หัวใจเป็นอวัยวะสำคัญในการส่งเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงตามอวัยวะต่างๆ
ทั่วร่างกาย
แต่หากหัวใจไม่ได้รับออกซิเจนและอาหารในเลือดจากหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจเพียงพอ
เนื่องจากมีแผ่นไขมันหนาๆ เกาะสะสม หรือที่เรียกว่า "โรคหัวใจขาดเลือด"
หรือ "หลอดเลือดหัวใจตีบ" (Coronary Arterial Disease)
จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจส่วนนั้นขาดเลือด และส่งผลให้การทำงานของหัวใจลดลง
ซึ่งอาจทำให้บุคคลนั้นเสียชีวิตเฉียบพลัน หรือทำให้อวัยวะสำคัญต่างๆ อาทิ
สมอง ไต ได้รับเลือดมาเลี้ยงน้อยลง ผลที่ตามมาคือการทำงานของอวัยวะนั้นๆ
ผิดปกติ
โรคหัวใจเป็นหนึ่งในโรคที่พบบ่อยในประเทศไทยและมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ดังจะเห็นได้ จากการศึกษาของภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจ
หลอดเลือด และเบาหวาน ทุก 6 นาที และทุกชั่วโมงมีคนกรุงเทพฯ อย่างน้อย 8
คนเสียชีวิตจากโรคหัวใจ นอกจากนี้ จากสถิติทางการแพทย์ พบว่า ในระยะเวลา
30 ปีที่ผ่านมา
โรคหัวใจขาดเลือดคือสาเหตุของการตายอันดับหนึ่งของประชากรในประเทศที่พัฒนาแล้ว
พ.ญ.อรนุช ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ ไฟเซอร์
ประเทศไทยและอินโดไชน่า กล่าวว่า
หน่วยงานด้านสุขภาพทั่วโลกได้ชูแนวคิดหลัก คือ
"ร่วมมือร่วมใจเพื่อสุขภาพหัวใจที่ดี"
ให้ความสำคัญกับบทบาทของสถาบันครอบครัวที่มีต่อสุขภาพหัวใจสมาชิกในครอบครัว
เนื่องจากสถาบันครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นที่มีบทบาทอย่างยิ่งต่อการกำหนดรูปแบบการดำเนินชีวิตในอนาคต
ครอบครัวควรปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมตั้งแต่ในวัยเด็ก อาทิ
การกินอาหารที่มีความสมดุลทางโภชนาการ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ไม่สูบบุหรี่ ไม่เสพของมึนเมา การเฝ้าระวังน้ำหนัก
เและการตรวจสุขภาพประจำปี
โดยแฉพาะอย่างยิ่งการตรวจวัดระดับโคเลสเตอรอลอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวที่มีหัวใจแข็งแรง
เมื่อปีที่ผ่านมา บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) ร่วมกับศูนย์หัวใจสิริกิติ์
และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดกิจกรรม
"รักหัวใจใส่ใจโคเลสเตอรอล" เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนถึงสาเหตุ
วิธีการสังเกตอาการเริ่มต้น
วิธีการป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด
รวมถึงการดูแลปฏิบัติตนหากเป็นโรค
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด มีหลายสาเหตุด้วยกัน
หลักๆ ได้แก่ "ไขมันในเลือดสูง"
ผู้ที่มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูงจะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ที่มีไขมันในระดับปกติถึง
5 เท่า การตรวจวัดระดับโคเลสเตอรอลเป็นประจำ (อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง)
จะช่วยให้เราป้องกันและรักษาภาวะโคเลสเตอรอลสูงได้อย่างทันท่วงที
ปัจจัยต่อมาคือ "ความดันโลหิตสูง" นับเป็นภัยมืดที่ก่อตัวอย่างเงียบๆ
ในร่างกายของเรา โดยมากกว่า 90% ไม่ทราบถึงสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด
แต่เชื่อว่ามีปัจจัยที่เกี่ยวข้องมาจากพันธุกรรม เชื้อชาติ ความเครียด
ความอ้วน และการสูบบุหรี่
มีส่วนนน้อยที่สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน (จากเนื้องอกบางชนิด)
ภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือเกิดจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด เป็นต้น
มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ประกาศในปี พ.ศ. 2542
ถือว่าผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง คือ ผู้ที่มีค่าความดันโลหิตตัวบนมากกว่า
140 มิลลิเมตรปรอท และค่าความดันโลหิตตัวล่างมากกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท
และจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงกว่า 160/95 มิลลิเมตรปรอท
"การสูบบุหรี่" ตามรายงานองค์การอนามัยโลกพบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่จัดจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจขาดเลือดได้มากกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 3 เท่า
"อายุ"
แผ่นไขมันสะสมในหลอดเลือดมีแนวโน้มจะเกิดมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น
ดังนั้นอุบัติการณ์ของ การเกิดโรคนี้จึงมากขึ้นตามอายุ
และพบมากในผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป
"เพศ"
เป็นที่ทราบกันว่าเพศชายมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากกว่าเพศหญิงซึ่งอยู่ในวัยที่ยังไม่หมดประจำเดือน
แต่ภายหลังจากที่หมดประจำเดือนแล้ว โอกาสเป็นจะเท่ากันทั้งในชายและหญิง
นอกจากนี้ ความเครียด ความอ้วน และการขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
รวมถึงโรคบางชนิด อาทิ โรคเบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ โรคเกาต์
เป็นต้น ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจอีกด้วย
อาการหลักของภาวะหัวใจขาดเลือด หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ได้แก่ อาการจุกแน่นหน้าอก ซึ่งมีลักษณะจำเพาะดังนี้
ตำแหน่งการเจ็บ มักเป็นตรงกลางหน้าอกเยื้องลงมาทางลิ้นปี่เล็กน้อย
และมักจะรู้สึกเจ็บลึกๆ อยู่ภายใน
บางครั้งอาการปวดนี้จะอยู่ตรงกลางหน้าอกทางด้านล่างและอาจเลยลงมาถึงบริเวณช่องท้องส่วนบนได้
ลักษณะเจ็บ มักจะมีอาการจุกๆ แน่นๆ อึดอัด
บางทีรู้สึกเหมือนถูกรัดหรือมีก้อนอะไรมาทับหน้าอก
อาจจะมีการปวดร้าวไปจนจุกคอหอย บางทีอาจปวดร้าวไปที่หัวไหล่ ต้นแขน
หรือด้านในของแขน และอาจเลยไปถึงข้อมือหรือนิ้วมือ
ซึ่งบางครั้งอาจปวดร้าวไปที่กรามและคอด้านซ้ายอีกด้วย
ระยะเวลาการเจ็บ มักเจ็บหน้าอกอยู่ราว 2-10 นาที และมักจะหายได้โดยการพัก
ถ้าเจ็บนานกว่านี้
และพักแล้วไม่หายแสดงว่าอาการขาดเลือดอยู่ในระดับรุนแรงมาก
อาการอื่นที่อาจพบร่วมด้วย บางรายมีอาการใจหวิว ใจสั่น
ชีพจรเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ บางรายมีอาการเหงื่อซึม เป็นลม ตัวเย็น
คลื่นไส้ อาเจียน โดยในผู้สูงอายุอาจมีอาการเหนื่อยง่าย เหนื่อยหอบ
และหายใจลำบากร่วมกับอาการแน่นๆ ในหน้าอก หรือรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง
จนถึงหมดสติ
หรือในรายที่มีอาการรุนแรงมากอาจถึงขั้นเสียชีวิตแบบปัจจุบันทันด่วน
ซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้ภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการดังกล่าว
สำหรับการป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือด หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบทำได้โดย
1. ควบคุมน้ำหนักตัว
หากอยากทราบว่าเรานั้นมีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่
ทำได้ด้วยการคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือ BMI)
โดยนำน้ำหนัก (หน่วยเป็นกิโลกรัม) ส่วนสูง 2 (หน่วยเป็นเมตร) ซึ่งควรมีค่า
BMI อยู่ในระดับ 18-23 จึงจะถือว่าไม่อ้วน หรือประเมินโดยการวัดรอบเอว
ซึ่งผู้ชายไม่ควรเกิน 36 นิ้ว และผู้หญิง 32 นิ้ว
2.
กินอาหารให้ได้สมดุล โดยเน้นกินผักและผลไม้สดให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 ทัพพี
และหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันสูง
(อาหารที่มีโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูง) อาทิ เนื้อสัตว์ติดมัน
หนังเป็ด หนังไก่ นม เนย ไข่แดง เครื่องในสัตว์ อาหารที่ปรุงจากกะทิ
ควรใช้น้ำมันชนิดไม่อิ่มตัว อาทิ น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง
หรือน้ำมันข้าวโพด ในการประกอบอาหาร
(เพราะมีส่วนผสมของกรดไลโนเลอิกที่เป็นตัวนำโคเลสเตอรอลไปเผาผลาญได้ดี)
แทนน้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าว และควรหลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง
(เพราะมักมีส่วนผสมของเกลือในปริมาณสูง) รวมถึงอาหารรสจัด
3. รักษาโรคความดันโลหิตสูง และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง
4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที และไม่ควรออกกำลังกายโดยใช้กำลังและแรงเบ่งสูง
เช่น การยกน้ำหนัก วิดพื้น วิ่งอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
นอกจากนี้ยังควรทำตัวให้ว่องไว กระฉับกระเฉงอยู่เสมอ
5. พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
6. ไม่สูบบุหรี่
7. รู้จักปล่อยวาง
เพื่อไม่ให้เกิดความเครียดทางอารมณ์และจิตใจมากจนเกินไป สามารถทำได้ง่ายๆ
ด้วยการหายใจช้าๆ และสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ โดยหายใจเข้าให้นับ 1-3
แล้วจึงค่อยหายใจออกพร้อมกับนับ 1-4 ทั้งนี้การฝึกหายใจช้าๆ
จะช่วยให้หัวใจเต้นช้าลง และความดันโลหิตลดลงอีกด้วย
ที่มา-