เดินหน้าบวงสรวง แล้วหนังพระไตรปิฎก “มาร์ค” รับบทพระพุทธเจ้า
เหมือนเดิม ด้านทีมผู้สร้างโต้ข่าวจับเสือมือเปล่ารอทุนรัฐบาลอย่างเดียว
ฟุ้งคนอยากบริจาคเยอะแต่ขั้นตอนยังไม่เรียบร้อย บอกใช้เวลาถ่ายทำ 5 ปี ทุน
1,200 ล้าน งบยังไม่มากไป ด้าน “มาร์ค” วอนอยากให้ลืมภาพอดีตที่เคยถ่าย
หลังรับบทพระพุทธเจ้าจะไม่มีภาพวาบหวิวอีกแล้ว พร้อมทั้งจะวางตัวให้ดีขึ้น
เดินหน้าถ่ายทำไปและบวงสรวงอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อช่วงเช้าของวันนี้
(14) สำหรับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง "พระไตรปิฎก" ผู้อำนวยการสร้างอย่าง
"สนั่นพงษ์ สุขดี"
ที่ก่อนหน้านี้โดนกระแสวิจารณ์อย่างมากถึงเรื่องของงบประมาณที่จะขอจากภาครัฐ
ที่จะใช้จ่ายสูงถึง 1,200 ล้านบาท
แถมยังโดนในเรื่องของการคัดเลือกตัวนักแสดงที่ไม่เหมาะสมกับบทบาทของพระพุทธเจ้าอย่าง
"มาร์ค-สงกรานต์ ทัพมณี"
ทำให้หลายคนสงสัยกันว่างานนี้เห็นที่จะได้สร้างต่อไปหรือไม่
แต่พระผู้ใหญ่ของทางมหาเถรสมาคม และมหามกุฏราชวิทยาลัย
ก็มีมติให้โอกาส “หนุ่มมาร์ค”
ได้เข้ามารับบทนี้โดยให้เหตุผลว่าพอรับได้กับภาพหวือที่ออกมา
และหนุ่มมาร์ค
สามารถเล่นบทบาทนี้ได้ก็ถือว่าไม่มีปัญหาเริ่มการถ่ายทำได้
พอมีโอกาสเจอผู้อำนวยการสร้าง
จึงขอเปิดใจถึงกระแสข่าวดังกล่าวว่าทีมงานมีเงินทุนสำรองอยู่แล้วประมาณ 50
ล้าน ไม่ใช่รอเงินจากรัฐบาลทางเดียว
และยืนยันไม่คิดหาผลประโยชน์จากการทำหนังเรื่องนี้
"กับเรื่องราวทุกอย่างตอนนี้มันลงตัวหมดแล้วนะ
มันไม่น่าจะมีอะไรที่ดูน่าเป็นห่วงแล้ว
ส่วนในเรื่องที่หลายคนบอกว่าที่เรายังไม่ถ่ายทำกันนั้นเป็นเพราะเราไม่มีเงินและ
กำลังรอเงินทุนจากรัฐบาลอยู่นั้นก็ไม่จริงนะ
เพราะเราไม่ได้ไปรออะไรด้วย คือตอนนี้เราก็ถ่ายทำกันไปเรื่อยๆ แล้วนะ
กับเงินที่ใช้ในการถ่ายทำนั้นมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเงินที่เราจะขอจากรัฐบาลเลย
ในส่วนของเงินตรงนั้นเราจะเอามาเพื่อที่จะใช้ในส่วนของการจัดทำวีซีดีเพื่อที่จะเผยแพร่
ให้กับประชาชนชาวไทยได้รับรู้เรื่องราวของหนังเรื่องนี้มากกว่า"
"ส่วนถ้าหากทางรัฐบาลไม่อนุมัติเราก็จะต้องหาวิธีเพื่อที่จะเผยแพร่อยู่ดี
กับเงินทุนสร้างจำนวน 1,200 ล้านบาทนั้นจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มากอะไรนะ
เพราะถ้าลองคิดกันจริงๆ แล้ว คนไทยมี 60 ล้านคน หนังใช้เวลาถ่ายทำ 5 ปี
และถ้าเอามาหารกันจริงๆ ตกคนหนึ่งต่อหัวเดือนละ 3 บาทต่อคนเองนะ
ผมจึงคิดว่ามันไม่มากเลยหากคนไทยจะช่วยกันเผยแพร่ตรงนี้"
"สำหรับงบประมาณ 777
ล้านบาทนั้นตอนนี้เรายังไม่ได้ยื่นเรื่องอะไร เพราะการทำภาพยนตร์ของเรานั้น
ตอนนี้เราก็ถ่ายไปเรื่อยๆ นะ เพราะเรายังมีงบจากการบริจาคอยู่ประมาณเกือบ
50 ล้านบาท แต่จริงๆ แล้วตอนนี้เราก็ยังไม่ได้เปิดรับบริจาคอะไรนะ
แต่ก็มีคนที่อยากทำบุญและอยากจะช่วยเผยแพร่บริจาคมาบ้างแล้ว
เราก็เลยคิดที่จะใช้เงินตรงนี้ไปก่อน”
“เงินรัฐบาลมันต้องรอ เราก็จะรอเงินจากรัฐบาลอยู่นะ
เพราะเงินทั้งหมดเป็นเงินของทุกคน เป็นเงินของสังคมไทย
เพราะพอช่วงที่ฟองสบู่แตก ประชาชนทุกคนก็ต้องช่วยกันใช้เงินคืนต่างประเทศ
ดังนั้นเงินที่เราจะได้จากรัฐบาลนี้ก็เป็นเงินของประชาชนและเราก็คิดว่าเขาก็น่าจะสนับสนุนนะ
เพราะเราทำในสิ่งที่ดีและไม่ได้คิดที่จะไปแสวงหาผลประโยชน์จากตรงนี้เลย"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อไปถึงในส่วนของเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง
"พระไตรปิฎก" ว่าจะออกมาในรูปแบบใดและจะมีการเผยแพร่ออกมาเป็นรูปแบบไหน
ผู้อำนวยการสร้างเปิดเผยต่อไปว่าการสร้างหนังเรื่องนี้นั้นจะมีครบถ้วนในพระไตรปิฎก
และมีแนวโน้มได้ฉายทางฟรีทีวีอีกด้วย
"กับหนังเรื่องนี้ผมอยากจะบอกว่าเนื้อเรื่องทั้งหมดจะเรียงตามลำดับเหมือนของจริงเลย
คือเราจะเรียงจาก พระไตรปิฏก พระวินัยปิฏก พระสุตตันตปิฏก พระอภิธรรมปิฏก
เรียงตามลำดับเลย คือเราอยากให้ทุกคนได้รับรู้
เพราะส่วนใหญ่สังคมไทยจะได้รู้แค่เรื่องราวของชีวประวัติเท่านั้น
เรียนรู้กันเป็นท่อนๆ เท่านั้น แต่ยังไม่มีใครรู้จักและศึกษาอะไรมาก
แต่รับรองว่าถ้าเกิดหนังเรื่องนี้เสร็จออกมาทุกคนจะได้รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วนแน่นอน"
"ส่วนเรื่องของการเผยแพร่นั้นเราก็คิดกันเอาไว้ 3 อย่างนะ คือ
การเอาหนังมาฉายทางฟรีทีวี ทำเป็นวีซีดีและทางโรงภาพยนตร์ทั่วไป
แต่ในเรื่องของแผ่นวีซีดีนั้นต้องฝากบอกด้วยว่าเราไม่ได้กลัวนะที่จะโดนเอาไปไรท์อย่างในปัจจุบัน
แต่อยากจะบอกว่าไรท์ได้นะ
เพราะเราถือว่าเป็นการช่วยเผยแพร่ แต่อยากจะบอกว่าอย่าตัดต่ออะไรนะ
เพราะเดี๋ยวจะผิดไปจากเดิม
ส่วนในเรื่องของการที่หลายคนจับตามองในเรื่องนี้นั้นผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องดีนะ
เพราะพระพุทธศาสนาเป็นของทุกคน
การจับตามองก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกว่าเราทำผิดหรือถูกอย่างไรเราก็จะพร้อมรับเสียงวิจารณ์ตรงนี้"...