นักวิชาการจุฬาฯชี้เด็กไทยวิกฤติหนัก
ก้าวร้าว หมกมุ่นเรื่องเพศ ติดเกม ทำศัลยกรรม คุณธรรมและจริยธรรมลดฮวบ
เดินตามก้นเกาหลี-ญี่ปุ่น เหตุรากวัฒนธรรมกำลังเน่า ห่วงอีก 10-15 ปี
พัฒนาเป็นยุวอาชญากร ด้านเลขาฯมูลนิธิชัยพัฒนาเผย "ในหลวง"
ทรงเตือนสติคนไทย ใช้ชีวิตพอเพียง เดินสายกลาง รู้จักประมาณตน มีเหตุผล
มีภูมิคุ้มกัน
สถาบันพระบรมราชนก
ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเขตภาคกลาง 97
จัดประชุมวิชาการประจำปี 2550 ของเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาเขตภาคกลาง
เพื่อพัฒนาบัณฑิตอุดมคติไทย เรื่อง
เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาบัณฑิตอุดมคติไทย...จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ
เพื่อเฉลิมพระเกียติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา ที่ห้องประชุมไพจิตร ปวะบุตร
กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 23 สิงหาคม
ซึ่งมีนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา บรรยายพิเศษเรื่อง
"พระจริยวัตรของในหลวงกับเศรษฐกิจพอเพียง"
นายสุเมธกล่าวตอนหนึ่งว่า
หลักเศรษฐกิจแบบพอเพียง เป็นเรื่องของปรัชญาและธรรมะ
ในปัจจุบันมีหลายหน่วยงานอยากที่จะทำให้ระบบการทำงานของตนเอง
เป็นไปในรูปแบบของเศรษฐกิจแบบพอเพียง
โดยการยึดหลักธรรม 3 ประการ คือ 1.ความพอประมาณ
แต่ความพอประมาณตนของแต่ละคนไม่เท่ากัน
ต้องรู้จักประเมินตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร
2.ความมีเหตุมีผล สามารถอธิบายได้ว่าทุกอย่างที่ทำมีที่มาที่ไปอย่างไร และ
3.มีภูมิคุ้มกัน เป็นการป้องกันก่อนที่จะทำอะไร หรือก่อนที่ปัญหาต่างๆ
จะเกิด เป็นการใช้สติในการจัดการกับปัญหาในทุกๆ เรื่อง
สติเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต เมื่อใช้สติแล้วปัญญาก็จะเกิด
ซึ่งถ้าใช้หลักการทั้ง 3
ข้อนี้ก็จะสามารถดำเนินชีวิตภายใต้เศรษฐกิจแบบพอเพียงได้อย่างมีหลักการ
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเตือนสติคนไทยอยู่ตลอดเวลาว่าให้ใช้ชีวิตแบบพอเพียง เดินทางสายกลาง
เมื่อรู้จักประมาณตนแล้ว ต้องใช้เหตุใช้ผล และมีสติ
รู้จักบริหารความเสี่ยง คือ ต้องมีจริยธรรมคุณธรรม
และมุ่งประโยชน์สุขเป็นที่ตั้ง เวลาจะทำอะไรก็ตาม ให้ยึดหลักธรรม
และธรรมชาติ ทุกอย่างจะสำเร็จลงได้ด้วยดี ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ธรรมดา
แค่นี้ก็จะสามารถทำให้เราอยู่ได้อย่างมีความสุข" นายสุเมธกล่าว
จากนั้นเป็นการบรรยายเรื่อง
"วิกฤตเยาวชนไทยในยุคปัจจุบัน" โดยนายสมพงษ์ จิตระดับ คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งกล่าวว่า
สถานการณ์เด็กและเยาวชนไทยจะแย่ลงเรื่อยๆ ซึ่งในอีก 10-15 ปีข้างหน้า
ปัญหาหนักจนถึงขั้นวิกฤต เนื่องจากปัญหาหลัก 3 ด้าน คือ
1.ปัจจุบันเด็กและเยาวชน ร้อยละ 90 มีคุณลักษณะหรือคาแรคเตอร์ ก้าวร้าว
หมกมุ่นเรื่องเพศ และติดเกม ทำให้เด็กมีคุณภาพ คุณธรรม จริยธรรมลดลง
2.เด็กที่ศึกษาในระดับมัธยมมีการเปลี่ยนแปลงในทางแย่มากขึ้น
คือ เล่นกีฬา ช่วยงานบ้าน ไปเที่ยวกับครอบครัวและไปวัดน้อยลง
ขณะที่เด็กเหล่านี้มีความต้องการที่จะเล่นอินเตอร์เน็ต ดูเว็บโป๊
ทำศัลยกรรม เที่ยวกลางคืน เล่นหวย คุยโทรศัพท์ และติดเพื่อนเพิ่มมากขึ้น
และ 3.เด็กไทยจะเป็นเด็กที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย โดยเฉพาะวัฒนธรรม K-Pop คือ
วัฒนธรรมของนักร้อง ดาราเกาหลี ซึ่งวัยรุ่นเกาหลี ร้อยละ 30
ทำศัลยกรรมทั้งสิ้น และ J-Pop วัฒนธรรมดารา นักร้องญี่ปุ่น
จึงทำให้กลืนความเป็นไทย วัฒนธรรมดีๆ ของไทยลดน้อยลงเหลือประมาณร้อยละ 30
เท่านั้น คือเหลือเพียง รู้จักการไหว้ พูดภาษาไทย และใช้เงินไทยเท่านั้น"
นายสมพงษ์กล่าวว่า
รากของวัฒนธรรมไทยในเด็กกำลังจะเน่า เพราะเด็กไทยจะซึมซับเอาวัฒนธรรมจากต่างชาติเข้ามาผสม
จนกลายเป็นวัฒนธรรมสากลไปจนหมด
โดยเฉพาะปัญหาทางเพศ ที่เด็กไทยเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ก่อนวัยอันควรหลายปี
เป็นเพราะในสังคมมีวัตถุทางเพศดาษดื่น ส่วนใหญ่มาจากการเล่นอินเตอร์เน็ต
เข้าชมเว็บโป๊ หรือวีซีดีโป๊ต่างๆ เมื่อมีการเรียนรู้
ก็จะกระตุ้นให้เด็กทดลองด้วยตัวเอง คือไปมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ
สุดท้ายก็กลายเป็นปัญหาสังคมตามมาคือ ตั้งครรภ์ตั้งแต่ในวัยเรียน
"นอกจากนี้
ยังพบว่าเด็กที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา
มีมากถึงร้อยละ 4 ของเด็กในวัยเรียนทั้งหมด หรือประมาณ 2-3
แสนคนทั่วประเทศ จากทั้งหมด 175 เขตการศึกษา
เฉลี่ยมีเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา เขตการศึกษาละ 1,000-1,200 คน
เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ มีเด็กกลุ่มนี้เฉลี่ยชุมชนละ 15-20 คน
สาเหตุที่ทำให้เด็กไม่ได้เรียนหนังสือมาจากการอพยพย้ายถิ่นที่ทำงานตามพ่อแม่
และปัญหาความยากจน
นายสมพงษ์กล่าวว่า
เด็กเหล่านี้เมื่อไม่ได้เรียนหนังสือก็จะกลายเป็นแรงงานไร้ฝีมือ
มักจะทำงานรับช่วงต่อจากพ่อแม่ โดยเด็กผู้หญิงมักจะไปทำงานเป็นสาวโรงงาน
สาวห้าง หรือเด็กเสิร์ฟ สุดท้ายก็ถูกหิ้ว ถูกออฟ
ส่วนเด็กผู้ชายก็จะหันไปขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง
และเมื่อรายได้ไม่พอใช้ก็จะอพยพเข้าเมือง
แต่ปัญหาก็ไม่จบเพราะชีวิตในเมืองอ้างว้าง โดดเดี่ยว
ทำให้ต้องรีบหาคู่มีครอบครัวซึ่งวงจรชีวิตของลูกหลานของเขา
ก็จะโคจรเหมือนพ่อแม่ เป็นปัญหาที่ไม่สิ้นสุด
จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างพบว่าคนที่อายุเพียง 28 ปี ก็เป็นย่า เป็นยายคนได้
"จากการติดตามพฤติกรรมเด็กพบเรื่องที่น่าตกใจคือ
ว่าเด็กเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นยุวอาชญากรสูงมาก
ยิ่งหากมีปัญหายาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเด็กก็จะพัฒนากลายเป็นโจรได้ง่ายขึ้น
มีการตบทรัพย์จากเด็กด้วยกัน หรือไปจับกลุ่มตามห้างสรรพสินค้า อยู่ในซอก
จุดอับ เพื่อขู่กรรโชกทรัพย์จากคนที่มาเดินห้าง
ในอนาคตปัญหาเหล่านี้จะเพิ่มมากขึ้น
ทั้งหมดมาจากปัญหาการศึกษาเข้ามาถึงคนกลุ่มนี้"
อาจารย์คณะครุศาสตร์จุฬาฯระบุ
ที่มา-