![](https://images.dmc.tv/www/images/news_picture/V-Vachalamaetee.jpg)
ทั้งผู้สนใจ และไม่สนใจธรรม
ไม่มีใครไม่รู้จักพระภิกษุหนุ่มที่อธิบายธรรมได้อย่างแจ่มแจ้ง และชัดเจน
ผู้ก่อให้เกิดกระแส “ธรรมะอินเทรนด์” ที่มีนามว่า ว.วชิรเมธี
เจ้าของผลงานเขียนระดับ Best Seller หลายต่อหลายเล่ม
ที่รู้จักกันดีคงจะได้แก่ หนังสือที่มีชื่อชุดว่าธรรมะประยุกต์
ซึ่งประกอบด้วย ธรรมะติดปีก ธรรมะดับร้อน ธรรมะหลับสบาย ธรรมะบันดาล
ก่อนที่ท่าน ว.วชิรเมธี
จะเป็นที่รู้จักของประชาชนคนไทยแทบทั้งประเทศ
ท่านเริ่มชีวิตก่อนการเป็นนักเทศน์ด้วยการ”ปักกลดกลางป่ากระดาษ”
เป็นคอลัมน์นิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์ และนิตยสารต่างๆมากมาย
เพื่อต้องการหาคำตอบให้กับตัวท่านเองว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก
หรือธรรมะเป็นสิ่งที่ง่ายแต่ถูกทำให้เข้าใจยาก
พร้อมลงมือพิสูจน์ด้วยการเขียนงาน ธรรมะติดปีก และพบคำตอบว่า
ธรรมะเป็นสิ่งที่ง่ายมาตั้งแต่ต้น
แต่ถูกทำให้ยากด้วยกระบวนการเผยแผ่ธรรมะที่ขาดทักษะ
หรือความชำนาญของพระธรรมทูตทั้งหลายนั้นเอง
“ทีแรกก็กลัวอยู่ว่าเราจะตีฝ่าวงล้อมนำธรรมะออกนอกกำแพงได้อย่างไร
ก็คิดหาวิธีอยู่ อาตมาคิดว่า
สิ่งสำคัญที่ทำให้คนเข้าถึงธรรมะยาก คือ
กำแพงแห่งภาษา และกำแพงแห่งท่าทีในการเสนอธรรมะ เพราะพระมักจะแสดงธรรมด้วย
อารามิกโวหาร คือภาษาพระที่ใช้เฉพาะกันในแวดวงของคนที่อยู่วัด
และคนใกล้วัดเท่านั้น ซึ่งเมื่อนำเสนอออกสู่ชาวโลกแล้ว
มันกลายเป็นภาษาที่ไม่สามารถสื่อสารอะไรได้มากนัก”
เมื่อภาษาที่ใช้ในการนำเสนอธรรมะแทนที่จะเป็นเครื่องมือกลับกลายเป็นกำแพงเสียเอง
ท่านว.วชิรเมธีจึงคิดว่าก่อนอื่น ประการแรก ต้องทำลายกำแพงแห่งภาษา
ด้วยการเริ่มงานทดลองรับเป็นคอลัมนิสต์ที่หนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์
ปรากฏว่ามีคนนิยมชมชอบมาก เขียนอยู่หลายปีไม่มีใครรู้ว่าเป็นพระเขียน
ท่านจึงค้นพบความจริงประการหนึ่งว่า
การนำเสนอธรรมะถ้าหากจับประเด็นได้แล้วว่า ธรรมะที่แท้จริงคืออะไร
ผู้นำเสนอไม่จำเป็นต้องเป็นพระ เป็นใครก็ได้ ธรรมะจะออกจากปากพระ
หรือออกจากปากแม่ค้าข้างถนน หากเป็นธรรมะที่แท้จริงมันก็คือ
ความจริงที่เป็นสากล ให้ดับทุกข์ได้ พอค้นพบอย่างนี้ท่านจึงคิดว่า
ขณะนี้ท่านได้ทำลายกำแพงแห่งภาษาลงได้แล้ว
ประการที่สอง กำแพงแห่งท่าที ท่าทีของพระในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
แต่เดิมนั้นพระจะแสดงธรรมเฉพาะก่อต่อเมื่อได้รับการอาราธนา
และบริบทในการนำเสนอธรรมะส่วนมากก็จะเป็นวัด แต่ท่าน ว.วชิรเมธี
มองแล้วว่า
ถ้าอยู่ในวัดให้คนมานิมนต์แล้วจึงแสดงธรรม
นั่นเป็นการเผยแผ่ธรรมะในเชิงรับล้วนๆ
ท่านคิดว่าจะมาเผยแผ่ธรรมะในเชิงรับแบบเดียวไม่ได้ จำเป็นต้องรุก
และการรุกนั้นจำต้องสร้างคติขึ้นมาใหม่ว่า ต้องทำลายกำแพงแห่งท่าทีเดิม
คือนั่นต้องสร้าง Active Buddhism คือพระพุทธศาสนาเชิงรุก
ท่าน ว.วชิรเมธี อธิบายว่า การจะเป็น Active Buddhism
ได้พระต้องปรับภาพลักษณ์ของตัวเองใหม่นั่นต้องเป็น active Buddhist monk
หรือ active Buddhist missionary
โดยเรียกท่าทีใหม่แห่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของตนเองว่าเป็น “พุทธก้าวหน้า
พระก้าวนำ” active Buddhism and active Buddhist missionary
คือแทนที่จะนั่งอยู่กับวัด ต้องบุกไปทำงานทุกหนทุกแห่งเท่าที่โอกาสเปิดให้
และเท่าที่ญาติโยมอาราธนา
ด้วยท่าทีแบบนี้นี่เองคนจึงรู้จักท่านในอีกชื่อหนึ่งว่า “ธรรมะติดปีก”
“ถามว่าทำไมหนังสือชุดธรรมะประยุกต์เล่มแรกจึงชื่อว่าธรรมะติดปีก
เพราะต้องการขยายแนวคิด พุทธต้องก้าวหน้า พระต้องก้าวนำ
พุทธก้าวหน้าหมายความว่าศาสนาต้องถูกนำไปเครื่องมือในการพัฒนา
ไม่ใช่ถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการจับผิดคน
ทุกวันนี้เราใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือในการจับผิดคน ฉะนั้น
เมื่อพูดถึงศาสนาจึงกลายเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง น่าเบื่อ
ไม่อยากเข้าไปยุ่ง
แท้จริงพุทธศาสนาควรถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์พัฒนาสังคม
พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเสรีภาพแต่
ชาวพุทธจำนวนหนึ่งกำลังทำให้
พระพุทธศาสนาเป็น
Untouchable Region เป็นศาสนาที่ใครแตะไม่ได้
ซึ่งหากสภาพอย่างนี้ยังดำเนินต่อไป
ต่อไปพุทธศาสนาจะถูกจำกัดตัวให้แคบเข้าแล้วกลายเป็นศาสนาที่น่าเบื่อ
ไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
นี่คือท่าทีของชาวพุทธที่ปฏิสัมพันธ์ต่อพุทธศาสนาในทางที่ผิด
และก่อให้เกิดพุทธศาสนาเชิงรับ หรือ Negative Buddhism
คือศาสนาที่ไม่เพียงแต่ไม่แก้ปัญหา แต่ยังกลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง
อาตมาต้องการตีฝ่าวงล้อมนี้ออกไป การทำเช่นนี้ได้ต้องทำ 2 อย่าง
1.ต้องทำลายกำแพงแห่งภาษา ใช้ภาษาในการเผยแผ่ที่เข้าใกล้ เข้าใจ
เข้าถึง ได้อย่างง่ายดายที่สุด แต่มีความลึกซึ้งในความง่ายและความงดงามนั้น
2.ตัวพระเองต้องประยุกต์แทนที่จะนั่งอยู่ที่วัด
ต้องรุกคืบไปข้างหน้าไปทำงาน ที่ใดมีคนที่นั่นมีธรรม อาตมาถือหลักอย่างนี้
ก็เดินออกไปทำงาน
วิธีการทำงานทั้งหมดก็เรียกว่าเป็นวิธีการทำงานในแบบธรรมะติดปีก
ซึ่งตอนนี้ก็มีคนนำออกมาแปลให้ร่วมสมัยมากขึ้นว่า ธรรมะเดลิเวรี่
ซึ่งที่จริงก็คือชุดความคิดเดียวกัน
อาตมาเริ่มทำงานในลักษณะนี้มาตั้งแต่หนังสือได้รับการตีพิมพ์
ดังนั้นธรรมะติดปีกไม่ได้หมายความแคบๆแค่ว่าติดปีกออกจากวัดไปหาคนนั้น
คนนี้ไม่ใช่
หมายความว่าธรรมะควรได้รับการเผยแผ่ออกไปให้กว้างขวางทั่วทั้งโลก
เผยแผ่ออกไปให้ครองโลก ทำได้อย่างนี้เมื่อไรนั่นคือธรรมะติดปีก
และการที่จะทำได้เช่นนี้พระก็ต้องทำงานในเชิงรุกตลอดไป”
ถึงเวลาของ
ธรรมะ แอมบาสเดอร์
จากสภาพแวดล้อมทางสังคม
และเศรษฐกิจของเมืองไทยที่ตกอยู่ท่ามกลางภาวะวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อเนื่องยาวนาน
ท่านพุทธทาสเคยพูดไว้ว่า
เมื่อไหร่ก็ตามที่สังคมประสบวิกฤตเมื่อนั้นเป็นยุคทองของฝ่ายธรรมะ ฉะนั้น
ถ้าหนังสือธรรมะได้รับความนิยมก็สะท้อนความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่า
สังคมกำลังวิกฤต เพราะหากไม่วิกฤตคนก็ไม่แสวงหาธรรม เมื่อคนแสวงหาธรรม
และพระรู้ธรรม
นั่นคือยุคทองของพระที่จะนำธรรมะออกมาเป็นเข็มทิศนำทางให้กับสังคม
“แต่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่าในเวลาที่คนกำลังเรียกร้องต้องการธรรมะอย่างที่สุด
บุคลากรด้านการทำงานเผยแพร่พระพุทธศาสนากลับมีไม่พอ
อาตมาเชื่อว่าธรรมะในพุทธศาสนาเป็นธรรมะที่ประเสริฐมาก
แต่ที่เราขาดคือพระธรรมทูตที่มากความสามารถ เราไม่ค่อยมีธรรมะ
แอมบาสซาเดอร์ หรือพระธรรมทูต แต่เรามีอวิชชา แอมบาสเดอร์
เต็มไปหมดในประเทศไทย” ท่าน ว.วชิรเมธี อธิบาย
ปัจจุบันพุทธบริษัท หรือ
บริษัทที่พระพุทธเจ้าตั้งขึ้นขาดหน่วยงานที่สำคัญที่สุดคือ ขาดธรรมะ
แอมบาสเดอร์ เพราะทุกวันนี้มีแต่ อวิชชา แอมบาสเดอร์ ไปปลุกเสกลงเลขยันต์
รดน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก สร้างจตุคาม ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์
ไม่ใช่การส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่เป็นการการดิสเครดิตพระพุทธเจ้า
เป็นการกระทำที่สร้างความงมงายในนามพระพุทธศาสนา
ดังจะเห็นได้ว่าเวลานี้วัดจำนวนมากในไทยได้เคลื่อนย้ายสถานะตัวเองจาก
วัดคือศูนย์กลางทางปัญญาของชุมชน กลายเป็นศูนย์กลางทางความเสื่อม
วัดในไทยเกินกว่าร้อยแห่งในเวลานี้ได้เปลี่ยนสถานภาพจากวัดไปเป็นเทวาลัย
คือที่สิงสถิตของเทพ
โดยที่พระสงฆ์ไม่น้อยก็ได้เปลี่ยนสถานภาพของตนเองจากพระซึ่งเป็นผู้รู้
ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน กลายไปเป็นพราหมณ์
ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างคนกับเทพรอรับเครื่องเซ่น ผลประโยชน์
สิ่งที่เผยแพร่คือคุณวิเศษเวทย์ไสย เหล่านี้เป็นมิจฉาทิฐินอกพุทธศาสนา
แต่กำลังได้รับการนำเสนอในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนา
5 ปัจจัยพระธรรมทูตที่ดี
พระที่จะทำหน้าที่เป็นธรรมะ แอมบาสซาเดอร์ หรือทูตแห่งธรรมนี้
จะต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อย 3-4 ประการ 1.มีความรู้ดี
หมายความว่ามีความรู้ทางธรรมแม่นยำ ลึกซึ้ง ถูกต้อง ถ่องแท้
และมีความรู้ทางโลก คือมีความรู้ในศาสตร์ร่วมสมัย หรือ Modern Science
เช่นเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ อักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์
พอสมควรแก่การจะนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการอธิบายธรรม
2.มีความประพฤติดี ความรู้ดีทำให้เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต
แต่ความประพฤติดีจะทำให้เป็นประจักษ์พยานว่า ความรู้ที่รู้ดีนั้น
ทำให้ชีวิตดีงามขึ้นจริงๆ หากมีความรู้ดี แต่ความประพฤติทราม
คนก็จะไม่ยกย่องนับถือ หากมีความรู้ดีด้วย มีความประพฤติดีงามด้วย
คนจะยอมรับนับถือ
เพราะจะเป็นประจักษ์พยานว่าความรู้ที่ดีนั้นทำให้มีชีวิตที่ดีจริงๆ
3.ต้องมีความกตัญญู หมายความว่าเมื่อบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา
พระอยู่ได้เพราะข้าวปลาอาหารจากชาวบ้านตักบาตรทุกเช้า
พระได้กินอิ่มนอนอุ่นเพราะชาวบ้านให้การอุปถัมภ์ ดังนั้น
จึงต้องมีความกตัญญูรู้คุณชาวบ้าน
แต่ไม่ได้หมายความว่าทำตัวเป็นข้าช่วงใช้ของชาวบ้าน
แต่เราต้องเอาธรรมะไปแจกจ่ายชาวบ้านเป็นการตอบแทนพระคุณชาวบ้าน
หลักการอย่างนี้เราเรียกว่า บ้านให้ทาน พระให้ธรรม หรือบ้านอวยทาน
พระอวยธรรม
“นี่เป็นหลักแห่งการปฏิสัมพันธ์ที่ถูกต้องระหว่างบ้านกับวัด
แต่ทุกวันนี้หลักการนี้มันเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าบ้านให้เงิน
พระให้เครื่องรางของขลัง
ความสัมพันธ์ในระดับที่เรียกว่าเป็นความสัมพันธ์แบบบุญกุศล
เปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ที่เรียกว่าผลประโยชน์
ถ้าพระกตัญญูต่อชาวบ้านพระต้องสอนสิ่งที่ถูกต้องให้ชาวบ้าน
แต่ทุกวันนี้พระจำนวนไม่น้อยอกตัญญูต่อชาวบ้าน สิ่งที่ควรสอนไม่สอน
สิ่งที่ไม่ควรสอนเอามาสอน เราต้องสอนธรรมะที่แท้จริงให้กับชาวบ้าน
ทำได้อย่างนี้จึงเรียกว่าเป็นพระดีที่น่ากราบไหว้”
4.จะต้องมีจิตสำนึกสาธารณะ
พระอยู่ในสังคมต้องร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ไม่ใช่สังคมให้พระกิน
ให้พระใช้ ให้อยู่อย่างสุขสบาย
เวลาสังคมมีทุกข์กลับแยกตัวออกมาต่างหาก แล้วบอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์
พระต้องบอกตัวเองเสมอว่าเราอยู่ในสังคม เป็นองคาพยพหนึ่งของสังคม
ถ้าสังคมมีความทุกข์นั่นก็คือทุกข์สัจของสังคม
ทำอย่างไรพระจะช่วยสังคมแสวงหาทางดับทุกข์ พระต้องมี Public mind
หรือจิตสาธารณะ ถ้าสังคมประสบทุกข์
พระจะต้องร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแสวงหาทางดับทุกข์ให้สังคมด้วย
5.ตัวนี้สำคัญที่สุด ต้องมีความกล้าหาญทางจริยธรรม
สิ่งใดที่ผิดสิ่งใดที่ไม่ชอบ
สิ่งใดที่สวนทางกับธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้
พระต้องกล้าหาญหยัดยืนออกมาชี้ผิดชี้ถูกเป็นเข็มทิศนำทางให้กับสังคมได้เห็นว่า
สิ่งนี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน สิ่งนี้ขัดแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้า
ถ้าเห็นแก่คนแล้วทอดทิ้งธรรมก็ยังเป็นพระที่ดีไม่ได้ ฉะนั้น
เมื่อไรก็ตามที่คนขัดแย้งกับธรรม พระต้องเลือกธรรมแล้วทิ้งคน
การทำเช่นนี้จะต้องใช้ความกล้าหาญทางจริยธรรมอย่างยิ่งยวด
“ฉะนั้น พระที่จะเป็นธรรมะ
แอมบาสเดอร์หรือเป็นพระธรรมทูตที่แท้จริงจะต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้
ถ้ามีก็เป็นพระที่ดีได้
พระจะต้องหลีกจากการเป็นอวิชชา แอมบาสเดอร์ มาเป็นธรรมะ แอมบาสเดอร์
ให้ได้ ถ้าทำสำเร็จพระพุทธศาสนาในเมืองไทยก็จะมีอนาคต
ถ้าทำไม่สำเร็จพุทธศาสนาในไทยจะเหลือไว้แต่โครงสร้างภายนอก
แต่เนื้อในเป็นไสยศาสตร์มากเท่านั้น”
ยุทธศาสตร์จัดการ
พุทธศาสนาแบบใหม่
การที่พุทธศาสนาของเราไม่สามารถเผยแผ่ในเมืองไทยได้อย่างมีพลัง
มีน้ำหนัก มีความหมายต่อสังคมก็เพราะเราขาดการจัดการ
ทั้งที่มีวัดอยู่ทุกแห่งในหมู่บ้านในประเทศไทย มีพระสงฆ์กว่า 3 แสนรูป
ถ้ามองในแง่องค์กรพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นองค์กร
ที่มีสำนักงานเยอะที่สุดในประเทศ
เพราะมีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน
แล้วถามว่าทำไมวัดทุกวัดไม่ทำหน้าที่เป็นอุทยานแห่งการศึกษาก็เพราะขาดการจัดการ
พระสงฆ์จำนวนไม่น้อยทำหน้าที่เป็นตัวแทนของอวิชชา หรืออวิชชา
แอมบาสเดอร์ มีพระจำนวนมากตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งทางหนังสือพิมพ์
และสื่อมวลชน
โดยเฉลี่ยเดือนละครั้งสองครั้งเป็นประจำทั้งปี
นี่คือการทำลายภาพลักษณ์เชิงบวกของพระพุทธศาสนาให้สูญหายไป
“เห็นหรือไม่ว่าเรามีวัตถุดิบอยู่ มีเครื่องมืออยู่ มีองค์กรอยู่
แต่เราขาดการบริหารการจัดการที่ดี พอขาดการบริหารการจัดการที่ดี
องค์กรหรือเครื่องมือที่เรามีอยู่ทั้งหมด
แทนที่จะเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาก็กลายเป็นเครื่องมือในการสร้างปัญหาเสียเอง
ฉะนั้น หากคณะสงฆ์ไทยหวังจะก้าวไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้มีความหมาย
มีคุณค่า ถึงขั้นเป็นทางออกหนึ่งในการปฏิวัติสังคมไทยให้รุ่งโรจน์ในอนาคต
สมควรอย่างยิ่งต้องมีการบริหารที่ดีงาม และถูกต้อง และร่วมสมัย”
แต่ถ้ามองถึงวิธีการจัดการส่วนตนแล้ว ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวว่า
วางตนเองเหมือนเป็นซีอีโอขององค์กร
จากนั้นก็มีคนอื่นเข้ามาร่วมในการบริหารจัดการ เช่น
ลูกศิษย์ของท่านที่เป็นพระรูปคนหนึ่งดูแลเรื่องสุขภาพ
ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งดูแล บริหารจัดการเรื่องคิวงานทั้งหมด
โดยท่านไม่ต้องมานั่งรับโทรศัพท์เอง
เนื่องจากในแต่ละวันมีญาติโยมโทรศัพท์มานิมนต์ไม่ใช่แค่วันละ 10
งานบางวันเป็น 200-300 งาน จะต้องใช้คนรับโทรศัพท์ถึง 3 คน
ซึ่งเป็นอย่างนี้มา 4-5 ปีแล้ว
ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งดูเรื่องเทคโนโลยี การบรรยายของท่านว.วชิรเมธี
แต่ละครั้งมีการบันทึกภาพ บันทึกเสียงเอาไว้ทั้งหมด
อีกคนหนึ่งทำหน้าที่ดูแลงานเอกสารทั้งหมด แฟ็กซ์ที่ส่งเข้ามา
งานล่วงหน้าที่จะต้องไปสอน ไปบรรยาย ถ้าเป็นงานธรรมดาต้องแจ้งล่วงหน้า 3
วัน ถ้าเป็นงานวิชาการต้องทำหลักสูตรต้องแจ้งล่วงหน้า 1 อาทิตย์
“เห็นไหมว่างานในสำนักงานของอาตมาซึ่งเป็นการจัดองค์กรแบบหลวมๆ
ก็สามารถดำเนินไปได้
บ่อยครั้งที่มีคนมาคุยกับอาตมาคิดว่ามีคนทำงานกับเป็นสิบ
แต่เอาเข้าจริงใช้คนแค่ 3-4 คนเท่านั้น แต่เราทำงานได้
เพราะเราใช้การบริหารจัดการ”
SWOT
พุทธศาสนา
ตัวแรก STRENGTH ประชาชนคนไทย 95%
เป็นชาวพุทธนี่คือจุดแข็งทุกหมูบ้านมีวัด ต่อมา WEAKNESS ทุกหมู่บ้านมีวัด
แต่ว่าแต่ละวัดหาพระธรรมทูต หรือ ธรรมะ แอมบาสเดอร์ ยากมาก
โดยมากมีแต่พระที่มีการศึกษากระพร่องกระแพร่งศักยภาพไม่พอที่จะเป็นผู้นำทางปัญญา
และจุดอ่อนอันที่สองคือ
การบริหารการคณะสงฆ์นั้นเป็นการบริหารเชิงรับไม่ใช่เชิงรุก
แทนที่คณะสงฆ์จะผลิตพระธรรมทูตออกมาเยอะ
แต่กลับปล่อยให้พระธรรมทูตเกิดขึ้นเองตามยถากรรม
ในขณะที่สังคมต้องการธรรมะแต่ไม่มีพระธรรมทูตออกมาเผยแผ่พระพุทธศาสนา
มีแต่พระเกจิอาจารย์ออกมาดิสเครดิตพระพุทธศาสนาอยู่ทุกวัน
และใช้ศักยภาพทั้งหมดซื้อสื่อโฆษณากว่า 4 พันล้าน
นั่นคือศักยภาพเชิงลบทั้งหมดซึ่งทำโดยพระเกจิอาจารย์
เห็นหรือไม่ว่าเป็นจุดแข็งด้านการตลาด
แต่เป็นจุดอ่อนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
เพราะทำให้พุทธศาสนาได้รับการดูหมิ่นจากปัญญาชน
แล้วคนเหล่านั้นมองเห็นว่าพระไม่เห็นดีกว่าเราตรงไหน ดีแต่ทำมาค้าขาย
ดีแต่รดน้ำมนต์พ่นน้ำหมาก ดีแต่ปลุกเสกลงเลขยันต์
แล้วจุดอ่อนต่อมาก็คือ
ทุกครั้งที่มีข่าวพระเสื่อมเสียไม่มีหน่วยงานไหนออกมาบริการทางวิชาการ
ให้ชาวพุทธเห็นเลยว่า
ที่เสื่อมเสียนั้นเป็นเพราะอะไร ที่ถูกคืออะไร เราก็ปล่อยให้ถูกโจมตี
สื่อมวลชนแทนที่เป็นเครื่องมือในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
กลับกลายเป็นเครื่องมืออัดพระรายวัน
นี่คือจุดอ่อน
ต่อไป OPPORTUNITY
หรือโอกาสในการเผยแผ่พระพุทธศาสนามีมากน้อยแค่ไหน ท่านว.วชิรเมธี
เชื่อว่าเมื่อไรที่สังคมวิกฤต
นั่นคือโอกาสที่สังคมเรียกร้องต้องการธรรมะในอัตราที่เข้มข้นและสูงมาก
โอกาสของเรามาถึงแล้วนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2540
แต่โอกาสนั้นมีพระสงฆ์กี่รูปที่มองเห็นแล้วลุกออกมาทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก
ที่เรียกกันว่า
ACTIVE BUDDHISM ACTIVE BUDDIST MISSIONARY
มีพระสงฆ์ไม่กี่รูปเท่านั้นที่มองเห็นโอกาส
“สำหรับอาตมาเวลาสังคมไทยตกอยู่ท่ามกลางวิกฤต
อาตมามองเห็นมันนี่แหละคือโอกาสที่คนเรียกร้องต้องการธรรมะ ฉะนั้น
เราต้องลุกออก กระโดดออกมาใช้สื่อมวลชนทุกรูปแบบในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
แต่พระสงฆ์จำนวนไม่น้อยไม่ได้คิดแบบอาตมา
คิดว่าพอสังคมง่อยเปลี้ยมองว่านี่คือโอกาสที่จะขายเครื่องรางของขลัง
ต่างฝ่ายต่างมองเห็นโอกาส
แต่ใช้โอกาสนั้นประหนึ่งใช้เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกเพื่อพยุงพระพุทธศาสนา
แต่อีกฝ่ายใช้เพื่อทำมาหากิน”
สุดท้าย TREAT คือสิ่งที่คุกคามพระพุทธศาสนาอยู่ทุกวันในทุกวันนี้
อะไรคือสิ่งที่คุกคาม ปัจจัยภายในคือ ภาวะด้อยการศึกษาคณะสงฆ์เอง
ซึ่งเป็นสิ่งที่คุกคามพระพุทธศาสนาทำให้ไม่มีผู้นำทางจิตวิญญาณออกมาทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ให้เท่าทันยุคสมัย
ในขณะที่ประชาคมโลกเรียกร้องต้องการผู้นำทางจิตวิญญาณที่รู้เท่าทันทั้งโลกฝ่ายธรรม
และโลกฝ่ายคฤหัสถ์
แต่เรากลับผลิตได้แค่พระเกจิอาจารย์มาส่งต่อให้กับชาวโลก
มันไม่สอดคล้องกัน เราขาดพระธรรมทูตที่มีความสามารถให้กับโลก
ขาดการบริหารจัดการที่ดี ไม่ว่าจะมีปัญหาสาหัสหนักหน่วงแค่ไหนก็ตาม
องค์กรบริหารคณะสงฆ์ก็ไม่เคยมีการปรับท่าทีอะไรเลย
ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรม
ปัจจัยภายนอกที่คุกคามพระพุทธศาสนาก็คือ
1.ลัทธินิยมต่างๆที่ไหลบ่าเข้ามาสู่ประเทศไทย
ตอนนี้ไทยเปรียบเสมือนหนึ่งเรือนเพาะชำทางศาสนา
ลัทธินิกายต่างๆที่นิยมในทั่วโลกหาดูได้ในเมืองไทยแทบทั้งหมด
2.ศาสนาต่างๆที่พยายามแย่งศาสนิกชนจากพุทธศาสนาไปเป็นศาสนิกชนของศาสนาเขาเอง
3.ลัทธิประชาธิปไตยที่มาพร้อมกับเสรีภาพพื้นฐานทางศาสนา
เสรีภาพพื้นฐานทางเพศ
เหล่านี้กำลังคุกคามการสอนศีลธรรมของพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ฉะนั้น
พระสงฆ์ที่สอนพุทธศาสนาในลักษณะว่าหากคนมีศีลแล้วสังคมไทยจะดีเอง
นี้เป็นฐานคิดชุดเดียวกับที่เราเคยใช้ได้ผลในยุคพันปีที่แล้ว
คือยุคกรุงสุโขทัย
ทุกวันนี้ศีลธรรมในระบบไตรภูมิพระร่วงซึ่งง่ายๆไม่ซับซ้อน
เป็นศีลธรรมชุดเดียวกับทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ไม่เพียงพอที่จะพยุงสังคมไทยให้เป็นสังคมที่ศีลธรรม และจริยธรรมได้
เพราะสังคมไทยถูกรุกรานไปด้วยชุดความเชื่อที่หลั่งไหลมาจากสารทิศทุกแห่งทั่วโลก
หากพระสงฆ์ไม่ตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้สิ่งที่คุกคามสถาบันสงฆ์ไทยให้ง่อยเปลี้ยเสียขาลงไป
เท่านั้นยังไม่พอ
สื่อมวลชนจำนวนมากได้ยึดพื้นที่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปเป็นพื้นที่ในการเผยแผ่กิเลส
แล้วมีพระกี่รูปที่กล้าเข้าไปใช้สื่อมวลชนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
เมื่อเครื่องมือเหล่านี้ไม่ถูกใช้
มันก็ถูกใช้ไปเป็นเครื่องมือในการเผยแผ่ความงมงาย
เป็นช่องทางในการกระตุ้นคนให้มีกิเลสยั่วให้อยาก หลอกให้ซื้อ ยั่วให้อยาก
และหลอกให้บริโภค พอพระรู้ไม่เท่าทันตรงนี้
สื่อมวลชนก็กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่คุกคามความมั่นคงในพระพุทธศาสนาของสังคมไทยเสียเอง
“พอทำ SWOT อาตมาก็เห็นว่าพุทธศาสนามีทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส
และสิ่งคุกคาม
พอเราเห็นอย่างนี้แล้วอาตมาก็มาตั้งปรัชญาในการทำงานของอาตมาว่า เอาล่ะ
เราต้องทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเชิงรุก นั่นคือธรรมะต้องติดปีก
อยู่นิ่งๆไม่ได้ ต้องเป็นไดนามิก ธรรมะ
หรือพุทธศาสนาจะทำงานในลักษณะตั้งรับอีกต่อไปไม่ได้ มันต้องเป็น Active
Buddhism พระอยู่ในวัดต่อไปไม่ได้ เพราะคนไม่มีเวลาเข้าวัด
โลกยุคอุตสาหกรรมคนต้องออกจากบ้านไปทำงาน พระต้องเป็น Active Buddhist
Missionary นี่คือที่มาของธรรมะติดปีกทั้งหมด”
ที่มา-