ถึงเวลาอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์กราฟิกระดับโลกหันมามองเมืองไทยแล้วจริงหรือไม่
พบคำตอบจากปากสองมือ CG
เบื้องหลังงานฮอลลีวูดที่หันมาก่อตั้งบริษัทด้านคอมพิวเตอร์กราฟิกในประเทศไทย
หนึ่งคือสุภณวิชญ์ สมสมาน หรือ “Juck Somsaman”
ผู้ปลุกปั้นเจ้าเหมียวสุดแสบ Garfield และน้องหมาฮากระจาย Scooby-Doo
ที่ตัดสินใจหวนคืนรังหลังโกอินเตอร์ในสหรัฐฯตลอด 16 ปีที่ผ่านมา
ส่วนอีกหนึ่งคือสตีเฟน รีเกอร์ลัสส์
ผู้สร้างโปรแกรมรังสรรค์เทคนิคพิเศษในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Lord of The
Ring ซึ่งทิ้งนิวซีแลนด์บ้านเกิดมาก่อตั้งบริษัท Massive Softwere
สาขาประเทศไทย
แม้แรงบันดาลใจที่ทำให้ทั้งสองคนเลือกตั้งบริษัทในเมืองไทยจะแตกต่างกัน
แต่บทสรุปที่เราได้รับจากการพูดคุยกับสองนักคอมพิวเตอร์กราฟิกระดับโลก
คือคำว่า
"คนไทยทำได้"
****หมดสมัยโกอินเตอร์?
สุภณวิชญ์ สมสมาน หรือ“จั๊ก" ใช้เวลา 16 ปีสร้างชื่อ "Juck
Somsaman” จนเป็นที่รู้จักในวงการซีจีอเมริกัน ด้วยผลงานภาพยนตร์ระดับ Box
office กว่า 30 เรื่อง เช่น Scooby-Doo และ Garfield ทั้ง 2 ภาค, Superman
Return, Narnia และ Night at the Museum
แม้ตัวเองจะโกอินเตอร์นานหลายปีแต่จั๊กยืนยันว่าความคิดโกอินเตอร์เป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้วในขณะนี้
"เราไม่ต้องไปหาฮอลลีวูด
แต่ฮอลลีวูดต้องมาหาเรา ความคิดโกอินเตอร์ล้าสมัยไปแล้ว
เทคโนโลยีทำให้เราคิดแบบนี้ได้ ทุกอย่างอยู่ที่ความตั้งใจ ความมุ่งมั่น"
แม้จะกลับมาก่อตั้งบริษัทในเมืองไทยตั้งแต่ต้นปี
แต่เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทำให้จั๊กรู้สึกว่าตัวเองยังอยู่สหรัฐฯ
ยังสามารถติดต่อเพื่อนร่วมงานต่างชาติได้จากโปรแกรมแชต
และสามารถโทรศัพท์พูดคุยในราคาไม่แพงได้เพราะบริการโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต
สิ่งเหล่านี้ทำให้จั๊กมองว่าเทคโนโลยีทำให้คนทำงานจากที่ใดก็ได้ในมุมโลก
ต่างกับในอดีตที่วงการ CG บ้านเรายังไม่มีทิศทางไป
"ตอนไปสหรัฐฯเมื่อ 18 ปีที่แล้ว ไม่มีใครในเมืองไทยให้โอกาส เราต้องไปสู้"
จั๊กเล่าว่าหลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่คณะครุศาสตร์ (ศิลปะ)
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้ทำงานเป็นช่างภาพอิสระก่อนตัดสินใจบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกา
เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาโท
โดยตั้งใจไปเรียนด้านภาพยนตร์
แต่ด้วยความชอบจึงเปลี่ยนไปเรียนสาขาคอมพิวเตอร์กราฟิก
ศาสตร์แขนงใหม่ในขณะนั้นที่ School of Visual Arts, New York สาขา Visual
Effect จากนั้นจึงปักหลักที่ลอสแองเจลลิส
หลังจากที่ผลงานวิทยานิพนธ์หนังสั้นคอมพิวเตอร์กราฟิกของจั๊กเข้าตาบริษัท
Visual Effect นาม Rhythm & Hues Studios อย่างจัง
จุดเปลี่ยนที่ทำให้จั๊กตัดสินใจหวนคืนรัง
คือการได้รับมอบหมายให้พัฒนาทักษะและฝีมือพนักงานของ Rhythm & Hues
Studios สาขาเมืองมุมไบ ประเทศอินเดียกว่า 150 คน ควบคู่ไปกับการดูแลการทำ
CG ภาพยนตร์เรื่อง Garfield 2 และ Night at the Museum ซึ่งใช้เวลา 8
เดือนในอินเดีย รับผิดชอบการทำงานควบคู่ไปกับการฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคนิค
“ผมฝึกคนอินเดียได้ จึงคิดจะกลับมาฝึกคนไทย เพื่อถ่ายทอดเทคนิคต่างๆเหมือนกับที่ทำจนประสบผลสำเร็จมาแล้วที่อินเดีย” จั๊กเล่าถึงแรงดลใจในการตั้งบริษัท The Monk Studio ขึ้นในเมืองไทยเมื่อต้นปี "ผมกลับมาทำสิ่งที่อยากทำ มาเปิดประตูให้คนที่อยากทำ CG ตามมา"
กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ใช่ว่าทางจะโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป
งานทุกงานเมื่อได้ลงมือกระทำแล้วมักต้องพบกับ อุปสรรคแทบทั้งนั้น
เช่นเดียวกับจั๊กที่พบว่า ปัญหาใหญ่ของบริษัทไม่ได้อยู่ที่คู่แข่ง
แต่อยู่ที่มูลค่าซอฟต์แวร์ CG แสนแพงในเมืองไทย
“บริษัท CG ไทยไม่ได้แย่งตลาดกันเอง มีแต่หาทางร่วมมือกัน
เราโดนมาเลเซีย-อินโดนีเซียตัดราคามากกว่า” จั๊กเล่า
“อุปสรรคใหญ่คือลิขสิทธิ์ของซอฟต์แวร์ CG ในเมืองไทยแพงมาก
เทียบในแง่ของสัดส่วน อย่างที่อเมริกา ราคาซอฟต์แวร์จะเทียบเท่ากับ 5 %
ของเงินเดือนคนทำ CG แต่สำหรับของไทยอยู่ที่ 40–50% ของเงินเดือน
เราแก้ปัญหาจุดนี้ด้วยการหันไปหาซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส
หลีกเลี่ยงหรือใช้ซอฟต์แวร์ราคาแพงให้น้อยที่สุด"
จั๊กไม่เปิดเผยทุนก่อตั้งบริษัท
แต่ระบุว่าใช้คอมพิวเตอร์พีซีระบบปฏิบัติการลินุกซ์ในบริษัทเป็นส่วนใหญ่
ไม่ใช้คอมพิวเตอร์แมคอินทอชที่นิยมกันมากในบริษัทด้านออกแบบเนื่องจากราคาแพง
โดยอุปสรรคอีกเรื่องที่จั๊กพบคือบุคลากร ยอมรับว่าขณะนี้หามือ CG
ระดับหัวกะทิในเมืองไทยได้น้อยมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนที่มีอยู่
****ดึงลูกค้าพัฒนาหัวกะทิ
"ที่ผ่านมา เรารับงานเฉพาะที่จะสามารถพัฒนาบุคลากรของเราได้
งานที่ทำสามวันได้แต่เงินเราไม่ต้องการ
เราต้องการงานที่จะทำให้บุคลากรของเรามีงานทำต่อไปอีก 5 ปี"
โดยงานเหล่านี้จั๊กเล่าว่าส่วนใหญ่ได้มาจากความไว้เนื้อเชื่อใจของสายสัมพันธ์ในวงการที่จั๊กมีอยู่
"เราเอาลูกค้าสร้างอินฟราสตรัคเจอร์ สร้างความสามารถให้บุคลากรเราทำเองได้"
ไม่เพียงไม่รับงานด่วน จั๊กยังประกาศจุดยืนว่า The Monk Studio ไม่รับงานโฆษณาเหล้า-บุหรี่
"เราไม่ทำ
เพราะไม่ใช่สไตล์เรา ผมชอบทำงานให้เด็กดู อย่างนาร์เนีย หรือ Night at the
Museum ผมไม่ค่อยอิน แต่จะอินกับ Scooby-Doo หรือ Garfield
เพราะหนังพวกนี้เด็กๆชอบมาก ผมอยากทำให้เด็กทั้งโลกดู ไม่ใช่แค่เด็กไทย"
จั๊กเชื่อว่าความฝันของ CG เมืองไทยอยู่ที่เด็กในมหาวิทยาลัยขณะนี้ ถ้อยคำฝากถึงอนาคตของชาติจากจั๊กในวันนี้คือ “เร็วๆหน่อยครับ อย่าลืมพกภาษามาด้วย” เนื่องจากความรู้ภาษาอังกฤษคือส่วนผสมสำคัญที่จั๊กมองว่าหัวกะทิ CG รุ่นใหม่ของไทยควรมี
****คนไทยทีมเวิร์กเยี่ยม
น้อยคนนักที่จะรู้ว่า
บริษัทผู้ผลิตโปรแกรมเบื้องหลังฉากต่อสู้ระหว่างกองทัพนับหมื่นสุดอลังการในภาพยนตร์
Lord of The Ring นามว่า “แมสซีฟ (Massive)” นั้นเข้ามาตั้งสาขาในเมืองไทย
2 ปีแล้ว โดยสตีเฟน รีเกอร์ลัสส์ ผู้ก่อตั้งและผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท
Massive Software ชาวนิวซีแลนด์ระบุว่า
การหาโปรแกรมเมอร์ในเมืองไทยมาร่วมงานนั้นง่ายกว่าในประเทศบ้านเกิด
จุดอ่อนที่ว่าคนไทยขาดความคิดริเริ่ม
กลับกลายเป็นความสามารถในการทำงานเป็นทีมได้ดี
"แมสซีฟสาขานิวซีแลนด์จะรับผิดชอบเรื่องการตลาด
สาขาประเทศไทยจะรับหน้าที่พัฒนาซอฟต์แวร์และดูแลลูกค้าเป็นหลัก
ทีมงานที่นี่ทั้งหมดเป็นคนไทย การดำเนินงานในเมืองไทยดีกว่าที่นิวซีแลนด์
เหตุผลที่หนึ่งคือคนไทยนิสัยดี สองคือบุคลากรมีมาก"
สองเหตุผลนี้ทำให้สตีเฟนไม่เลือกประเทศที่ได้ชื่อว่ามีอนาคตด้านไอทีแสนสดใสอย่างอินเดียหรืออื่นๆ
"อุตสาหกรรมด้าน CG ของเมืองไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก
การผลักดันที่ผ่านมาถึงไม่ได้ทำให้วงการ CG เมืองไทยเทียบชั้นนานาชาติ
แต่งานที่ได้รับก็เป็นงานมาตรฐานนานาชาติมากขึ้น"
อุปสรรคใหญ่ที่สตีเฟนพบคือการจัดการด้านงานเอกสาร ไม่ใช่บุคลากร หรือปัญหาว่านักศึกษาไทยขาดความคิดริเริ่ม
"ผมไม่อยากเอาสิ่งที่เห็นมาตัดสินการศึกษาไทย
แม้นักศึกษาไทยจะถูกมองว่าไม่มีความคิดริเริ่ม
แต่การทำงานตามที่ครูสั่งทำให้คนไทยกลายเป็นคนที่ทำงานทีมเวิร์กได้ดี
สามารถจบงานตามแผนได้"
โปรแกรม Massive นั้นเป็นโปรแกรมสร้างตัวละครที่มีสมองของตัวเอง
ตัวละครจะสามารถแสดงพฤติกรรมธรรมชาติโดยไม่ต้องมีผู้ใช้คอยสร้างการเคลื่อนไหวทีละแอคชั่น
ยกตัวอย่างเช่น ฉากกองทัพทหารหมื่นคนบุกเข้าไปในป่า
ทหารแต่ละคนในโปรแกรมแมสซีฟจะสามารถเดินแบบกระจายตัวและหลบหลีกต้นไม้ได้เอง
หรือฉากระเบิด โปรแกรมนี้จะสามารถกำหนดได้ว่า
ในรัศมีระเบิดตัวละครใดต้องกระเด็น
หรือตัวละครใดต้องล้มลงเพราะร่างทหารเหยื่อระเบิดที่ลอยลงสู่พื้นดิน
“หลายคนมองว่าการสร้างสมองให้ตัวละครอย่างที่แมสซีฟทำเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
จุดแข็งของบริษัทเราจึงอยู่ที่ไม่มีใครทำโปรแกรมแบบนี้ได้
การไม่ต้องสร้างภาพเคลื่อนไหวทีละเฟรมทำให้สามารถประหยัดเวลาการสร้างภาพยนตร์ได้มาก
ที่สำคัญโปรแกรมนี้ทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์ควบคุมสัตว์ได้ดีกว่าสัตว์ตัวเป็นๆ
อย่างหนูส่วนใหญ่ในภาพยนตร์เรื่อง Ratatouille หรือฝูงแพนกวินใน Happy
Feet นั้นสร้างด้วยแมสซีฟ"
สตีเฟนจบการศึกษาด้านกราฟิกดีไซน์จากประเทศนิวซีแลนด์
ก่อนจะผันตัวไปศึกษาด้านการสร้างโปรแกรมสำหรับทำเทคนิคพิเศษในภาพยนตร์แอนิเมชั่น
และก่อตั้งบริษัท Massive Software ในที่สุด
โดยแรงดลใจที่ทำให้เริ่มต้นเขียนโปรแกรม Massive
คือเพราะเบื่อกับการทำภาพเคลื่อนไหวทีละเฟรม
ซึ่งเป็นประสบการณ์แสนเจ็บปวดที่สตีเฟนได้รับเมื่อครั้งยังเป็นมือแอนิเมชันให้กับ
Lord of The Ring ภาคแรก
"ผมมาทำซอฟต์แวร์เพราะผมยังไม่อยากตาย" สตีเฟนย้อนความหลังที่ต้องอดตาหลับขับตานอน "สิ่งที่ทำให้ซอฟต์แวร์นี้ประสบความสำเร็จคือศิลปินใช้งานได้จริง โปรแกรมเข้าใจศิลปิน ศิลปินก็เข้าใจโปรแกรม"
สตีเฟนกล่าวถึงเป้าหมายการพัฒนาโปรแกรมแมสซีฟในอนาคตว่า
จะสามารถพัฒนาให้ตัวละครบนแมสซีฟสามารถแสดงกิริยาได้ใกล้เคียงกับมนุษย์หรือสัตว์มากที่สุด
เพื่อนำไปใช้ในงานคอมพิวเตอร์กราฟิกที่มีความละเอียดสูง
จนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์กราฟิก
"ที่ผ่านมา เราเอาทฤษฎีฟิสิกซ์มาใช้ในการพัฒนาโปรแกรมด้วย เพื่อให้ได้การเคลื่อนไหวเพราะแรงระเบิดที่สมจริง"
สนนราคาโปรแกรมแมสซีฟนั้นเริ่มต้นที่ราว 6,000 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 210,000 บาท
โดยชาวโลกอาจได้เห็นกองทัพทหารไทยบนโปรแกรมแมสซีฟในเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯภาคที่สามของท่านมุ้ย
****
ผลงานของทั้ง
The Monk Studio และ Massive Software จะถูกนำมาแสดงในงาน TAM 2007 หรือ
Thailand Animation and Multimedia 2007 ระหว่างวันที่ 16-20 พฤศจิกายนนี้
ที่อิมแพคเมืองทองธานี
ที่มา-