ชั้นน้ำแข็งบริเวณอื่นๆ ทั่วโลกต่อไป
"การศึกษาตัวอย่างดีเอ็นเอที่ได้มาจากซากสิ่งมีชีวิตใต้ชั้นน้ำแข็ง
ทำให้เราสามารถจำลองสภาพแวดล้อมบริเวณนั้นเมื่อครั้งอดีตได้แม่นยำมากขึ้น"
มาร์ติน ชาร์ป (Martin Sharp) ผู้เชี่ยวชาญด้านธารน้ำแข็ง จาก
มหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตา (University of Alberta) แคนาดา เปิดเผย
![](https://images.dmc.tv/www/images/news_picture/scientis.JPEG)
ซากสิ่งมีชีวิตที่พบใต้ชั้นน้ำแข็งยังไม่เน่าเปื่อยผุพัง
ทำให้สกัดดีเอ็นเอบริสุทธิ์ได้ พบว่ามีอายุเก่าแก่ถึง 450,000 ปี
และเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตในยุคปัจจุบัน ทีมสำรวจ
สันนิษฐานว่า
ในอดีตธารน้ำแข็งกรีนแลนด์เคยถูกปกคลุมด้วยป่า
ทั้งยังมีความหลากหลายทางชีวภาพด้วย โดยต้นไม้ส่วนใหญ่เป็นพวกสนชนิดต่างๆ
และเต็มไปด้วยแมลงหลากชนิด ทั้งผีเสื้อ แมงมุม เต่าทอง ด้วง เป็นต้น
ทั้งนี้ ป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ทางตอนใต้ของกรีนแลนด์อยู่ในช่วง
450,000 – 900,000 ล้านปีก่อน
และเป็นช่วงที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นในยุคนั้น หรือที่เรียกว่า
ช่วงอบอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็ง (Interglacial Period) โดยอุณหภูมิขึ้นสูงสุด
10 องศาเซลเซียส ในฤดูร้อน และต่ำสุด -17 องศาเซลเซียส ในฤดูหนาว
ต่อมาเมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงและเข้าสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้งเมื่อราว 450,000
ปีก่อน ความหนาวเย็นและธารน้ำแข็งก็เข้าปกคลุมพื้นที่ป่าบริเวณดังกล่าว
สิ่งมีชีวิตต่างๆ
จึงถูกฝังและแช่แข็งอยู่ใต้ธารน้ำแข็งโดยไม่เน่าเปื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้เคยมีการค้นพบฟอสซิลอายุ 2.4 ล้านปี
ทางตอนเหนือของกรีนแลนด์
และเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าสภาพพื้นที่ของกรีนแลนด์เมื่อ 2.4
ล้านปีที่แล้ว เคยเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มาก่อน
นอกจากนี้ยังพบว่าช่วงอบอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย คือ
เมื่อ 116,000 – 130,000 ปีก่อน อุณหภูมิบริเวณธารน้ำแข็งกรีนแลนด์ยังสูงกว่าในปัจจุบันถึง 5 องศาเซลเซียส
แต่ธารน้ำแข็งที่หนา 1,000-1,500 เมตร กลับไม่หลอมละลายไปจนหมด
ทั้งที่จากการวิจัย อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเพียง 3
องศาก็สามารถทำให้ธารน้ำแข็งหลอมเหลวได้แล้ว
“ชั้นน้ำแข็งที่เราขุดลึกกว่า 2 กม.
ต่างจากกรีนแลนด์ที่เราเห็นในปัจจุบันมาก” ศาสตราจารย์เอสเก วิลเลอร์สเลฟ
(Eske Willerslev) จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน (University of Copenhagen)
ประเทศเดนมาร์ก หนึ่งในผู้ร่วมศึกษา กล่าวและเพิ่มเติมว่า
ธารน้ำแข็งกรีนแลนด์นี้มีเสถียรภาพมากกว่าที่คิดกันไว้เสียอีก
จากการศึกษานี้
ทำให้นักวิจัยทราบว่า
ปรากฏการณ์โลกร้อนเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
ทั้งยังร้อนกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเสียอีก
แต่ธารน้ำแข็งก็ยังคงตัวอยู่ได้ ขณะที่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ธารน้ำแข็งกรีนแลนด์ละลายลงรวดเร็วกว่าเมื่อครั้งอดีต โดยปี 2539 ละลายไป
100 ลูกบาศก์เมตร และเพิ่มขึ้นเป็น 220 ลูกบาศก์เมตรในปี 2548
หากธารน้ำแข็งละลายจนหมด ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นถึง 7 เมตร
แต่ที่เกิดขึ้นคือ เมื่อธารน้ำแข็งบริเวณหนึ่งละลายจนบางลง
จะพบบริเวณอื่นหนาขึ้นมาแทน
นอกจากนี้
ยังมีอีกหนึ่งทีมวิจัยทางฝั่งยุโรปที่ดำเนินโครงการอีพีไอซีเอ (EPICA :
European Project for Ice Coring in Antarctica)
เพื่อสำรวจใจกลางชั้นน้ำแข็ง
โดยพวกเขาได้ขุดธารน้ำแข็งบริเวณทิศตะวันออกของแอนตาร์กติกาลึกลงไปถึง
3,260 เมตร
และศึกษาฟองอากาศของดิวเทอเรียม
(ไอโซโทปของไฮโดรเจน) ที่ถูกกักอยู่ในชั้นน้ำแข็งมาเป็นเวลายาวนาน พบว่า
บริเวณนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในช่วงกว้างตลอด 800,000 ปีที่ผ่านมา
โดยอุณหภูมิสูงสุด 15 องศาเซลเซียส
และในช่วงปลายยุคน้ำแข็งซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อ 11,000 ปีก่อน
อุณหภูมิต่ำกว่าปัจจุบันถึง 10 องศาเซลเซียส
อย่างไรก็ดี
ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกในอดีต
พบว่ายุคน้ำแข็งเคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งหลายหนแล้ว
ซึ่งเมื่อยุคน้ำแข็งสิ้นสุดลง อุณหภูมิโลกก็จะค่อยสูงขึ้น อากาศอบอุ่นขึ้น
ที่เรียกว่า ช่วงอบอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็ง
โดยจะกินเวลานานนับหมื่นหรือแสนปีก่อนที่จะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้ง
และติดตามมาด้วยช่วงอบอุ่นที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป
ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าภาวะโลกร้อนที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่นี้อาจจะ
เป็นช่วงอบอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็งที่หมุนเวียนกลับมาอีกครั้ง
เพียงแต่ในอดีตไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากมายเช่นในปัจจุบัน