สธ.เตรียมออกกฎเหล็กห้ามสูบบุหรี่ในผับ
บาร์ เปิดฟังความเห็นรอบสุดท้ายก่อนทำโพลใหญ่ มั่นใจผู้ประกอบการ พนักงาน
ประชาชนหนุนเต็มที่ คาดประกาศใช้ต้นปีหน้า
วันนี้ (6 ก.ย.) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
มีการจัดประชุมเสวนาวิชาการและรับฟังความคิดเห็นเรื่อง “สถานบริการบันเทิง
ผับ และบาร์ ปลอดบุหรี่” ใน 25 จังหวัดภาคกลาง โดยมีนักวิชาการ
ผู้ประกอบการสถานบันเทิงร่วมเข้าประชุม
ซึ่งภายหลังจากเปิดรับฟังความคิดเห็นครบทั้ง 4 ภาค
จะมีการนำความคิดเห็นทั้งหมดประมวลผลก่อนการออกข้อกำหนดให้สถานบันเทิงเป็นเขตปลอดบุหรี่
นพ.เสรี หงส์หยก
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า
ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานบริการบันเทิงมากขึ้น จาก 5,249 แห่ง ในปี 2548
เป็น 6,583 แห่ง ในปี 2549 ซึ่งมีข้อมูลทางวิชาการชัดเจน
ว่า
ควันบุหรี่มือสอง
ทำให้ผู้ไม่สูบบุหรี่แต่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีควันบุหรี่เป็นมะเร็งของอวัยวะต่างๆ
เช่น โรคมะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง โรคถุงลมโปร่งพอง ฯลฯ
ซึ่งการกำหนดให้สถานบันเทิงผับ บาร์ เป็นเขตปลอดบุหรี่ เป็นการอาศัยอำนาจ
พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535
เพื่อครอบคลุมสถานบริการบันเทิงที่มีการยกเว้นไว้ ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
โดยไม่ได้ห้ามการสูบบุหรี่ 100%
ผู้ไปใช้บริการสามารถสูบบุหรี่ในที่ที่จัดไว้ หรือด้านนอกสถานบริการได้
“ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศแรกที่กำหนดให้สถานบันเทิงผับบาร์เป็นเขตปลอดบุหรี่
แต่
ในแอฟริกาใต้ ประกาศห้ามตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว หรือในภูมิภาคเอเชีย
อย่างประเทศภูฎานก็ดำเนินการไปแล้ว ขณะนี้มี 14 ประเทศที่ประกาศให้ผับ
บาร์ เป็นเขตปลอดบุหรี่ 100% ซึ่งทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ
ไม่ส่งผลต่อยอดการขายของสถานประกอบการ
แต่กลับทำให้มีผู้มาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น” นพ.เสรีกล่าว
นพ.เสรี กล่าวต่อว่า การเปิดรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้
เพื่อให้ความรู้ ทำความเข้าใจ โดยจะนำความคิดเห็นทั้งจาก 4 ภาคทั่วประเทศ
และแบบสอบถามที่สำรวจความคิดเห็นสถานที่ข้าราชการต่างๆ
มาประมวลผลจากนั้นจะมีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนอีกครั้งหนึ่งทั่วประเทศ
โดยคาดว่าน่าจะใช้เวลา 3-4 เดือน จึงจะสามารถประกาศบังคับใช้ได้ นอกจากนี้
มาตรการการควบคุมอื่นๆ เช่น
มาตรการทางภาษีสามารถช่วยลดปริมาณการสูบบุหรี่ได้ โดยหากขึ้นภาษี 10%
ของราคาขายปลีกจะช่วยลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ได้ 2-5%
จึงมีความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน
นพ.เสรี กล่าวด้วยว่า ส่วนประสบการณ์ของผู้ประกอบการผับ
บาร์ในประเทศไทย ที่มีการดำเนินการให้เป็นสถานบริการปลอดบุหรี่แล้ว เช่น
ร้านอาหารโรงเบียร์เชียงใหม่เยอรมัน หรือสถานประกอบการในจังหวัดพิษณุโลก
ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และมีผู้ใช้บริการในกลุ่มครอบครัวเพิ่มขึ้นด้วย
นพ.เสรี กล่าวอีกว่า ส่วนสถานการณ์ปัจจุบันมีผู้สูบบุหรี่ทั่วโลก
1,300 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตจากบุหรี่ 1 ใน 10 คน โดยในปี 2020
จะมีผู้สูบบุหรี่เพิ่มขึ้นเป็น 1,700 ล้านคน
และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 6 คน หรือประมาณ 10 ล้านคน/ปี
ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมหาศาล ทั้งนี้แนวโน้มการเสียชีวิตของประชากรโลก ในปี
2020 ประเทศพัฒนาแล้วจะมีการเสียชีวิตจากบุหรี่เพิ่มขี้นจากปี 1990 จำนวน 1.6
ล้านคนเป็น 2.4 ล้านคน ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาเสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 1.5
ล้านคนเป็น 6 ล้านคน ส่วนประเทศไทย มีนักสูบหน้าใหม่ที่เป็นเยาวชน
ไทยปีละประมาณ 200,000 คน จากจำนวนผู้สูบบุหรี่เป็นประจำที่มีอายุ 15 ปี
ขึ้นไป ทั้งนี้ จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2549 พบว่า
กลุ่มเยาวชน ระหว่าง 15-24 ปี มีอัตราการบริโภคยาสูบสูงเป็นอันดับ 3
รองจากกลุ่มคนทำงานอายุ 25-59 ปี
ด้าน
นพ.สมาน ฟูตระกูล หัวหน้ากลุ่มควบคุมบริโภคยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ทั้งนี้
หากมีการดำเนินการบังคับใช้ กำหนดให้สถานบริการบันเทิงเป็นเขตปลอดบุหรี่
ผู้ละเมิดฝ่าฝืนไม่จัดเขตปลอดบุหรี่จะต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
โดยเบื้องต้นจะเป็นการแนะนำ ตักเตือน ก่อนจึงจะทำการจับปรับ
ที่มา-